xs
xsm
sm
md
lg

เชียงใหม่อ่วมมลพิษหมอกควัน ระดมพ่นละอองน้ำรอบเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - สถานการณ์มลพิษหมอกควันไฟป่าภาคเหนือหลายจังหวัดยังอ่วม พบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐานต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ระดมทุกหน่วยงานฉีดพ่นละอองน้ำรอบเมืองเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศหวังบรรเทาสถานการณ์หมอกควัน พร้อมรณรงค์กระตุ้นประชาชนมีส่วนร่วมในการคลี่คลายปัญหา ระบุนักท่องเที่ยวยังมั่นใจไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่การขึ้นลงของเครื่องบินเป็นปกติไร้ปัญหาเพราะมีระบบนำร่องทันสมัย ส่วนสถิติผู้ป่วยเนื่องจากหมอกควันได้ประสานให้ สสจ.รวบรวมข้อมูลแล้ว เชื่อไม่สูงถึง 3 แสนคนเหมือนปีที่ผ่านมา

วานนี้ (3 มี.ค.) ที่บริเวณประตูท่าแพในตัวเมืองเชียงใหม่ นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดกิจกรรมเพิ่มความชุ่มชื้นให้อากาศ โดยระดมทุกหน่วยงานที่มียานพาหนะและอุปกรณ์ ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่ กองบิน 41 มณฑลทหารบกที่ 33 และหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันทำการเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศด้วยการฉีดน้ำล้างถนน รดน้ำต้นไม้ และพ่นละอองน้ำในอากาศรอบพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ หลังจากที่ จ.เชียงใหม่ ประสบปัญหามลพิษอากาศหมอกควันและไฟป่า โดยมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 สูงเกินค่ามาตรฐาน จนอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.58 ต่อเนื่องกันมาจนถึงวันนี้เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน

ทั้งนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ปัจจัยสำคัญมาจากกระแสลมที่พัดพาหมอกควันไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้านและจังหวัดข้างเคียงเข้ามา อย่างไรก็ตาม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการทุกอย่างเพื่อบรรเทาความรุนแรงปัญหาโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องไม่ให้มีการเผาในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกจนเป็นปัจจัยซ้ำเติมสภาพปัญหาที่มีอยู่ ซึ่งเวลานี้ได้สั่งการให้ทุกอำเภอจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุหมอกควันและไฟป่าตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว เชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น

ในส่วนของการท่องเที่ยวเบื้องต้นยังไม่ปรากฏว่าเกิดผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น โดยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ยังคงเดินทางท่องเที่ยวตามปกติ ขณะที่ผลกระทบต่อสุขภาพนั้น เวลานี้ได้ประสานกับทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ให้ทำการรวบรวมข้อมูลสถิติเกี่ยวกับผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพเนื่องจากสถานการณ์ปัญหามลพิษหมอกควันและไฟป่า ทั้งนี้ยังคงเชื่อว่าจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบในปีนี้จะลดลงจากปีก่อนที่มีมากกว่า 3 แสนคน

“ ถึงเวลานี้สถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้นยังไม่ส่งผลกระทบต่อการขึ้นลงของเครื่องบินแต่อย่างใดทั้งสิ้น เนื่องจากท่าอากาศยานเชียงใหม่มีระบบนำร่องที่ทันสมัยรองรับการขึ้นลงของเครื่องบินอยู่แล้ว”

**เชียงใหม่ยังอ่วมมลพิษหมอกควัน

นายจงคล้าย วรพงศธร ผอ.สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงสถานการณ์มลพิษหมอกควันและไฟป่าของ จ.เชียงใหม่ว่า ขณะนี้ยังคงมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 สูงเกินค่ามาตรฐาน 120 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร โดยผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศที่สถานีศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 อยู่ที่ 150 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และสถานีโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย พบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 อยู่ที่ 181 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งคุณภาพอากาศโดยรวมถือว่าอยู่ในระดับปานกลางถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ทั้งนี้ ยอมรับว่าสถานการณ์ปัญหาของ จ.เชียงใหม่ ในปีนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน หากพิจารณาจากการที่วันที่ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 เกินค่ามาตรฐานเกิดขึ้นเร็วกว่า โดยต้นเหตุหลักมาจากทิศทางลมที่พัดพาเอาหมอกควันไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้านและจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาสู่พื้นที่ จ.เชียงใหม่ ประกอบการเผาในพื้นที่ด้วยทำให้เกิดปัญหาขึ้น ซึ่งเมื่อเกิดสถานการณ์ปัญหาขึ้นแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้มีการประชุมสั่งการทันทีให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทุกภาคส่วนเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติงานทุกด้านในการลดการเผาทุกชนิดลงให้ได้มากที่สุด เพื่อบรรเทาและคลี่คลายความรุนแรงของปัญหาลงให้ได้มากที่สุด

ส่วนรายงานสถิติรับแจ้งเหตุและปฏิบัติการดับไฟป่าสะสมของ จ.เชียงใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.-1 มี.ค. 58 มีจำนวนรวม 234 ครั้ง พื้นที่ป่าเสียหาย 1,699.50 ไร่ ขณะที่จุดความร้อน (Hotspot) สะสมมีจำนวน 265 จุด ซึ่งอำเภอที่มีจุดความร้อนสะสมมากที่สุดคือ อำเภอแม่แจ่ม 47 ครั้ง โดยจากการตรวจสอบพบว่าทั้งหมดเป็นการเผาไร่ข้าวโพด

**หมอกควันพะเยาทะลุเกินเกณฑ์

ส่วนสถานการณ์หมอกควันและไฟป่าใน จ.พะเยา เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนแล้วเช่นกัน หลังระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนในอากาศ หรือ PM10 วานนี้พุ่งขึ้นไปแตะที่ 158 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เกินค่ามาตรฐาน 120 ไมโครกรัม/ลบ.ม.เป็นวันแรก ขณะที่ดัชนีคุณภาพอากาศหรือค่า AQI ก็ทะลุเกินค่ามาตรฐานไปอยู่ที่ 117 จากค่ามาตรฐาน 100 ทำให้ประชาชนแสบตากันทั่ว รวมไปถึงส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะเด็ก คนชรา และผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ

ด้านประชาชนที่ขับขี่รถสัญจรไปมาต้องใช้หน้ากากอนามัยปิดจมูกเพื่อป้องกันหมอกควันที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ อบจ.พะเยา ต้องนำรถฉีดพ่นละอองน้ำสร้างความชุ่มชื้น เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ ส่วนสาธารณสุขจังหวัดพะเยา ได้ออกคำเตือนว่าประชาชนทั่วไปควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมในพื้นที่ที่มีหมอกควันปกคลุม หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมหน้ากาก หรือใช้ผ้าปิดจมูก ปิดประตูหน้าต่างเพื่อกันฝุ่นควันเข้าบ้าน ติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามข้อแนะนำจากภาคราชการ และหากเกิดอาการเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์

**หมอกควันลำปางยังครองสถิติ

ส่วนที่ จ.ลำปาง สถานการณ์ไฟป่าหมอกควันยังคงน่าเป็นห่วงเนื่องจากค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอนในพื้นที่ จ.ลำปางยังคงสูงสุด ขณะที่กรมควบคุมมลพิษได้รายงานว่าค่า PM10 สูงสุดอยู่ที่สถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง วัดค่าได้ 210 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนอีก 3 สถานีที่อยู่ในพื้นที่ อ.แม่เมาะ วัดค่าได้ 168, 155 และ 152 ตามลำดับ ซึ่งเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้คือ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรทุกสถานี

ขณะที่ข้อมูลสาธารณสุขจังวหัดลำปางพบว่า จนถึงตอนนี้มีผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวด้วยโรคระบบทางเดินหายใจจำนวนกว่า 17,000 คนและสะสมมาแล้วถึงสองเดือน ดังนั้นจึงขอความร่วมมือประชาชนในการช่วยลดหมอกควันด้วยการฉีดพ่นน้ำโดยรอบบ้านเรือนของตนเองวันละสองครั้งทั้งเช้า-เย็นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ ลดปริมาณหมอกควัน ไฟป่า และเวลาออกนอกบ้านขอให้หาที่ปิดปากปิดจมูกด้วย รวมถึงเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ในการที่จะไม่ให้มีการเผาทุกชนิดเกิดขึ้น

ส่วนพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า อ.แม่สอด จ.ตาก ก็ประสบปัญหาหมอกควัน ไฟป่าคลุมเมืองเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขึ้น-ลงของเครื่องบินด้วย

**"น่านฟ้าหม่น" หมอกควันเริ่มหนา

ส่วนที่ จ.น่าน หมอกควันที่เป็นผลจากการเผาป่าเริ่มปกคลุมเหนือท้องฟ้าทั่วเมืองน่าน โดยประชาชนสามารถมองเห็นหมอกควันได้อย่างชัดเจน ขณะที่ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศเมืองน่าน จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษที่เทศบาลเมืองน่านวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 อยู่ที่ 145 ไมโครกรัม/ลบ.ม. สูงเกินมาตรฐาน 120 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน

ขณะที่กลุ่มพารามอเตอร์จังหวัดน่านที่ได้ขึ้นบินเก็บภาพมุมสูง พบว่ามีการเผาป่าเขตรอยต่ออำเภอปัว-อำเภอเชียงกลาง เป็นบริเวณกว้าง และต่อเนื่อง

นายลอย ใจจูน หัวหน้าหน่วยส่งเสริมควบคุมไฟป่าน่าน เปิดเผยว่า จากการลาดตระเวนพบมีไฟไหม้ป่ากระจายเป็นจุดๆ ทั่วบริเวณในหลายอำเภอ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ป่าลาดเชิงเขา และตามสันเขา ที่ชาวบ้านเข้าถือครองทำกิน โดยสาเหตุส่วนใหญ่เป็นการลักลอบเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตรเพาะปลูกพืช

"การเผาป่าที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดควันไฟจำนวนมากลอยปกคลุมเหนือพื้นที่ป่า รวมทั้งในเขตตัวเมืองน่าน ที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ทำให้มลพิษจากควันไฟปกคลุมสะสมหนาแน่น"
กำลังโหลดความคิดเห็น