ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ประวัติศาสตร์กำลังย่ำรอยเดิมอีกแล้วครับท่าน สำหรับกรณี “วัดพระธรรมกาย” ที่ระดมเงินจากผู้ศรัทธาในลัทธิจำนวนกว่า 684 ล้านบาทคืนให้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นเพื่อแลกกับ “การถอนฟ้อง” คดีแพ่งและอาญาต่อวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ ธัมมชโย)
เหตุที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะในอดีตเคยเกิดกรณีเช่นนี้กับวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยมาแล้วครั้งหนึ่ง
ในครั้งนั้น...
ในปี 2541...
พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกายกล่าวหาพระธัมมชโยว่ายักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด โดยปรากฏว่า พระธัมมชโยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง เนื้อที่กว่า 2,000 ไร่ในจังหวัดพิจิตรและเชียงใหม่
ในครั้งนั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตให้คืนที่ดินและทรัพย์สินขณะเป็นพระให้วัดพระธรรมกาย แต่พระธัมมชโยไม่ยอม กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปรามกล่าวโทษในคดีอาญา มาตรา 137 มาตรา 147 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ข้อหาที่พระธัมมชโยถูกฟ้องก็คือ เป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้านไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์
นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชนที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโยเช่นกัน ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี
ทว่า เกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น แต่แล้วในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ ก็ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชโย และ นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์
เรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล สรุปว่า “จำเลยที่ 1 คือพระธัมมชโยกับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก เป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุด จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา”
เมื่อประวัติศาสตร์เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุการณ์ในลักษณะนั้นจะกลับมาเกิดอีกครั้งในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ จะยักยอกเงินของสหกรณ์ฯ และตีเช็คให้กับพระธัมมชโยและเครือข่าย
เพราะเป็นชัดเจนว่า หลังพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายได้ระดมเงินกว่า 684 ล้านบาท จากลูกศิษย์ตั้งกองทุนมาจ่ายให้สหกรณ์ฯคลองจั่น สุดท้ายก็สามารถประนีประนอมกันได้ โดยทนายของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นได้เข้ายื่นหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อให้ถอนฟ้อง
เมื่อโจทก์คือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นไม่เอาความ เพราะเครือข่ายวัดพระธรรมกายนำเงินมาคืนให้ เรื่องก็ทำท่าจะลงเอยแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
ด้วยเหตุดังกล่าว สังคมจึงตั้งคำถามกันขรมกับเรื่องที่ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่หลาวลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาเช่นนี้ พร้อมกับติดตามต่อไปว่า สุดท้ายเรื่องจะลงเอยอย่างไร กรมสอบสวนคดีพิเศษจะมีมติเช่นไร ถอนฟ้องหรือไม่ถอนฟ้อง
กล่าวสำหรับภาพยนตร์ฉากตบจูบฉากนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 เมื่อนายฐปณวัชร์ สระสม ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากสหรณ์เครดิตยูเนี่ยน จำกัด เดินทางมายื่นหนังสือต่อดีเอสไอเพื่อแจ้งความไม่ประสงค์ดำเนินคดีแพ่งและอาญาต่อวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย ภายหลังที่ทางวัดพระธรรมกายตกลงคืนเงินแก่สมาชิกเป็นจำนวนเงิน 684,780,000 บาท โดยมีนายพงษ์ศักดิ์ ฐิติวรรณ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ ดีเอสไอรับเรื่องดังกล่าว
นายฐปณวัชร์เปิดเผยรายละเอียดว่า ภายหลังที่ศาลธัญบุรีนัดไกล่เกลี่ยระหว่างจำเลยที่ 2 คือ วัดพระธรรมกาย และจำเลยที่ 3 คือ พระธัมมชโย โดยวัดพระธรรมกายตกลงที่จะคืนเงินให้แก่สหกรณ์ฯ จำนวน 684,780,000 บาท ซึ่งมีการแบ่งชำระออกเป็น 6 งวด จ่ายผ่านแคชเชียร์เช็คงวดละ 100 ล้านบาท โดยวันที่ 16 มี.ค.นี้จ่ายคืนเป็นงวดแรก งวดสองกำหนดชำระในวันที่ 30 เม.ย.นี้ งวดสามกำหนดชำระในวันที่ 30 พ.ค.นี้ งวดสี่กำหนดชำระในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ งวดห้ากำหนดชำระในวันที่ 30 ก.ค.นี้ และงวดสุดท้ายคือวันที่ 30 ส.ค.นี้ ซึ่งจะจ่ายที่เหลือทั้งหมดจำนวน 184.780 ล้านบาท
ดังนั้น สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นในฐานะโจทก์ ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องวัดพระธรรมกาย ในฐานะจำเลยที่ 2 และพระธัมมชโย ในฐานะจำเลยที่ 3 โดยระบุว่าสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาต่อบุคคลทั้งสองอีกต่อไป และศาลได้อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้ง 2 ในคดีดังกล่าวแล้ว
ขณะที่ในส่วนของนายศุภชัยกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ดังนั้น สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจึงขอแจ้งพนักงานสอบสวนดีเอสไอว่าสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินคดีอาญาในฐานะผู้เสียหายต่อวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยในทุกข้อหกล่าวหาอีกต่อไป
ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวมีการลงชื่อนายเผด็จ มุ่งธัญญา ประธานกรรมการสหกรณ์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นคนใหม่ที่มารั้งตำแหน่งสืบต่อจากนายศุภชัย นายประกิตต พิลังกาสา รองประธานกรรมการสหกรณ์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และหลังจากที่ยื่นหนังสือให้นายพงษ์ศักดิ์ แล้ว ทางนายพงษ์ศักดิ์ได้แจ้งกลับว่าจะนำเรื่องดังกล่าวแจ้งนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมนำเรื่องดังกล่าวเข้าคณะกรรมการพิจารณาคดี ดีเอสไอ จากนั้นจะแจ้งผลให้ทางสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่นให้ทราบต่อไป
นอกจากนี้ หลังยื่นหนังสือให้ดีเอสไอทีมทนายสหกรณ์ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เพื่อแสดงความประสงค์ไม่ดำเนินคดีแพ่งและอาญากับวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยเช่นกัน
นี่คือก้าวย่างที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้สองเส้น เพราะมีความสำคัญต่อความเป็นไปของคดีมาก เพราะชัดแจงว่า โจทก์และจำเลยประสบความสำเร็จในการไกล่เกลี่ยคดีโดยศาลจังหวัดธัญบุรี อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นัดไกล่เกลี่ยเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ความจริงที่ต้องไม่ลืมก็คือ ขณะนี้ดีเอสไอยังมิได้มีการตั้งข้อกล่าวหากับพระธัมมชโย เป็นเพียงการออกหมายเรียกเพื่อเข้าให้ปากคำในฐานะพยานซึ่งพระธัมมชโยมีกำหนดเข้าให้ปากคำกับดีเอสไอตามกำหนดนัดในวันที่ 26 มี.ค.นี้หลังจากขอผัดผ่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อโจทก์คือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นไม่ติดใจเอาความ แล้วดีเอสไอจะดำเนินคดีหรือตั้งข้อหาอะไร
แม้ดีเอสไอ โดยพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกดีเอสไอ จะกล่าวหนักแน่นว่าการยื่นหนังสือไม่ประสงค์เอาผิดกับพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายของสหกรณ์ฯ ก็ตาม
ปมประเด็นที่จำต้องแจกแจงรายละเอียดก็คือ ความผิดที่พระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายทำสำเร็จแล้วโดยรับเงินจากการยักยอกทรัพย์นั้น เป็นคดีที่สามารถยอมความกันได้ หรือเป็นคดีที่อยู่ในมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นความผิดอาญาไม่สามารถยอมความได้
ประเด็นนี้กฎหมายเปิดช่องเอาไว้ชัดเจนว่า ขึ้นอยู่กับเจตนา ถ้าพระธัมมชโยอ้างว่า ไม่เจตนา ไม่รู้ ไม่ทราบ เป็นเงินบริจาค เรื่องก็น่าจะจบ
เกี่ยวกับเรื่องนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย อธิบายเอาไว้ว่า คดีมี 3 ประเภท ได้แก่ 1. คดีอาญา ประกอบด้วยข้อหาฉ้อโกงประชาชน และยักยอกเงิน เรื่องใดที่ไม่ใช่ความผิดที่ยอมความได้ จะยอมความไม่ได้ ต้องเดินหน้าต่อไป 2. คดีสหกรณ์ฯ ฟ้องเรียกคืนเงินจากวัดพระธรรมกาย 684 ล้านบาท เรื่องนี้จบลงเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 แล้ว และ 3. คดีล้มละลาย เป็นเรื่องเจ้าหนี้กับสหกรณ์ฯ ที่มีการฟ้องล้มละลาย ต้องมีการเดินหน้าต่อ โดยจะมีการไต่สวนกันอีกภายใน 45 วัน
ดังนั้น บางเรื่องอาจจบ บางเรื่องอาจจะไม่จบ แต่อย่างน้อยเป็นการแสดงเจตนาดี เพราะสิ่งแรกที่รัฐบาลต้องการ คือ เอาเงินกลับคืนมาให้ได้ก่อนเพื่อจะไปเยียวยาสมาชิกสหกรณ์ฯ ที่มีอยู่จำนวนมาก ขณะนี้สำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเงิน 684 ล้านบาท ไม่ใช่เงินจำนวนทั้งหมดที่ออกไปจากสหกรณ์ฯ พยายามดูว่าเงินออกไปไหนบ้าง ประมาณ 20 แห่ง แบ่งเป็น 6 กลุ่ม วันนี้ได้กลับมาส่วนหนึ่ง ยังมีส่วนอื่นอีก
“ความผิดฐานยักยอกเป็นคดีอาญาที่ยอมความได้ ต้องไปว่ากันต่อ โดยทางสหกรณ์ฯ พอใจคดีแพ่งที่ศาลจังหวัดธัญบุรี และเขาแจ้งว่าจะทำหนังสือไปยังตำรวจ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าส่วนใดที่เคยเป็นเจ้าทุกข์คดีอาญาไว้ก็ไม่ติดใจ หากสามารถยอมความได้ แต่ข้อหาฉ้อโกงประชาชนนั้นยอมความไม่ได้”นายวิษณุอธิบาย
ตรงนี้ชัดเจนว่า ความผิดฐานยักยอกเป็นคดีอาญาที่ยอมความกันได้
ตรงนี้ชัดเจนว่า พระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายได้ไกล่เกลี่ยยอมความกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นสำเร็จ และคดีความได้จบลงไปแล้ว
ตรงนี้ชัดเจนว่า นายศุภชัย ศิษย์เอกของพระธัมมชโยจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชนต่อไป
แต่ที่ไม่ชัดเจนก็คือ ดีเอสไอจะมีการแจ้งข้อหาอะไรกับพระธัมมชโย เพราะบัดนี้พระธัมมชโยเป็นเพียง “พยาน” ในคดีนี้เท่านั้นและยังไม่เห็นวี่แววเลยว่า ดีเอสไอจะตั้งข้อหาอะไรกับพระธัมมชโยได้