ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ หลังจากฝนเทกระหน่ำเพียงไม่ถึงสอง ชั่วโมง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2558 ที่ผ่าน ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพ ของระบบระบายน้ำของเมืองหลวงของประเทศไทยอีกครั้ง....อีกครั้ง....และอีกครั้ง
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อุโมงค์ระบายน้ำขนาดยักษ์” ที่กรุงเทพมหานครโดย “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ใช้งบประมาณมหาศาลสร้างขึ้นมา และคุยนักคุยหนาว่า เด็ดสะระตี่สวีวี่วี
รวมกระทั่งวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ในการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร เพราะถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว คนกรุงแทบจะนึกไม่ออกเลยว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ทำอะไรไว้ให้กับเมืองหลวงแห่งนี้บ้าง นี่ไม่นับรวมถึงความคิดถึงที่คนกรุงมีต่อผู้ว่าฯ คนนี้ เพราะแทบไม่ค่อยได้เห็นหน้าตาคากันเลยทีเดียว
ภาพน้ำท่วมขังตามพื้นที่ต่างๆ ที่แพร่กระจายไปตามโลกสังคมออนไลน์ อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพของซอยทวีมิตร ย่านพระราม 9 อสมท มีน้ำ ท่วม ขังลึกถึง 60 เซนติเมตร ทำให้รถเก๋งจมน้ำหลายคันและการจราจรที่ติดขัด อย่าง หนัก บริเวณสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ถนนเพชรบุรี แยกพร้อมพงษ์ ถนนสุขุมวิท ถนนสีลม ถนนรามคำแหง ถนนลาดพร้าว ถนนอโศกมนตรี เกิดน้ำท่วม ขังสูง 15-20 เซนติเมตร รถติดหนึบเคลื่อนตัวช้าท้ายสะสมยาวเหยียด
แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือภาพน้ำที่ทะลักจากใต้ดินเข้าท่วมท็อบส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต โรบินสัน สุขุมวิท 19 ซึ่งถูกแชร์มากที่สุด
ค่ำคืนวันนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวแบบโลกสวยว่า “วันนี้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ด้วยกันของกรุงเทพมหานคร บนถนนหลายสายมีน้ำขังและน้ำรอระบาย เจ้าหน้าที่สำนัก ระบายน้ำประจำตามจุดต่างๆ เพื่อเร่งระบายน้ำอยู่นะครับ ฝากพี่น้องประชาชนให้ กำลังใจข้าราช การ และลูกจ้างกรุงเทพมหานครด้วยนะครับ ในวันที่ฝนตกเราไม่เคยนิ่งนอนใจเลย และ ไม่อยากให้พี่น้องประชาชนต้องลำบาก อยู่บนท้องถนนในช่วงที่ฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมขัง หรือน้ำรอระบายก็แล้วแต่ เราจะทำงานให้เต็มที่ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด”
ขณะที่ในวันถัดมา “นายสัญญา ชีนิมิตร” ปลัดกรุงเทพมหานคร ชี้แจงแถลงไขว่า กรณีรายงานข่าวที่ระบุว่า กทม.นำเครื่องสูบน้ำไปซ่อมจนไม่มี เครื่อง สูบน้ำใช้ ยืนยันไม่เป็นความจริง มีเครื่องสูบน้ำเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ตลอดเวลา แต่มีการนำเครื่องบางส่วนไปซ่อมแซมตามวงรอบ ยอมรับปริมาณฝนที่ตกวานนี้(24 มี.ค.)มากกว่าที่คาด จึงไม่ได้พร่องน้ำในคลอง แสนแสบไว้ ทำให้น้ำขึ้นเร็ว อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดน้ำท่วมขังแยกอโศก
ทว่า คำชี้แจงของผู้บริหารกรุงเทพมหานครดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้น และไม่สามารถให้คนกรุงเทพฯ เข้าใจได้ เพราะไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นได้ทั้งๆ ที่เป็นฤดูแล้ง ปริมาณน้ำในแม่น้ำลำคลอง หรือ หนองบึงต่างๆ ก็มีจำนวนน้อย ปัญหาน้ำเหนือไหลบ่าและน้ำทะเลหนุนก็ไม่ได้มาเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น
ที่สำคัญคือคนที่ไม่พอใจที่สุดและแสดงออกมาอย่างชัดเจนก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
วันที่ 25 มี.ค.2558 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวให้สัมภาษณ์ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 กองทัพอากาศดอนเมืองก่อนเดินทางไปเยือนบรูไนด้วยอารมณ์ไม่พอใจถึงกรณีที่มีฝนตกหนักเมื่อบ่ายวันที่ 24 มีนาคม จนทำให้เกิดน้ำ ท่วมขังหลายพื้นที่ใน กทม.ว่า ได้สั่งการไปที่ กทม.และคสช.แล้วให้ไปช่วยกันดูแล ตนเองเตือนไปแล้วว่ามันจะมีพายุฤดูร้อนเข้ามาเตือนตั้งแต่สัปดาห์สองสัปดาห์ที่แล้วด้วยซ้ำไป แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบกันแค่ไหนจะไล่ตรวจสอบ
“วันนี้กำลังให้ตรวจสอบไปที่ กทม.ด้วย ทำไมปัญหาการระบายน้ำมันอยู่ ที่ตรงไหน แล้วมาตามแก้กัน นี่ไงคือปัญหาของประเทศไทย ทำงานแบบเชิงรับกันตลอด มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น วันนี้ คสช.มองไปในวันข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรให้น้ำไม่ท่วม ไปบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ไม่ใช่ทำแก้ปัญหาแบบนี้ไม่เอา วันนี้ก็ได้สั่งให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเข้าไปดูด้วยเพราะมีหน้าที่ดูแลเรื่องทุกข์สุข ก็ให้ทั้งกระทรวงมหาดไทยช่วยดูตามต่างจังหวัด รวมทั้ง คสช.และทหารก็เตรียมการช่วยเหลือไว้ แต่ทำไมน้ำมัน ขังได้ก็ไม่รู้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า เมื่อสักครู่เห็นมีรายงานว่าหม้อแปลงมันระเบิดอะไรต่างๆ ทำให้ปั๊มไม่ได้ อย่างงี้มันไม่ได้ มันต้องแก้ปัญหาให้ได้ ทหารทำอะไรออกมาต้องคิด มีมาตรการที่ 2 ที่จะแก้ไข เรื่องน้ำก็กำลังแก้อยู่ แต่โชค นะที่มันเป็นพายุฤดูร้อน ก็คงจะ 3-4 วันก็จะผ่านพ้นไปแล้วพายุก็จะขึ้นทางไปภาคเหนือ
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ควันออกหู งานนี้ “คุณชายหมู” ถึงกับเต้นเร่าเป็นเจ้าเข้ากันเลยทีเดียว เพราะเป็นเสียงที่ตำหนิถึงการทำงานอันไร้ประสิทธิภาพของ กทม.โดยตรงและและเต็มๆ ซึ่งเมื่อบวกกับเสียง “ก่นด่า” ที่ดังระงมจากทั่วทุกสารทิศ ทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ต้องตัดสินใจเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้นในวันถัดมาคือวันที่ 25 มี.ค.58
แต่แทนที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น กลับทำให้ความไม่พอใจของคนกรุงที่มีต่อพ่อเมืองคนนี้ทวีความรุนแรงหนักขึ้นไปอีก เนื่องจากเป็นคำอธิบายที่ไร้ซึ่งภาวะผู้นำและสำนึกรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
และแน่นอนว่า ความไม่พอใจต่อการแก้ปัญหาของผู้ว่าฯ กทม.ถูกส่งผ่านออกมาในโลกสังคมออนไลน์อย่างหนักหน่วงและรุนแรง
“ถ้าถามว่า กทม. ผิดพลาดหรือไม่ ก็ยอมรับว่าผิดพลาด เพราะไม่มีใครคิดว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้”
“ผมมารับตำแหน่งในครั้งแรก กทม. ได้ทำอะไรไว้มาก การระบายน้ำ ดีกว่าเมื่อก่อนที่ใช้เวลานาน แต่การ ระบายน้ำ 1 - 2 ชั่วโมงในขณะนี้ ถือว่าไม่นานเกินไป หากฝนตกในปริมาณ 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ก็จะสามารถระบายได้ทันที แต่ถ้าเกิน 60 มิลลิเมตรขึ้นไปอาจจะต้องใช้เวลา เราเป็นเมืองน้ำ เป็นเมืองฝน ไม่มีจุดเสี่ยงเลยคงไม่ได้ ถ้าไม่มีน้ำท่วมต้องไปอยู่บนดอย ใครจะว่าผม ผมไม่ได้ว่าอะไร ใครจะว่าผมก็ว่าได้ ที่ไม่เตือน กทม. เป็นความผิดของผมที่ไม่สามารถช่วยห้างท็อปส์ และพระราม 9 ซอย 7 ได้ เพราะเอกชนไม่ได้ให้ความร่วมมือ เพราะมาอยู่ตรงนี้เป็นหน้าที่ที่ถูกว่าอยู่แล้ว แต่อย่ามาว่าคนของกทม. ถึงเราจะคาดการณ์ผิด แต่ก็แก้ปัญหาได้ทันที สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นข้อบกพร่อง ผมยอมรับ เพราะไม่มีใครสามารถสั่งฝนให้ตกมาก ตกน้อยได้ และไม่มีใครรับประกันได้ว่า เหตุการณ์เมื่อวานจะไม่เกิดขึ้น เพราะมีฝนตกลงมาเกินความคาดหมาย”
นอกจากนี้ หลังถูกถามว่า จะเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักทำให้ท่วม จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกสังคมออนไลน์อีกหรือไม่
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กลับตอบแบบไร้ภาวะผู้นำ หรือถ้าจะศัพท์วัยรุ่นว่า “กวนโอ๊ย” ก็คงไม่ผิดอะไรนัก
ี“ผมไม่ใช่เทวดาที่จะบอกได้ว่าจะเกิดภาพแบบเมื่อวานนี้อีกหรือไม่ แต่ถ้าผมเป็นเทวดา ก็เต็มใจที่จะตอบ ส่วนภาพน้ำท่วมห้างนั้น ทางผู้บริหาร ห้างสรรพสินค้าต้องออกมายอมรับเองว่า ปัญหาเกิดการระบบการระบายน้ำของตัวอาคาร ไม่ได้เกิดจาก กทม.”
คำว่า “ผมไม่ใช่เทวดา”
คำว่า “ถ้าไม่มีน้ำท่วมต้องไปอยู่บนดอย”
คือประโยคเด็ดที่ทำให้คนกรุง ตลอดรวมถึงคนไทยทั้งประเทศวิพากษ์วิจารณ์หนัก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์หนักขึ้นไปกว่าเก่า ยิ่งในโลกออนไลน์ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ภาพล้อเลียนระบายอารมณ์ของคนกรุงเป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน บางคนถึงขนาดโพสต์ข้อความเตรียมตัวกันไปเป็นชาวดอยกันเลยทีเดียว
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีการให้สัมภาษณ์ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยมีใจความว่า ฟังผู้ว่า กทม. แถลงเรื่องน้ำท่วมแล้วผิดหวังจริงๆ เพราะสิ่งที่ท่านพูดออกมานั้นตรงกันข้ามกับทฤษฎีการสื่อสารในภาวะวิกฤตโดยสิ้นเชิง ผิดแทบทุกข้อ
1. Awareness รับรู้ว่ามีความผิดพลาดและเกิดวิกฤต ข้อนี้พอผ่าน
2. Acknowledgement เข้าใจว่าวิกฤตเกิดเพราะอะไร ข้อนี้ท่านไม่ได้คะแนน เพราะท่านโทษเทวดา ท่านบอกว่าท่านไม่ใช่เทวดา ท่านบอกให้เราไปปลูกบ้านบนดอยเพื่อไม่ต้องเจอน้ำท่วม
3. Admission ยอมรับความผิดพลาด ท่านยอมรับแค่ว่าท่านคาดการณ์ผิดเกี่ยวกับฝนผิดฤดู แต่ไม่มีการยอมรับว่ามีการดำเนินการอะไรผิดพลาดบ้าง ที่ทำให้รับมือไม่ทัน
4. Apology การกล่าวขอโทษประชาชนที่ต้องพบกับความลำบาก ท่านไม่ขอโทษอะไรทั้งนั้น ยืนยันว่าท่านไม่ใช่เทวดา ซึ่งไม่ได้ช่วยทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งที่กำลังโกรธ กำลังตำหนิกล่าวหาต่อว่าท่านหายโกรธ การสื่อสารในภาวะวิกฤตนั้นต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขอารมณ์ของสาธารณชน อย่าพูดจาอะไรที่จะเป็นการโหมไฟความโกรธของสาธารณชน และเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงกันข้ามโจมตี การแก้ไขวิกฤตเราต้องการแนวร่วม ดังนั้นต้องไม่พูดอะไรที่สร้างศัตรู
5. Amendment การแก้ไข แทนที่ท่านจะแก้ตัวและแถลงข่าวอย่างคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวกับประชาชนที่ต่อว่าท่าน สิ่งที่ท่านควรจะพูดก็คือท่านได้วางแนวทางแก้ไขไว้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ประชาขนได้เห็นวิสัยทัศน์และความสามารถของท่านในการแก้ปัญหา แต่เราไม่ได้เห็นภาพของการแก้ไขจากการแถลงของท่าน
6. Action ลงมือแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ จริงจัง ทุ่มเทอย่างเต็มที่และจะต้องมีรายงานให้ประชาชนทราบเป็นระยะๆว่าท่านได้ดำเนินการทำอะไรไปแล้วบ้าง การแก้ไขปัญหาก้าวหน้าไปอย่างไรบ้าง บัดนี้เรายังไม่ได้ยินข่าวความก้าวหน้าอะไร
6. alternatives ท่านควรจะบอกด้วยว่าจากเหตุวิกฤตในครั้งนี้ท่านได้บทเรียนอะไรบ้าง แล้วท่านจะให้มีการแก้ไขแนวทางในการป้องกันน้ำท่วมอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตแบบเดิมซ้ำซาก ไม่ใช่มาพูดว่าท่านไม่ใช่เทวดาที่จะบอกว่าฝนแบบเมื่อวานจะเกิดอีกหรือเปล่า ปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีในการพยากรณ์อากาศได้ ท่านไม่คิดจะวางมาตรการในการใช้เทคโนโลยีนั้นบ้างรหือ
7. Aftermath ท่านจะต้องเตรียมเอาไว้ว่าเมื่อท่านแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ได้แล้ว ท่านจะต้องขอบคุณใครบ้างที่มีส่วนช่วยแก้ไขวิกฤต ท่านจะสรุปบทเรียนอย่างไร ท่านจะสื่อสารสร้างความมั่นใจให้ประชาชนมั่นใจได้อย่างไรว่าท่านมีความพร้อมที่จะช่วยให้พวกเขาไม่ต้องเผชิญกับวิกฤตเดิมนี้อีก
“ใน 7 ขั้นตอนนี้ลองทบทวนดูเถิดว่าท่านทำอะไรถูกบ้าง หรือท่านคิดว่าท่านเป็นมา 2 สมัยแล้วท่านจะไม่ลงสมัครอีกจึงไม่สนใจว่าประชาชนจะคิดอย่างไรกับท่าน จึงไม่รู้จักควบคุมตัวเอง แสดงตนเป็นคน EQ ต่ำ ไม่สนใจอารมณ์ของสาธารณชนที่รวมทั้งคนที่เลือกท่านด้วย จะลงต่อหรือไม่ลงต่อก็แสดงความสามารถในการทำงานและเป็นนักการเมืองที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ให้เป็นเกียรติเป็นศรีกับความมนุษย์ที่มีคุณค่าเถอะค่ะ”
“การแถลงข่าวคือการพูดอย่างคนที่สุภาพและเต็มใจที่จะแก้ปัญหา ไม่ใช่การออกมาสำรากแสดงความเกี้ยวกราดกับประชาชนที่ส่วนหนึ่งเป็นคนที่ลงคะแนนเสียงให้ท่าน แม้ท่านจะบอกว่าท่านไม่ใช่เทวดาที่จะหยั่งรู้ฟ้าดินแต่การพูดของท่านดูเหมือนว่าท่านจะทำตัวเป็นเทวดาเหนือประชาชนนะ ผิดหวังจริงๆ”นักสื่อสารมวลชนชื่อดังระบุ
แน่นอน ไม่มีใครคิดว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เป็นเทวดา และความจริงแล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็ไม่มีทางเป็นเทวดา
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ต้องไม่ลืมว่า ตนเองคือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่กระสันอาสามาทำหน้าที่นี้ และรู้อยู่เต็มอกว่า จะต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานเมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ การที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์สามารถกลับมานั่งเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครรอบ 2 ได้ ไม่ใช่เพราะคนกรุงศรัทธาในฝีไม้ลายมือหรือความสามารถในการทำงาน หากแต่เป็นเพราะ “ความกลัว” ที่จะได้พ่อเมืองซึ่งเป็นคนของระบอบทักษิณต่างหาก
หากความจำยังไม่สั้นกันเกินไป คนกรุงและคนไทยทั้งประเทศต้องไม่ลืมว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์คือผู้ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครรอบ 2 หลังถูก “ใบเหลือง” และเป็นการปวารณาตัวก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะมีมติเลือกใครเป็นตัวแทนในการลงชิงชัยเสียด้วยซ้ำ ไป
และด้วยความกลัวที่จะทำให้เกิดภาพลบและความแตกแยกภายในพรรคหลังการชิงจังหวะออกตัวของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พรรคประชาธิปัตย์จึงจำต้องตัดสินใจเลยตามเลยทั้งๆ ที่รู้ว่า คะแนนนิยมของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์นั้นต่ำเตี่ยเรี่ยดินเป็นอย่างมาก กระทั่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายชวน หลีกภัยต้องระดมสรรพกำลังช่วยหาเสียงเป็นการใหญ่
และถ้าคนกรุงเทพฯ ไม่เกิดภาพหลอนกับวลี “ไม่เลือกเราเขามาแน่” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์คงยากที่จะกลับมาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครรอบ 2
ดังนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะต้องตระหนักว่า การที่ได้นั่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครรอบนี้นั้น เป็นด้วยเหตุและปัจจัยดังกล่าวข้างต้น
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
ส่วนอนาคตของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์บนเส้นทางการเมือง บอกได้คำเดียวว่า มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์(ยักษ์) กันเลยทีเดียว