ASTV ผู้จัดการรายวัน -ตลท.เปิดแผนการตลาด ตั้งเป้า Market Cap ให้ได้ 20 ล้านล้านบาทภายในปี 2563 อีกทั้งเตรียมปักหมุดโรดโชว์จังหวัดหัวเมืองรองร่วมกับโบรกเกอร์
ดันยอดนักลงทุนรายใหม่เพิ่มมากขึ้น
นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ตลท.ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น 20 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(Market Cap)อยู่ที่ 14,817,699.34 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 57,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังเตรียมที่จะเพิ่มยอดนักลงทุนหน้าใหม่ให้ได้ 1.5 ล้านรายภายในปี 2563 จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 7.7 แสนราย โดยในปี 58 ตั้งเป้าผู้ลงทุนใหม่ไม่นับซ้ำรายเดิมให้เพิ่มขึ้น 9.5 หมื่นราย โดยจะเน้นในต่างจังหวัดนอกเหนือจากหัวเมืองหลักเพิ่มขึ้น โดยจะโรดโชว์ร่วมกับโบรกเกอร์จะสร้างนักลงทุนใหม่ได้ 4 หมื่นราย จากปี 57 ที่ 3.7-3.8 หมื่นราย
"ตลท. ต้องการที่จะให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด สะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างแท้จริง ซึ่งในปีนี้คาดหวังว่ามาร์เก็ตแคปรวมจะปรับตัวขึ้นไปอย่างน้อยที่ 15-16 ล้านล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียนที่เข้ามาระดมทุนขายหุ้น IPO ใหม่ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ อีกทั้งในขณะนี้ค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปสูงถึง 18 เท่า เทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ประมาณ 16-19 เท่า เป็นมูลค่าที่แพง ขาดเสน่ห์ดึงดูดในการลงทุน"
อย่างไรก็ตาม ตลท.เตรียมผลักดันบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านการพิจารราจาก DJSI ซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญต่อบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งขนาดเล็ก-ขนาดใหญ่ จาก 10 บริษัท เช่น กลุ่ม PTT, SCC, TUF และ CPN เป็นต้น เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนไทยสามารถเติบโตไปยังตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ขณะเดียวกัน ตลท.ยังได้เตรียมวางแผนการเชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคลำน้ำโขง (GMS Linked) ได้แก่ ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ Depositary Receipt (DR) โดยอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นภายในไตรมาส 3 ปีนี้ และสามารถดำเนินการได้อย่างเร็วได้ในไตรมาส 4 ปีนี้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ตลท. ตั้งเป้ายอดนักลงทุนที่ซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตในปีในปี 2563 เพิ่มขึ้นให้ได้อย่างน้อย 50% จาก 43% ในปัจจุบันนี้ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในปีหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของมูลค่าการซื้อขายรวม
ดันยอดนักลงทุนรายใหม่เพิ่มมากขึ้น
นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ตลท.ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น 20 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(Market Cap)อยู่ที่ 14,817,699.34 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 57,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังเตรียมที่จะเพิ่มยอดนักลงทุนหน้าใหม่ให้ได้ 1.5 ล้านรายภายในปี 2563 จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 7.7 แสนราย โดยในปี 58 ตั้งเป้าผู้ลงทุนใหม่ไม่นับซ้ำรายเดิมให้เพิ่มขึ้น 9.5 หมื่นราย โดยจะเน้นในต่างจังหวัดนอกเหนือจากหัวเมืองหลักเพิ่มขึ้น โดยจะโรดโชว์ร่วมกับโบรกเกอร์จะสร้างนักลงทุนใหม่ได้ 4 หมื่นราย จากปี 57 ที่ 3.7-3.8 หมื่นราย
"ตลท. ต้องการที่จะให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด สะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างแท้จริง ซึ่งในปีนี้คาดหวังว่ามาร์เก็ตแคปรวมจะปรับตัวขึ้นไปอย่างน้อยที่ 15-16 ล้านล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียนที่เข้ามาระดมทุนขายหุ้น IPO ใหม่ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ อีกทั้งในขณะนี้ค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปสูงถึง 18 เท่า เทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ประมาณ 16-19 เท่า เป็นมูลค่าที่แพง ขาดเสน่ห์ดึงดูดในการลงทุน"
อย่างไรก็ตาม ตลท.เตรียมผลักดันบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านการพิจารราจาก DJSI ซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญต่อบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งขนาดเล็ก-ขนาดใหญ่ จาก 10 บริษัท เช่น กลุ่ม PTT, SCC, TUF และ CPN เป็นต้น เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนไทยสามารถเติบโตไปยังตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ขณะเดียวกัน ตลท.ยังได้เตรียมวางแผนการเชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคลำน้ำโขง (GMS Linked) ได้แก่ ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ Depositary Receipt (DR) โดยอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นภายในไตรมาส 3 ปีนี้ และสามารถดำเนินการได้อย่างเร็วได้ในไตรมาส 4 ปีนี้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ตลท. ตั้งเป้ายอดนักลงทุนที่ซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตในปีในปี 2563 เพิ่มขึ้นให้ได้อย่างน้อย 50% จาก 43% ในปัจจุบันนี้ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในปีหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของมูลค่าการซื้อขายรวม