“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
รวยเพราะเฮง-รวยเพราะเก่ง-รวยเพราะโกง!
เรื่องคนรวยทั่วโลกเนี่ย มันเป็นเรื่องน่าสนใจและเป็นข่าวที่ ขายได้-ขายดี-ขายได้ทุกปี-ขายได้ เพราะคนอยากรู้อยากเห็นว่า มหาเศรษฐีคนไหนชาติไหน ติดอันดับ 1 ในชาติของตน และติดอันดับ 1 ของโลก “นิตยสารฟอร์บส์” ได้ทำมาหากินอย่างเป็นล่ำเป็นสัน กับการจัดอันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกทุกปี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 ฟอร์บส์เผยผลการจัดอันดับ บุคคลที่มีทรัพย์สินเงินทอง ตั้งแต่ 1,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไปทั่วโลก ดังนี้
“บิลล์ เกตส์” เจ้าพ่อแห่ง “ไมโครซอร์ฟ” คือ อภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก นับเป็นปีที่ 16 ในรอบ 21 ปีหลังสุด ด้วยทรัพย์สิน 79,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 76,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
“การ์ลอส สลิม” เจ้าพ่อโทรคมนาคมเม็กซิโก เป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก ด้วยทรัพย์สิน 77,100 ล้านดอลลาร์ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนชื่อดังเจ้าของ “บริษัท เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์” เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก ด้วยทรัพย์สิน 72,700 ล้านดอลลาร์ “อามันซิโอ ออร์เตกา” นักธุรกิจชาวสเปน ผู้ก่อตั้งบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้า “ซารา” ด้วยทรัพย์สิน 64,500 ล้านดอลลาร์ ส่วนมหาเศรษฐีอันดับ 5 ของโลก คือ “แลร์รี เอลลิสัน” ประธานบริษัท “ออราเคิล” ด้วยทรัพย์สิน 54,300 ล้านดอลลาร์
ฟอร์บส์ระบุว่า ทรัพย์สินของ “บัฟเฟตต์” เพิ่มจากปีก่อนถึง 14,500 ล้านดอลลาร์ มากกว่าอภิมหาเศรษฐีคนอื่นๆ ในโลก แม้เขาจะบริจาคเงินมากกว่า 2,800 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรการกุศลหลายแห่ง เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ส่วน “อาลิโก ดังโกเต” มหาเศรษฐีชาวไนจีเรีย ซึ่งรวยที่สุดในดินแดนแอฟริกา จากธุรกิจซีเมนต์และสินค้าอุปโภคบริโภค มีทรัพย์สินเงินทอง 25,000 ล้านดอลลาร์ ปรากฏว่า “ขนหน้าแข้ง”ของอภิมหาเศรษฐีคนนี้ “ร่วง”หรือหดหายไปกว่า 10,300 ล้านดอลลาร์ จนเหลือเพียง 14,700 ล้านดอลลาร์
ฟอร์บส์ยังเผยว่า ปีนี้ผู้คนทั่วโลกที่เข้าข่ายมั่งคั่ง เกินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ มีทั้งสิ้น 1,826 คน เพิ่มขึ้นจาก 1,645 คนในปี 2014 ถ้าเอาทรัพย์สินเงินทอง ของอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้มากองรวมกัน จะมีมูลค่าสูงถึง 7.05 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 6.4 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
งานนี้..นักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีคงหงุดหงิด เพราะผู้ติดอันดับอภิมหาเศรษฐีของโลก ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ชายอกสามศอก เป็นผู้หญิงเพียงแค่ 197 คน แต่ก็เพิ่มขึ้นจาก 172 คนในปีที่แล้ว โดยสตรีที่รวยที่สุดในโลก ในปีนี้ คือ “คริสตี วอลตัน” ภรรยาม่ายของ “จอห์น วอลตัน” ลูกชายของ “แซม วอลตัน” ผู้ก่อตั้งเครือข่ายห้างสรรพสินค้า “วอลล์-มาร์ท สโตร์” เธอมีทรัพย์สิน 41,700 ล้านดอลลาร์ ครองอันดับเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 8 ของโลก
ส่วนอภิมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดของโลก ตกเป็นของ “อีวาน สปีเกล” วัย 24 ปี กับ “บ็อบบี้ เมอร์ฟี” วัย 25 ปี ผู้ร่วมก่อตั้ง “สแน็ปแชต” แอปพลิเคชั่นยอดฮิตทางโทรศัพท์มือถือ ด้วยทรัพย์สินคนละ 1,500 ล้านดอลลาร์
ส่วนอันดับอื่นๆ ที่น่าสนใจ คือ “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” เจ้าพ่อ “เฟซบุ๊ก” วัย 30 ปี ที่ขยับจากอภิมหาเศรษฐีอันดับที่ 21 ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 16 หลังทรัพย์สินเพิ่มสูงขึ้นเป็น 34,800 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ “ไมเคิล จอร์แดน” อดีตนักบาสเกตบอลชื่อดังของ ชิคาร์โก บูลส์ และเจ้าของสโมสร “ชาร์ลอตต์ ฮอร์เนตส์” ในปัจจุบัน รั้งอันดับ 1,741 ด้วยทรัพย์สิน 1,000 ล้านดอลลาร์
สหรัฐยังเป็นชาติร่ำรวยอภิมหาเศรษฐี ระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์ มากที่สุดในโลกเช่นเดิม คือมีจำนวน 536 คน ตามด้วยจีน 213 คน เยอรมนี 103 คน อินเดีย 90 คน ส่วนรัสเซียกำลังเจอวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นชาติที่อภิมหาเศรษฐีลดลงจาก 111 คน เหลือเพียง 88 คน
คราวนี้มาดู “เมืองไทยใหญ่อุดม ดินดีสมเป็นนาสวน” ยังคงมีอภิมหาเศรษฐีติดอันดับโลก 11 คนเท่าเดิม
อันดับ 1 “ธนินท์ เจียรวนนท์” เจ้าของ “เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)” มีทรัพย์สิน 13,600 ล้านดอลลาร์ อันดับ 81 ของโลก
อันดับ 2 “เจริญ สิริวัฒนภักดี” เจ้าพ่อ “เบียร์ช้าง” มีทรัพย์สิน 13,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 87 ของโลก
อันดับ 3 “กฤตย์ รัตนรักษ์” เจ้าพ่อ “ช่องเจ็ดสี ทีวีเพื่อคุณ” และ “ธนาคารกรุงศรีอยุธยา” มีทรัพย์สิน 3,800 ล้านดอลลาร์ อันดับ 452 ของโลก
อันดับ 4 “วาณิช ไชยวรรณ” เจ้าของ “ไทยประกันชีวิต” มีทรัพย์สิน 3,700 ล้านดอลลาร์ อันดับ 462ของโลก
อันดับ 5 “ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” เจ้าของ”บางกอกแอร์เวย์ส” มีทรัพย์สิน 2,800 ล้านดอลลาร์ อันดับ 663 ของโลก
อันดับ 6 “วิชัย ศรีวัฒนประภา” เจ้าของ “คิง พาวเวอร์” มีทรัพย์สิน 2,600 ล้านดอลลาร์ อันดับ 714 ของโลก
อันดับ 7 “ทักษิณ ชินวัตร” นักธุรกิจการเมือง มีทรัพย์สิน 1,700 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,118 ของโลก
อันดับ 8-9-10 “ทองมา วิจัตรพงศ์พันธ์” เจ้าของ “พฤกษาเรียลเอสเตท” กับ “คีรี กาญจนพาสน์” เจ้าของธุรกิจรถไฟฟ้า “บีทีเอส” และ “สุดธิดา รัตนรักษ์” เจ้าของธุรกิจสื่อและอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง 3 คนนี้ มีทรัพย์สินพอๆกัน คือ ประมาณ 1,700 ล้านดอลลาร์ แต่รายแรกติดอันดับ 1,118 ของโลก ขณะที่ “คีรี” กับ “สุดธิดา” ติดอันดับ 1,173 ของโลกเท่ากัน
ที่เหลือเชื่อและน่าสนใจที่สุด คืออภิมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยรวดเร็วยิ่งกว่า “ปาฏิหาริย์” พุ่งพรวดเป็นคนรวยอันดับ 11 ของชาติไทย ชื่อ “วิชัย ทองแตง” อดีตทนายความคดีซุกหุ้นของ “ทักษิณ” ที่ผันตนเองมาเป็นนักลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และยังลงทุนธุรกิจต่างๆ ในยุครัฐบาลเครือข่ายทุนสามานย์ “ทักษิณ” ครองเมือง “วิชัย”มีทรัพย์สินมากถึง 1,600 ล้านดอลลาร์ ติดอันดับ 1,190 ของโลกไปแล้ว
เรียกว่า..ใครก็ตามที่ยอมตนเป็นขี้ข้ารับใช้ตระกูล “ชินวัตร”อย่างซื่อสัตย์ มักจะร่ำรวยเงินทอง ทรัพย์สินทันอกทันใจแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พลิกจากชีวิต “บัดซบ”กิน“ผักบุ้งริมคลอง” มาเป็น “ชีวิตหรูหรา”กิน“เซอร์ลอยด์สเต็ก” เรียกว่า..เปลี่ยนจาก “หลังตีน”มาเป็น“หน้ามือ”กันแทบทุกตัวคน หรือร่ำรวยกันทั้ง “นายทาสชิน” และ“ลูกทาสเหลี่ยม” กันทีเดียวเชียวแหละ
อย่างไรก็ตาม รายชื่ออภิมหาเศรษฐีไทย 11 คนนี้ แทบทุกคนล้วนเกี่ยวพันเชื่อมโยง อยู่กับแวดวงอำนาจรัฐและกลไกรัฐทั้งลับและเปิดเผยทั้งสิ้น
กระทั่งนายทุนสามานย์บางคน ถึงกับกระโจนลงสู่สนามการเมือง ใช้เงินมหาศาลทุ่มซื้อ ส.ส.-ส.ว.-ซื้อเสียงประชาชน-ซื้อรัฐสภา-ซื้อรัฐบาล ฯลฯ เรียกว่า..ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า เพื่อใช้อำนาจรัฐและกลไกรัฐ ไปกับการโกงชาติบ้านเมือง โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายแม้แต่น้อย
นักธุรกิจสามานย์ทางการเมืองนี้ ทำให้การเมืองและค่านิยมของชาติไทยทุกมิติ ตกต่ำสุดๆไปกับการไร้ คุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม ฯลฯ จนสังคมไทยไร้หลักการ “ทำดีได้ดี” แต่กลับกลายเป็น “ทำชั่วได้ดีมีให้เห็นถมไป” เป็นสังคมไร้สิ้นซึ่งความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสังคมที่แก่งแย่งชิงดีกันสุดเหวี่ยง เพราะยึดถือทรัพย์สิน-เงินทอง-ยศถาบรรดาศักดิ์เป็นสรณะ
จนถึงกับโกงชาติและเข่นฆ่ากันได้ โดยไม่ละอายต่อบาปกรรม และไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของบ้านเมือง เพียงเพื่อให้ตนกับพวกพ้อง ได้กอบโกยผลประโยชน์กันแบบผิดๆ เท่านั้น
ฉบับหน้า..มาดูอภิมหาเศรษฐีไทยบางคนว่า
มันรวยเพราะ “เฮง” หรือ มันรวยเพราะ “เก่ง” หรือ มันรวยเพราะ “โกง” ดีไหมครับ?