ASTVผูจัดการรายวัน -“ทรีนีตี้” ฟุ้งกำไรปี 57 แตะ 191.72 ล้านบาท ตั้งเป้ายุทธศาสตร์เติบโตแบบยั่งยืน ปรับแผนลุยวาณิชธนกิจ และบริหารกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น ชูผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 20% ในทุกกลุ่มธุรกิจ
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นโดยมองว่า นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ที่จะแถลงในวันนี้มีแนวโน้มเพียง 20% เท่านั้นที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในเดือนมิถุนายน 2558 และมีโอกาส 50% ที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้นในเดือนกันยายน 2558 และถ้าหากว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในเดือนกันยายนเป็นไปตามเป้า แต่ความน่าจะเป็นในการปรับดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 70-80% ในเดือนธันวาคม 2558
“ช่วงสั้นตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีการฟิ้นตัว เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ได้สะท้อนเรื่องผลต่างอัตราดอกเบี้ยของ US และ EURO ไปแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสประสบกับวิกฤตเงินทุนไหลออกเหมือน QE Tapering ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี พ.ศ. 2556 อีกครั้งในกลางไตรมาส 2 ประกอบกับวิกฤตทางด้านยุโรป อาจจะกลับมาสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหนึ่ง และอาจจะเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่ EPS ของตลาดหุ้นไทยยังถูกปรับลดความน่าเชื่อถือลง (Downgrade) แต่มองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าทำการสะสมหุ้นในกลางไตรมาส 2 อีกครั้ง เนื่องจากการที่ Fed เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ช่วงปลายปี อีกทั้งราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ.2558 ทำให้หุ้นมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของสภาพคล่องทั่วโลก (Liquidity) ในขณะเดียวกัน ประเทศจีนได้เริ่มมีมาตรการการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น”
นอกจากนี้ ยังคาดว่าธนาคารยุโรป จะยังทำการซื้อสินทรัพย์ประเภทพันธบัตร หรือ QE จนกระทั่งถึงเดือนกันยายน 2559 และมีโอกาสทำต่อเนื่องนานกว่านั้น ซึ่งมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB จะอยู่ในช่วงกลางปี พ.ศ.2561 ทั้งนี้ ได้ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,680-1,700 จุด บน P/E เฉลี่ยที่ 14.3 เท่า
ขณะที่ นายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทฯว่า ปีที่ผ่านมา บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 191.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% โดยมีสัดส่วนของธุรกิจรายได้ แบ่งเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ (Brokerage) 45% ธุรกิจการลงทุน (Investment) 19.42% ธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) 6.74% ธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) 6.38% ดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ 14.84% และรายได้อื่นๆ 7.62%
“ก้าวต่อไปของบริษัทคือ มุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 20% ในทุกกลุ่มธุรกิจซึ่งถือเป็นวิสัยทัศน์ของบริษัทในปีนี้ โดยธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) บริษัทมีกลยุทธ์ในการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร เน้นไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มไฮเน็ตเวิร์ก และกลุ่มลูกค้าองค์กร นอกจากนี้ ยังเน้นการเข้าถึงลูกค้าด้วยการจัดงานสัมมนาให้ความรู้แก่นักลงทุน และจัดทำบทวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมา ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ออกบทวิเคราะห์ The Big Picture Plus ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าในเรื่องของการให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด โดยปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนมาแล้วตั้งแต่ต้นปี 2558 มากกว่า 20%”
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจวาณิชธนกิจ บริษัทมีแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) และหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ (PP) รวมถึงงานที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างทางการเงินตั้งเป้าไว้จะเพิ่มขึ้นอีก 4-6 ราย ทั้งในตลาด SET และตลาด mai ซึ่งครอบคลุมหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน เช่าซื้อ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและสำนักงาน ธุรกิจการเงิน สื่อและสิ่งพิมพ์ ทั้งนี้ ในส่วนธุรกิจด้านการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม (Asset Under Management) เพิ่มสูงขึ้นจาก 2,305 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2557 มาเป็น 2,900 ล้านบาท ในปัจจุบัน โดยบริษัทตั้งเป้าจะสร้างผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าอย่างน้อย 15% และจะปรับเป้าขยายมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารเป็น 3,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีนโยบายในการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 50% ของผลกำไร โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 เป็นต้นมา บริษัทสามารถจ่ายปันผลในระดับสูงกว่าตลาดและ Sector กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ สำหรับในปี พ.ศ.2557 ที่ผ่านมา บริษัทมีการจ่ายเงินปันผล 0.95 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น Dividend yield 13.57%
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นโดยมองว่า นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ที่จะแถลงในวันนี้มีแนวโน้มเพียง 20% เท่านั้นที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในเดือนมิถุนายน 2558 และมีโอกาส 50% ที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้นในเดือนกันยายน 2558 และถ้าหากว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในเดือนกันยายนเป็นไปตามเป้า แต่ความน่าจะเป็นในการปรับดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 70-80% ในเดือนธันวาคม 2558
“ช่วงสั้นตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีการฟิ้นตัว เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ได้สะท้อนเรื่องผลต่างอัตราดอกเบี้ยของ US และ EURO ไปแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสประสบกับวิกฤตเงินทุนไหลออกเหมือน QE Tapering ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี พ.ศ. 2556 อีกครั้งในกลางไตรมาส 2 ประกอบกับวิกฤตทางด้านยุโรป อาจจะกลับมาสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหนึ่ง และอาจจะเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่ EPS ของตลาดหุ้นไทยยังถูกปรับลดความน่าเชื่อถือลง (Downgrade) แต่มองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าทำการสะสมหุ้นในกลางไตรมาส 2 อีกครั้ง เนื่องจากการที่ Fed เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ช่วงปลายปี อีกทั้งราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ.2558 ทำให้หุ้นมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของสภาพคล่องทั่วโลก (Liquidity) ในขณะเดียวกัน ประเทศจีนได้เริ่มมีมาตรการการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น”
นอกจากนี้ ยังคาดว่าธนาคารยุโรป จะยังทำการซื้อสินทรัพย์ประเภทพันธบัตร หรือ QE จนกระทั่งถึงเดือนกันยายน 2559 และมีโอกาสทำต่อเนื่องนานกว่านั้น ซึ่งมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB จะอยู่ในช่วงกลางปี พ.ศ.2561 ทั้งนี้ ได้ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,680-1,700 จุด บน P/E เฉลี่ยที่ 14.3 เท่า
ขณะที่ นายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทฯว่า ปีที่ผ่านมา บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 191.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% โดยมีสัดส่วนของธุรกิจรายได้ แบ่งเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ (Brokerage) 45% ธุรกิจการลงทุน (Investment) 19.42% ธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) 6.74% ธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) 6.38% ดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ 14.84% และรายได้อื่นๆ 7.62%
“ก้าวต่อไปของบริษัทคือ มุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 20% ในทุกกลุ่มธุรกิจซึ่งถือเป็นวิสัยทัศน์ของบริษัทในปีนี้ โดยธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) บริษัทมีกลยุทธ์ในการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร เน้นไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มไฮเน็ตเวิร์ก และกลุ่มลูกค้าองค์กร นอกจากนี้ ยังเน้นการเข้าถึงลูกค้าด้วยการจัดงานสัมมนาให้ความรู้แก่นักลงทุน และจัดทำบทวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมา ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ออกบทวิเคราะห์ The Big Picture Plus ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าในเรื่องของการให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด โดยปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนมาแล้วตั้งแต่ต้นปี 2558 มากกว่า 20%”
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจวาณิชธนกิจ บริษัทมีแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) และหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ (PP) รวมถึงงานที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างทางการเงินตั้งเป้าไว้จะเพิ่มขึ้นอีก 4-6 ราย ทั้งในตลาด SET และตลาด mai ซึ่งครอบคลุมหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน เช่าซื้อ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและสำนักงาน ธุรกิจการเงิน สื่อและสิ่งพิมพ์ ทั้งนี้ ในส่วนธุรกิจด้านการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม (Asset Under Management) เพิ่มสูงขึ้นจาก 2,305 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2557 มาเป็น 2,900 ล้านบาท ในปัจจุบัน โดยบริษัทตั้งเป้าจะสร้างผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าอย่างน้อย 15% และจะปรับเป้าขยายมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารเป็น 3,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีนโยบายในการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 50% ของผลกำไร โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 เป็นต้นมา บริษัทสามารถจ่ายปันผลในระดับสูงกว่าตลาดและ Sector กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ สำหรับในปี พ.ศ.2557 ที่ผ่านมา บริษัทมีการจ่ายเงินปันผล 0.95 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น Dividend yield 13.57%