ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดชาสมุนไพรร้อนระอุ “ไทยเบฟเวอเรจ” สานแผน “นอน-แอลกอฮอล์” 50% ส่ง “จับใจ” ลงสนามชาสมุนไพร หวังแชร์ 30% จากมูลค่าตลาดกว่า 3.8 – 4 พันล้านบาท มั่นใจจุดแข็งด้านการกระจายสินค้าครอบคลุมกว่า 4 แสนแห่งทั่วประเทศ ทุ่มงบฯ 200 ล้านบาท เดินเกมตลาดเต็มที่ ดึง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ศึกนี้หวังชนกับ “เย็นเย็น” ลูกรักมาแรงของ ตัน ภาสกรนที เต็มแรง
ตลาดเครื่องดื่มสมุนไพร ร้อนระอุขึ้นมาทันที เมื่อ ค่ายไทยเบฟ ส่งแบรนด์ “จับใจ” ออกมาหวังชนกับ แบรนด์ “เย็นเย็น” ของตัน ภาสกรนที ที่ทำตลาดล่วงหน้านานกว่า2 ปีแล้ว และกลายเป็นพระเอกตัวสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการยอดขายของ กลุ่มอิชิตันเติบโตอย่างดี แต่ค่ายไทยเบฟก็ไม่ใช่รายเล็กๆ เพราะพร้อมที่จะทุ่มสรรพกำลังรวมทั้งงบประมาณในการแจ้งเกิดแบรนด์ จับใจ ได้อยู่แล้ว
นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ผู้บริหารและพัฒนาธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของบริษัทในเครือไทยเบฟเวอเรจ เปิดเผยว่า ตามวิสัยทัศน์ 2020 ของกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจมีเป้าหมายทำยอดขายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ให้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของรายได้รวม บริษัทฯ จึงใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่คือ “ชาสมุนไพร” (Herbal Tea) สูตร “จับเลี้ยง” ภายใต้แบรนด์ “จับใจ”
ตลาดรวมของชาพร้อมดื่มในประเทศไทยมีมูลค่า 10,500 ล้านบาท มีการเติบโต 25% ในขณะที่ “ชาสมุนไพร” มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 45% หรือมีมูลค่า 3,854 – 4,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ของตลาดรวมชาพร้อมดื่มที่ โดยคาดว่าในปี 2558 ตลาดชาพร้อมดื่มจะเติบโต 20% ขณะที่ชาสมุนไพรจะเติบโต 15-20% เนื่องจากอัตราการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคกลุ่มต่างๆ (Penetration) มีเพียงแค่ 56%
“จากปัจจัยลบด้านการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคในอัตรา 56% จึงทำให้บริษัทฯ ดำเนินกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในการตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ครบถ้วน ทั้งในเรื่องของอายุผู้บริโภค ระยะเวลาของผลิตภัณฑ์ คุณภาพสินค้า และการเก็บรักษา โดยคาดว่าในปีแรกจะสามารถทำยอดขายได้ 30% ของตลาดรวมชาสมุนไพร”
นายมารุต กล่าวในตอนท้ายว่า จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 4 กลุ่ม แบ่งตามสัดส่วนรายได้คือ น้ำอัดลม “เอส” เครื่องดื่มเกลือแร่ “100 Plus” ชาสมุนไพร “จับใจ” และน้ำดื่มและโซดา “ช้าง”
ด้าน นายสัมฤทธิ์ ลู่วีระพันธ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพาณิชย์ บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นบริษัทฯ ผลิตชาสมุนไพร “จับใจ” ด้วยกำลังการผลิต 15 ล้วนขวดต่อเดือน โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากมีจุดเด่น 3 ส่วนสำคัญคือ 1.คุณภาพที่ผลิตจากสมุนไพร 10 ชนิด 2.ราคาจำหน่ายขวด PET ขนาด 400 มิลลิตร ราคา 10 บาท 3.การกระจายสินค้าทั่วประเทศ
บริษัทฯ เน้นจุดเด่นด้านการกระจายสินค้าผ่านหน่วยรถขายเป็นจำนวนกว่า 3 พันคัน แบ่งเป็นหน่วยรถขายของบริษัทฯ ประมาณ 1 พันคัน หน่วยรถขายของบริษัท เสริมสุขจำกัด ประมาณ 1 พันคัน และหน่วยรถขายของบริษัทพันธมิตรธุรกิจ ประมาณ 800 คัน ทำให้สามารถกระจายสินค้าครอบคลุมร้านค้าและร้านอาหารเป็นจำนวนกว่า 4 แสนแห่งทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางโมเดิร์นเทรด
ในเบื้องต้นบริษัทฯ ใช้งบประมาณการตลาด 200 ล้านบาท ครอบคลุมการตลาด 360 องศา ภายใต้แนวคิด “จับใจมหาชน” เพื่อเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทุกเพศทุกวัย ทั้ง offline และ online ผ่าน www.facebook.com/จับใจมหาชน โดยมี “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด รวมถึงแจกสินค้าทดลองดื่ม ณ จุดขายต่างๆ ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตัน ภาสกรนที ปั้นแบรนด์เย็นเย็นออกมาทำตลาดก่อนเกือบ 2 ปี ซึ่งตันเคยกล่าวไว้ว่า ตลาดเครื่องดื่มสมุนไพร โดยเฉพาะน้ำจับเลี้ยง มีโอกาสทางการตลาดและแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าตลาดชาเขียว ซึ่งหลังจกาที่อิชิตันทำ เย็นเย็น แล้ว ก็มีแบรนด์ใหม่ลงตลาดอีก เช่น ฮาบุของค่ายโค้ก และแบรนด์ เก๊กหล่อ ของอดีตผู้บริหารค่ายไทยเบฟ ซ่งตันมองว่าเป็นเรื่องที่ดีถ้าหากมีผู้ประกอบการมากขึ้น จะทำให้ตลาดโตขึ้นและผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น
ปัจจัยความสำเร็จของการสร้าง แบรนด์เย็นเย็น นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เริ่มแรกคือ ชื่อ เย็นเย็น ที่ง่ายต่อการจดจำและเป็นประโยคที่ผู้บริโภคจะพูดขึ้นเมื่อต้องการน้ำดื่มที่เย็นๆ นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องของรสชาติที่พัฒนาขึ้นมาได้อย่างลงตัว งและที่พลาดไม่ได้คือ การทำการตลาดสไตล์ตัน ภาสกรนที ทั้งโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมทั้งการวางตำแหน่งสินค้า ที่เน้นว่าการดับร้อนดับความเผ็ดของอาหาร ไม่ใช่ไปเน้นเรื่องการดื่มเพื่อแก้ร้อนใน เหมือนแบรดน์คู่แข่งรายอื่น
แน่นอนว่าเมื่อ แบรนด์ จับใจ ของค่ายโออิชิวางตลาด ก็ย่อมทำให้ตลาดรวมสดใสขึ้นมาทันที ยังไม่นับรวมรายอื่นในตลาดอีกหลายแบรนด์ ที่สร้างสีสัน แม้จะไม่แรงเท่ากับ 2 แบรนด์นี้ก็ตามเช่น เพียวริคุเฮอร์เบิลทีของค่ายกระทิงแดง และแบรนด์ไอวี่ของค่ายไอพีเทรดดิ้ง แบรดน์เก๊กหล่อ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำตลาดไม่ถึงปี
น่าสังเกตุว่า ตัวผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะคล้ายคลึงกันเหลือเกินตั้งแต่รูปทรงของขวด สีสัน ลวดลาย แม้แต่ชื่อก็เหมือนเป็นการเกทับกัน โดย แบรนด์เย็นเย็น ใช้รูปพัดเป็นพื้นหลังของแบรนด์ ขณะที่ จับใจ จะมีรูปคล้ายๆใบพัดหรือพัดลมแล้วแต่จะมอง2 อัน เหมือนกับว่าจะมีความเย็นกว่าอย่างงั้น หรือแม้แต่ ที่ค่ายโออิชิเล่นเอาคำว่า เย็น มาใช้ 1 คำ ก่อนที่จะเชื่อมโยงเข้ากับชื่อแบรนด์ จับใจ
ทว่า นายมารุต ผู้บริหารแบรนด์ จับใจ ย้ำอยู่เสมอว่า มันไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ตัวหนังสือหรือฟ้อนท์ ฝาขวดคนละสี ฉลากก็แตกต่างกัน ที่เหมือนกันก็คือ ขวด เพ็ท 400 ม.ล. ซี่งเรามั่นใจคุณภาพดีกว่า เพราะจับใจผลิตมาจากสูตรโบราณของรุ่นอาม่าเลย และเขาย้ำตลอดว่า ปีแรกเราขอยอมคนที่มาก่อน แต่ปีต่อไปรับรองว่าต้องมีอะไรที่แรงขึ้นเราต้องขยายตลาดแน่นนอเช่นออกรสชาติใหม่
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ระหว่าง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ที่ จับใจ ต้องทุ่มงบเพื่อจ้างมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ จะสามารถสู้รบตบมือกับ “ตัน ภาสกรนที” พรีเซ็นเตอร์ตัวหลักของ เย็นเย็น ที่ไม่ต้องมีต้นทุนค่าจ้างเลยแม้แต่บาทเดียว ได้มากน้อยแค่ไหน ศึกยกนี้เพิ่งเริ่มยกแรก
ตลาดเครื่องดื่มสมุนไพร ร้อนระอุขึ้นมาทันที เมื่อ ค่ายไทยเบฟ ส่งแบรนด์ “จับใจ” ออกมาหวังชนกับ แบรนด์ “เย็นเย็น” ของตัน ภาสกรนที ที่ทำตลาดล่วงหน้านานกว่า2 ปีแล้ว และกลายเป็นพระเอกตัวสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการยอดขายของ กลุ่มอิชิตันเติบโตอย่างดี แต่ค่ายไทยเบฟก็ไม่ใช่รายเล็กๆ เพราะพร้อมที่จะทุ่มสรรพกำลังรวมทั้งงบประมาณในการแจ้งเกิดแบรนด์ จับใจ ได้อยู่แล้ว
นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ผู้บริหารและพัฒนาธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของบริษัทในเครือไทยเบฟเวอเรจ เปิดเผยว่า ตามวิสัยทัศน์ 2020 ของกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจมีเป้าหมายทำยอดขายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ให้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของรายได้รวม บริษัทฯ จึงใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่คือ “ชาสมุนไพร” (Herbal Tea) สูตร “จับเลี้ยง” ภายใต้แบรนด์ “จับใจ”
ตลาดรวมของชาพร้อมดื่มในประเทศไทยมีมูลค่า 10,500 ล้านบาท มีการเติบโต 25% ในขณะที่ “ชาสมุนไพร” มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 45% หรือมีมูลค่า 3,854 – 4,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ของตลาดรวมชาพร้อมดื่มที่ โดยคาดว่าในปี 2558 ตลาดชาพร้อมดื่มจะเติบโต 20% ขณะที่ชาสมุนไพรจะเติบโต 15-20% เนื่องจากอัตราการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคกลุ่มต่างๆ (Penetration) มีเพียงแค่ 56%
“จากปัจจัยลบด้านการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคในอัตรา 56% จึงทำให้บริษัทฯ ดำเนินกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในการตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ครบถ้วน ทั้งในเรื่องของอายุผู้บริโภค ระยะเวลาของผลิตภัณฑ์ คุณภาพสินค้า และการเก็บรักษา โดยคาดว่าในปีแรกจะสามารถทำยอดขายได้ 30% ของตลาดรวมชาสมุนไพร”
นายมารุต กล่าวในตอนท้ายว่า จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 4 กลุ่ม แบ่งตามสัดส่วนรายได้คือ น้ำอัดลม “เอส” เครื่องดื่มเกลือแร่ “100 Plus” ชาสมุนไพร “จับใจ” และน้ำดื่มและโซดา “ช้าง”
ด้าน นายสัมฤทธิ์ ลู่วีระพันธ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพาณิชย์ บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นบริษัทฯ ผลิตชาสมุนไพร “จับใจ” ด้วยกำลังการผลิต 15 ล้วนขวดต่อเดือน โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากมีจุดเด่น 3 ส่วนสำคัญคือ 1.คุณภาพที่ผลิตจากสมุนไพร 10 ชนิด 2.ราคาจำหน่ายขวด PET ขนาด 400 มิลลิตร ราคา 10 บาท 3.การกระจายสินค้าทั่วประเทศ
บริษัทฯ เน้นจุดเด่นด้านการกระจายสินค้าผ่านหน่วยรถขายเป็นจำนวนกว่า 3 พันคัน แบ่งเป็นหน่วยรถขายของบริษัทฯ ประมาณ 1 พันคัน หน่วยรถขายของบริษัท เสริมสุขจำกัด ประมาณ 1 พันคัน และหน่วยรถขายของบริษัทพันธมิตรธุรกิจ ประมาณ 800 คัน ทำให้สามารถกระจายสินค้าครอบคลุมร้านค้าและร้านอาหารเป็นจำนวนกว่า 4 แสนแห่งทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางโมเดิร์นเทรด
ในเบื้องต้นบริษัทฯ ใช้งบประมาณการตลาด 200 ล้านบาท ครอบคลุมการตลาด 360 องศา ภายใต้แนวคิด “จับใจมหาชน” เพื่อเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทุกเพศทุกวัย ทั้ง offline และ online ผ่าน www.facebook.com/จับใจมหาชน โดยมี “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด รวมถึงแจกสินค้าทดลองดื่ม ณ จุดขายต่างๆ ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตัน ภาสกรนที ปั้นแบรนด์เย็นเย็นออกมาทำตลาดก่อนเกือบ 2 ปี ซึ่งตันเคยกล่าวไว้ว่า ตลาดเครื่องดื่มสมุนไพร โดยเฉพาะน้ำจับเลี้ยง มีโอกาสทางการตลาดและแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าตลาดชาเขียว ซึ่งหลังจกาที่อิชิตันทำ เย็นเย็น แล้ว ก็มีแบรนด์ใหม่ลงตลาดอีก เช่น ฮาบุของค่ายโค้ก และแบรนด์ เก๊กหล่อ ของอดีตผู้บริหารค่ายไทยเบฟ ซ่งตันมองว่าเป็นเรื่องที่ดีถ้าหากมีผู้ประกอบการมากขึ้น จะทำให้ตลาดโตขึ้นและผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น
ปัจจัยความสำเร็จของการสร้าง แบรนด์เย็นเย็น นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เริ่มแรกคือ ชื่อ เย็นเย็น ที่ง่ายต่อการจดจำและเป็นประโยคที่ผู้บริโภคจะพูดขึ้นเมื่อต้องการน้ำดื่มที่เย็นๆ นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องของรสชาติที่พัฒนาขึ้นมาได้อย่างลงตัว งและที่พลาดไม่ได้คือ การทำการตลาดสไตล์ตัน ภาสกรนที ทั้งโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมทั้งการวางตำแหน่งสินค้า ที่เน้นว่าการดับร้อนดับความเผ็ดของอาหาร ไม่ใช่ไปเน้นเรื่องการดื่มเพื่อแก้ร้อนใน เหมือนแบรดน์คู่แข่งรายอื่น
แน่นอนว่าเมื่อ แบรนด์ จับใจ ของค่ายโออิชิวางตลาด ก็ย่อมทำให้ตลาดรวมสดใสขึ้นมาทันที ยังไม่นับรวมรายอื่นในตลาดอีกหลายแบรนด์ ที่สร้างสีสัน แม้จะไม่แรงเท่ากับ 2 แบรนด์นี้ก็ตามเช่น เพียวริคุเฮอร์เบิลทีของค่ายกระทิงแดง และแบรนด์ไอวี่ของค่ายไอพีเทรดดิ้ง แบรดน์เก๊กหล่อ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำตลาดไม่ถึงปี
น่าสังเกตุว่า ตัวผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะคล้ายคลึงกันเหลือเกินตั้งแต่รูปทรงของขวด สีสัน ลวดลาย แม้แต่ชื่อก็เหมือนเป็นการเกทับกัน โดย แบรนด์เย็นเย็น ใช้รูปพัดเป็นพื้นหลังของแบรนด์ ขณะที่ จับใจ จะมีรูปคล้ายๆใบพัดหรือพัดลมแล้วแต่จะมอง2 อัน เหมือนกับว่าจะมีความเย็นกว่าอย่างงั้น หรือแม้แต่ ที่ค่ายโออิชิเล่นเอาคำว่า เย็น มาใช้ 1 คำ ก่อนที่จะเชื่อมโยงเข้ากับชื่อแบรนด์ จับใจ
ทว่า นายมารุต ผู้บริหารแบรนด์ จับใจ ย้ำอยู่เสมอว่า มันไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ตัวหนังสือหรือฟ้อนท์ ฝาขวดคนละสี ฉลากก็แตกต่างกัน ที่เหมือนกันก็คือ ขวด เพ็ท 400 ม.ล. ซี่งเรามั่นใจคุณภาพดีกว่า เพราะจับใจผลิตมาจากสูตรโบราณของรุ่นอาม่าเลย และเขาย้ำตลอดว่า ปีแรกเราขอยอมคนที่มาก่อน แต่ปีต่อไปรับรองว่าต้องมีอะไรที่แรงขึ้นเราต้องขยายตลาดแน่นนอเช่นออกรสชาติใหม่
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ระหว่าง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ที่ จับใจ ต้องทุ่มงบเพื่อจ้างมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ จะสามารถสู้รบตบมือกับ “ตัน ภาสกรนที” พรีเซ็นเตอร์ตัวหลักของ เย็นเย็น ที่ไม่ต้องมีต้นทุนค่าจ้างเลยแม้แต่บาทเดียว ได้มากน้อยแค่ไหน ศึกยกนี้เพิ่งเริ่มยกแรก