...“ผมพูดตลอดว่าเหตุระเบิดส่วนใหญ่ 80-90 เปอร์เซ็นต์มาจากเรื่องการเมืองทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ผมพูดได้เลยว่าที่ผ่านมาในอดีตเกิดจากเรื่องการเมืองทั้งนั้น ถามว่าทำไมผมคิดอย่างนั้น เพราะผมอยู่กับเรื่องนี้ รู้มาโดยตลอด”….
เสียงดังฟังชัดจากคำยืนยันของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา (นรต.36) รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง โดยระบุถึงสาเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด “ไปป์บอมบ์” บริเวณลานน้ำพุทางเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส กับห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อค่ำวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และความเชื่อของรอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคงผู้นี้ยังเล็งไปที่คดีไปป์บอมบ์ สน.มีนบุรี เมื่อต้นปี 2557 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพกับคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทองเมื่อปี 2553 ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับคนเสื้อแดงทั้งสิ้น
ผ่านไป 7 วันแม้ตำรวจได้เบาะแสเพียงภาพจากวงจรปิดและเสนอต่อศาลออกหมายจับชายต้องสงสัย 2 คน ท่าทีสอดรับของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล (นรต.35) ผบช.น.ก็เริ่มแปร่งเปลี่ยน...
***** “นครบาลไม่เคยระบุว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ แต่นครบาลยืนยันให้ว่ากันไปตามหลักฐาน ส่วนจะระบุได้ว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ก็อยู่ที่เมื่อจับกุมผู้ต้องหาได้ต้องพาดพิงและยืนยันก่อน ส่วนจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมหรือไม่ ยืนยันตามหลักฐานให้ชัดเจนกว่านี้”****
รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง “ฟันธง”ว่าประเด็นมาจากการเมือง 80-90 เปอร์เซ็นต์ แต่ ผบช.น.ในฐานะเจ้าของพื้นที่ออกมาปฏิเสธในวันต่อมาว่าไม่เคยระบุสาเหตุมาจากเรื่องการเมืองแม้แต่น้อย แถมยังแสดงภูมิการเป็นมวยหลัก ว่ากันตามพยานหลักฐานไม่บุ่มบ่าม และไม่ยอมฟังธงอะไรง่ายๆ จนกว่าจะได้ตัวผู้ต้องสงสัยเสียก่อน
นิ่มๆ แต่เชือดเฉือน แน่นอนว่านับจากวินาทีนี้ต่อไป ชุดปฏิบัติการของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคงจะต้องเดินเครื่องเร่งมือทำงานอย่างเต็มที่ ขาวสารทุกสารทิศต้องนำมาประเมินความเป็นไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยอีกด่านหนึ่งการติดตามล่ามือระเบิดของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.ก็ต้องกระจายสรรพกำลังทั้งหมดที่มีลงพื้นที่ทุกตารางนิ้วเพื่อหาตัวคนร้ายให้ได้
**** เพราะนอกจากเป็นการทำหน้าที่ปกติแล้วยังมีเดิมพันศักดิ์ศรี เกียรติยศ รวมทั้งบำเหน็จใหญ่รออยู่ข้างหน้า****
ดังนั้นภาพที่ปรากฏว่ามีการแถลงข่าวร่วมกันคล้ายกับ “จับมือ” ทำงานกันอย่างแข็งขันจึงเป็นเพียงแค่การจัดฉากของตำรวจลายพราง เอาเข้าจริงก็เป็นไปตามคาด “บิ๊กแป๊ะ” กับ “บิ๊กปู” เหมือนพยัคฆ์ 2 ค่าย เสือ 2 ตัวที่ไม่สามารถอยู่ร่วมถ้ำกันได้
*** หากจะให้เห็นภาพกันจริงๆ คงต้องย้อนไปไกลจัดถึงคราวเล่าเรียนเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจกันเลยทีเดียว... ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักเรียนนายร้อยตำรวจหลายรุ่นที่ผลิตออกมา มีเพียง นรต.35 และ นรต.36 ที่เป็นคู่รักคู่แค้นกันมายาวนานเกือบครึ่งศตวรรษนั้น เคยมีประสบการณ์ไม่สู้ดีสมัย พล.ต.ท.ศรีวราห์ ยังเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 35 ปี 2 ส่วน พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 36 หรือเป็นรุ่นน้องจะต้องให้ความเคารพรุ่นพี่ ส่วนรุ่นพี่ก็ต้องให้การดูแล ช่วยชี้ทางสว่าง ตักเตือนบ้างในบางครั้ง****
แต่กาลไม่เป็นดังเจตนา เพราะมีปัญหาขัดแย้งอยู่เนืองๆ เช่น รุ่นน้องหัวแข็ง รุ่นพี่ชอบแกล้ง จนที่สุดเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตโดยนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 พากันประท้วงหยุดเรียนยกรุ่น ร้อนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในขณะนั้น กระทั่งเหตุการณ์บานปลาย พล.ต.ท.พาสน์ ประทีปเสน ผู้บัญชาการศึกษาในขณะนั้นต้องตัดสินใจลงนามให้ นรต.พ้นสภาพการเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจยกทั้งชั้น
ก็อย่างที่ทราบว่าบรรดานักเรียนนายร้อยตำรวจนั้นส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวมีชื่อเสียง ทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ นรต.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ที่คุณหญิงอารีย์ ธีระสวัสดิ์ ภรรยา พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็นทุกข์ใจกินไม่ได้นอนไม่หลับต้องเข้าไปปรึกษากับ พล.ต.ต.สนั่น ตู้จินดา ปรามาจารย์ด้านกฎหมายและข้อระเบียบต่างๆ
พลิกตำราหลายรอบก็เจอระเบียบการให้อภัยโทษ วันต่อมาคุณหญิงอารีย์พร้อมคณะผู้หลักผู้ใหญ่ได้ไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระสังฆราชวาสนา (วาสน์ วาสโน) เพื่อขอบิณฑบาตกรณีดังกล่าว ผล พล.ต.ท.พาสน์ จำต้องเซ็นคำสั่งให้ นรต.36 กลับมาเรียนกันใหม่จนเป็นที่เล่าขานกันในกลุ่มว่า
**** พวกที่จบ นรต.36 ก็คือรุ่น “สังฆราชขอบิณฑบาต”****
นี่คือเกล็ดเก่าเล่าความเป็นมาในอดีต...หากเส้นทางของ นรต.ที่จบการศึกษาออกมามิได้มีเพียงตำราที่ศึกษาร่ำเรียนมาเท่านั้น แต่ยังมีประสบการณ์จากรุ่นพี่ๆ สำหรับพวกที่มักใหญ่ใฝ่สูง อยากก้าวถึงดวงดาวในอาชีพของตนเอง...ดาวที่ว่าก็คือตำแหน่งสูงสุดในเครื่องแบบสีกากี นั่นคือ “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
***** นรต.รุ่น 35 รุ่นพี่นำโด่งเป็นหัวหอก คือ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ. ตำรวจแห่งชาติ คุณสมบัติครบถ้วน พร้อมขึ้นเป็นผู้นำองค์กรตำรวจโดยมี พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล เพื่อนร่วมรุ่นเป็นตัวช่วยเสริมช่วยผลักดัน****
**** นรต.รุ่น 36 มี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เป็นทัพหน้า มีศักยภาพเต็มร้อย ทั้งสายทหาร การเมือง พ่อค้านักธุรกิจจนได้ฉายามือประสานสิบทิศ คุณสมบัติครบถ้วนอ่อนพรรษากว่า “บิ๊กอวบ”นิดหน่อย “บิ๊กแป๊ะ”มี“บิ๊กช้าง”พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.สันติบาล เป็นตัวช่วยขับเคลื่อน****
ในขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เริ่มนับถอยหลังรอวันเกษียณอายุฯ ทั้ง นรต.35 และ นรต.36 ก็เริ่มประลองสรรพกำลังเพื่อเบียดเข้าสู่เส้นชัยให้ได้ คดีระเบิดไปป์บอมบ์ 2 ลูกใจกลางกรุงเทพมหานคร จึงถือเป็นเดิมพันของเกียรติยศ และศักดิ์ศรี เป็นปูทางสู่บัลลังก์สีกากีอย่างแท้จริง.
เสียงดังฟังชัดจากคำยืนยันของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา (นรต.36) รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง โดยระบุถึงสาเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด “ไปป์บอมบ์” บริเวณลานน้ำพุทางเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส กับห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อค่ำวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และความเชื่อของรอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคงผู้นี้ยังเล็งไปที่คดีไปป์บอมบ์ สน.มีนบุรี เมื่อต้นปี 2557 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพกับคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทองเมื่อปี 2553 ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับคนเสื้อแดงทั้งสิ้น
ผ่านไป 7 วันแม้ตำรวจได้เบาะแสเพียงภาพจากวงจรปิดและเสนอต่อศาลออกหมายจับชายต้องสงสัย 2 คน ท่าทีสอดรับของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล (นรต.35) ผบช.น.ก็เริ่มแปร่งเปลี่ยน...
***** “นครบาลไม่เคยระบุว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ แต่นครบาลยืนยันให้ว่ากันไปตามหลักฐาน ส่วนจะระบุได้ว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ก็อยู่ที่เมื่อจับกุมผู้ต้องหาได้ต้องพาดพิงและยืนยันก่อน ส่วนจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมหรือไม่ ยืนยันตามหลักฐานให้ชัดเจนกว่านี้”****
รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง “ฟันธง”ว่าประเด็นมาจากการเมือง 80-90 เปอร์เซ็นต์ แต่ ผบช.น.ในฐานะเจ้าของพื้นที่ออกมาปฏิเสธในวันต่อมาว่าไม่เคยระบุสาเหตุมาจากเรื่องการเมืองแม้แต่น้อย แถมยังแสดงภูมิการเป็นมวยหลัก ว่ากันตามพยานหลักฐานไม่บุ่มบ่าม และไม่ยอมฟังธงอะไรง่ายๆ จนกว่าจะได้ตัวผู้ต้องสงสัยเสียก่อน
นิ่มๆ แต่เชือดเฉือน แน่นอนว่านับจากวินาทีนี้ต่อไป ชุดปฏิบัติการของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคงจะต้องเดินเครื่องเร่งมือทำงานอย่างเต็มที่ ขาวสารทุกสารทิศต้องนำมาประเมินความเป็นไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยอีกด่านหนึ่งการติดตามล่ามือระเบิดของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.ก็ต้องกระจายสรรพกำลังทั้งหมดที่มีลงพื้นที่ทุกตารางนิ้วเพื่อหาตัวคนร้ายให้ได้
**** เพราะนอกจากเป็นการทำหน้าที่ปกติแล้วยังมีเดิมพันศักดิ์ศรี เกียรติยศ รวมทั้งบำเหน็จใหญ่รออยู่ข้างหน้า****
ดังนั้นภาพที่ปรากฏว่ามีการแถลงข่าวร่วมกันคล้ายกับ “จับมือ” ทำงานกันอย่างแข็งขันจึงเป็นเพียงแค่การจัดฉากของตำรวจลายพราง เอาเข้าจริงก็เป็นไปตามคาด “บิ๊กแป๊ะ” กับ “บิ๊กปู” เหมือนพยัคฆ์ 2 ค่าย เสือ 2 ตัวที่ไม่สามารถอยู่ร่วมถ้ำกันได้
*** หากจะให้เห็นภาพกันจริงๆ คงต้องย้อนไปไกลจัดถึงคราวเล่าเรียนเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจกันเลยทีเดียว... ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักเรียนนายร้อยตำรวจหลายรุ่นที่ผลิตออกมา มีเพียง นรต.35 และ นรต.36 ที่เป็นคู่รักคู่แค้นกันมายาวนานเกือบครึ่งศตวรรษนั้น เคยมีประสบการณ์ไม่สู้ดีสมัย พล.ต.ท.ศรีวราห์ ยังเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 35 ปี 2 ส่วน พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 36 หรือเป็นรุ่นน้องจะต้องให้ความเคารพรุ่นพี่ ส่วนรุ่นพี่ก็ต้องให้การดูแล ช่วยชี้ทางสว่าง ตักเตือนบ้างในบางครั้ง****
แต่กาลไม่เป็นดังเจตนา เพราะมีปัญหาขัดแย้งอยู่เนืองๆ เช่น รุ่นน้องหัวแข็ง รุ่นพี่ชอบแกล้ง จนที่สุดเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตโดยนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 พากันประท้วงหยุดเรียนยกรุ่น ร้อนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในขณะนั้น กระทั่งเหตุการณ์บานปลาย พล.ต.ท.พาสน์ ประทีปเสน ผู้บัญชาการศึกษาในขณะนั้นต้องตัดสินใจลงนามให้ นรต.พ้นสภาพการเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจยกทั้งชั้น
ก็อย่างที่ทราบว่าบรรดานักเรียนนายร้อยตำรวจนั้นส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวมีชื่อเสียง ทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ นรต.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ที่คุณหญิงอารีย์ ธีระสวัสดิ์ ภรรยา พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็นทุกข์ใจกินไม่ได้นอนไม่หลับต้องเข้าไปปรึกษากับ พล.ต.ต.สนั่น ตู้จินดา ปรามาจารย์ด้านกฎหมายและข้อระเบียบต่างๆ
พลิกตำราหลายรอบก็เจอระเบียบการให้อภัยโทษ วันต่อมาคุณหญิงอารีย์พร้อมคณะผู้หลักผู้ใหญ่ได้ไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระสังฆราชวาสนา (วาสน์ วาสโน) เพื่อขอบิณฑบาตกรณีดังกล่าว ผล พล.ต.ท.พาสน์ จำต้องเซ็นคำสั่งให้ นรต.36 กลับมาเรียนกันใหม่จนเป็นที่เล่าขานกันในกลุ่มว่า
**** พวกที่จบ นรต.36 ก็คือรุ่น “สังฆราชขอบิณฑบาต”****
นี่คือเกล็ดเก่าเล่าความเป็นมาในอดีต...หากเส้นทางของ นรต.ที่จบการศึกษาออกมามิได้มีเพียงตำราที่ศึกษาร่ำเรียนมาเท่านั้น แต่ยังมีประสบการณ์จากรุ่นพี่ๆ สำหรับพวกที่มักใหญ่ใฝ่สูง อยากก้าวถึงดวงดาวในอาชีพของตนเอง...ดาวที่ว่าก็คือตำแหน่งสูงสุดในเครื่องแบบสีกากี นั่นคือ “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
***** นรต.รุ่น 35 รุ่นพี่นำโด่งเป็นหัวหอก คือ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ. ตำรวจแห่งชาติ คุณสมบัติครบถ้วน พร้อมขึ้นเป็นผู้นำองค์กรตำรวจโดยมี พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล เพื่อนร่วมรุ่นเป็นตัวช่วยเสริมช่วยผลักดัน****
**** นรต.รุ่น 36 มี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เป็นทัพหน้า มีศักยภาพเต็มร้อย ทั้งสายทหาร การเมือง พ่อค้านักธุรกิจจนได้ฉายามือประสานสิบทิศ คุณสมบัติครบถ้วนอ่อนพรรษากว่า “บิ๊กอวบ”นิดหน่อย “บิ๊กแป๊ะ”มี“บิ๊กช้าง”พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.สันติบาล เป็นตัวช่วยขับเคลื่อน****
ในขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เริ่มนับถอยหลังรอวันเกษียณอายุฯ ทั้ง นรต.35 และ นรต.36 ก็เริ่มประลองสรรพกำลังเพื่อเบียดเข้าสู่เส้นชัยให้ได้ คดีระเบิดไปป์บอมบ์ 2 ลูกใจกลางกรุงเทพมหานคร จึงถือเป็นเดิมพันของเกียรติยศ และศักดิ์ศรี เป็นปูทางสู่บัลลังก์สีกากีอย่างแท้จริง.