วานนี้ (21ม.ค.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง สั่งให้กรุงเทพมหานครจัดทำลิฟต์ขึ้นลงสำหรับผู้พิการที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ทั้ง 23 สถานี และให้จัดทำอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ ทั้ง 23 สถานี รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการบนรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยให้เว้นที่สำหรับจอดรถเข็นคนพิการมีความกว้างไม่น้อยกว่า 120 ซ.ม. มีราวจับ สูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 80 ซ.ม. บริเวณทางขึ้นลง และติดสัญลักษณ์คนพิการไว้ทั้งใน และนอกตัวรถที่จัดให้สำหรับคนพิการ ซึ่งกรุงเทพมหานคร ต้องดำเนินการตามคำสั่งศาลให้แล้วเสร็จ ภายใน 1 ปี หลังจากมีคำพิพากษา
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความเสมอภาค กับพวก จำนวน 3 คน ฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม) ผู้ว่าฯ กทม. ผอ.สำนักการโยธา กทม. และ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) ในข้อหาร่วมกันละเลยต่อหน้าที่ ตามพ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ที่กำหนดให้ต้องจัดสร้างลิฟต์ และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งบริเวณสถานี และบนขบวนรถสำหรับคนพิการที่มาใช้บริการระบบขนส่งมวลชน บีทีเอส ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 52 ให้ยกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่า แม้ขณะนั้นจะมี พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ใช้บังคับ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดรายละเอียดของอาคาร สถานี และยานพาหนะ ที่จะต้องจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการแต่อย่างใด การที่ กทม.และบมจ.บีทีเอส ไม่ได้ก่อสร้างลิฟต์ และสิ่งอำนวยความสะดวก จึงไม่อาจถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด
แต่ที่ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาในครั้งนี้ ระบุว่า แม้ กทม. โดยผู้ว่าฯกทม. และบีทีเอส ได้ทำสัญญาสัมปทานระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9 เม.ย.34 ก่อนที่จะมีกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542) ออกความตาม พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ที่กำหนดลักษณะอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ หรือบริการสาธารณะอื่นที่ต้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ และคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ
จะออกระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการว่าด้วยมาตรฐานอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ พ.ศ. 2544 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. 44 จึงไม่อาจใช้บังคับกับสัญญาสัมปทานดังกล่าวก็ตาม
แต่เมื่อกฎกระทรวงและระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของกทม. ที่เป็นเจ้าของอาคารสถานีขนส่งมวลชน ต้องแก้ไขปรับปรุงอาคารสถานีรถไฟฟ้า ยานพาหนะ ให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ โดยให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคดีนี้ ปรากฏว่า กทม.ได้จัดทางขึ้น-ลง และลิฟต์ อำนวยความสะดวกแก่คนพิการเพียง 5 สถานี จากสถานีขนส่งจำนวนทั้งสิ้น 23 สถานี และไม่ได้แสดงให้ศาลเห็นว่า เหตุที่ไม่ได้จัดทางขึ้น-ลง และลิฟต์ อำนวยความสะดวกแก่คนพิการในอีก 18 สถานี เกิดจากข้อจำกัดอันใด
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามเอกสารสรุปการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ที่ผู้ว่าฯ กทม. รายงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามหนังสือที่ กท4000/3314 ลงวันที่ 4 พ.ค.42 แสดงให้เห็นว่า อยู่ในวิสัยที่กทม. โดยผู้ว่าฯกทม.จะจัดอาคารสถานีรถไฟฟ้า ยานพาหนะให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ ให้เป็นไปตามกฎหมายได้
ดังนั้น เมื่อนับแต่วันที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2542) ออกความตามพ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 กำหนดลักษณะอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ หรือบริการสาธารณะอื่นที่ต้องมีอุปกรณที่อำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.42 และระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ว่าด้วยมาตรฐานอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ พ.ศ. 2544 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.44 จนถึงวันที่ นายสุภรธรรม กับพวกจำนวน 3 คน นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ในวันที่ 13 ก.ย. 50 เป็นระยะเวลากว่า 6 ปี แต่กทม. เพียงจัดให้มีทางขึ้น-ลง และลิฟต์ อำนวยความสะดวกแก่คนพิการเพียง 5 สถานี จากสถานีขนส่งจำนวนทั้งสิ้น 23 สถานี จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล้าช้าเกินสมควร การที่ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา นายสุภรธรรม กล่าวว่า รู้สึกตื้นตันใจ เพราะคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมดีขึ้น เป็นการสร้างความเป็นธรรม และเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม รวมทั้งเป็นการสร้างสำนึก และจิตสาธารณะของคนในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารอคอยมานาน และถือว่าคุ้มค่ามาก หลังจากนี้จะติดตามการดำเนินการของกทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าได้ทำตามคำสั่งหรือไม่ อย่างไร ส่วนระบบขนส่งมวลชนรูปแบบอื่น เราก็จะไปพูดคุยเพื่อให้มีการอำนวยสะดวกให้กับคนพิการที่ใช้บริการ โดยจะใช้คำสั่งศาลปกครองสูงสุด เป็นบรรทัดฐานในการพูดคุย เพื่อให้เกิดการอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอ่านคำพิพากษาดังกล่าวได้มีผู้พิการ และผู้สูงอายุ เครือข่ายมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ และ ชมรมมนุษย์ล้อและเครือข่ายคนพิการนานาชาติ ประมาณ 100 คน เดินทางมารับฟังคำพิพากษา โดยก่อนเข้าฟังคำพิพากษา ทั้งหมดได้ร่วมอ่านแถลงการณ์ ในนามกลุ่ม“ปฏิบัติการขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้”ยืนยันเจตนารมณ์ ว่า ระบบขนส่งมวลชนของไทย และที่จะเชื่อมต่อในประเทศอาเซียนนั้น คนพิการทุกคนต้อง ขึ้นได้ด้วยความสะดวก ปลอดภัยอย่างแท้จริง โดยบริการขนส่งสาธารณะ ต้องจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้เท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความเสมอภาค กับพวก จำนวน 3 คน ฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม) ผู้ว่าฯ กทม. ผอ.สำนักการโยธา กทม. และ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) ในข้อหาร่วมกันละเลยต่อหน้าที่ ตามพ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ที่กำหนดให้ต้องจัดสร้างลิฟต์ และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งบริเวณสถานี และบนขบวนรถสำหรับคนพิการที่มาใช้บริการระบบขนส่งมวลชน บีทีเอส ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 52 ให้ยกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่า แม้ขณะนั้นจะมี พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ใช้บังคับ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดรายละเอียดของอาคาร สถานี และยานพาหนะ ที่จะต้องจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการแต่อย่างใด การที่ กทม.และบมจ.บีทีเอส ไม่ได้ก่อสร้างลิฟต์ และสิ่งอำนวยความสะดวก จึงไม่อาจถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด
แต่ที่ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาในครั้งนี้ ระบุว่า แม้ กทม. โดยผู้ว่าฯกทม. และบีทีเอส ได้ทำสัญญาสัมปทานระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9 เม.ย.34 ก่อนที่จะมีกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542) ออกความตาม พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ที่กำหนดลักษณะอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ หรือบริการสาธารณะอื่นที่ต้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ และคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ
จะออกระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการว่าด้วยมาตรฐานอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ พ.ศ. 2544 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. 44 จึงไม่อาจใช้บังคับกับสัญญาสัมปทานดังกล่าวก็ตาม
แต่เมื่อกฎกระทรวงและระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของกทม. ที่เป็นเจ้าของอาคารสถานีขนส่งมวลชน ต้องแก้ไขปรับปรุงอาคารสถานีรถไฟฟ้า ยานพาหนะ ให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ โดยให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคดีนี้ ปรากฏว่า กทม.ได้จัดทางขึ้น-ลง และลิฟต์ อำนวยความสะดวกแก่คนพิการเพียง 5 สถานี จากสถานีขนส่งจำนวนทั้งสิ้น 23 สถานี และไม่ได้แสดงให้ศาลเห็นว่า เหตุที่ไม่ได้จัดทางขึ้น-ลง และลิฟต์ อำนวยความสะดวกแก่คนพิการในอีก 18 สถานี เกิดจากข้อจำกัดอันใด
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามเอกสารสรุปการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ที่ผู้ว่าฯ กทม. รายงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามหนังสือที่ กท4000/3314 ลงวันที่ 4 พ.ค.42 แสดงให้เห็นว่า อยู่ในวิสัยที่กทม. โดยผู้ว่าฯกทม.จะจัดอาคารสถานีรถไฟฟ้า ยานพาหนะให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ ให้เป็นไปตามกฎหมายได้
ดังนั้น เมื่อนับแต่วันที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2542) ออกความตามพ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 กำหนดลักษณะอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ หรือบริการสาธารณะอื่นที่ต้องมีอุปกรณที่อำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.42 และระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ว่าด้วยมาตรฐานอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ พ.ศ. 2544 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.44 จนถึงวันที่ นายสุภรธรรม กับพวกจำนวน 3 คน นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ในวันที่ 13 ก.ย. 50 เป็นระยะเวลากว่า 6 ปี แต่กทม. เพียงจัดให้มีทางขึ้น-ลง และลิฟต์ อำนวยความสะดวกแก่คนพิการเพียง 5 สถานี จากสถานีขนส่งจำนวนทั้งสิ้น 23 สถานี จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล้าช้าเกินสมควร การที่ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา นายสุภรธรรม กล่าวว่า รู้สึกตื้นตันใจ เพราะคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมดีขึ้น เป็นการสร้างความเป็นธรรม และเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม รวมทั้งเป็นการสร้างสำนึก และจิตสาธารณะของคนในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารอคอยมานาน และถือว่าคุ้มค่ามาก หลังจากนี้จะติดตามการดำเนินการของกทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าได้ทำตามคำสั่งหรือไม่ อย่างไร ส่วนระบบขนส่งมวลชนรูปแบบอื่น เราก็จะไปพูดคุยเพื่อให้มีการอำนวยสะดวกให้กับคนพิการที่ใช้บริการ โดยจะใช้คำสั่งศาลปกครองสูงสุด เป็นบรรทัดฐานในการพูดคุย เพื่อให้เกิดการอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอ่านคำพิพากษาดังกล่าวได้มีผู้พิการ และผู้สูงอายุ เครือข่ายมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ และ ชมรมมนุษย์ล้อและเครือข่ายคนพิการนานาชาติ ประมาณ 100 คน เดินทางมารับฟังคำพิพากษา โดยก่อนเข้าฟังคำพิพากษา ทั้งหมดได้ร่วมอ่านแถลงการณ์ ในนามกลุ่ม“ปฏิบัติการขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้”ยืนยันเจตนารมณ์ ว่า ระบบขนส่งมวลชนของไทย และที่จะเชื่อมต่อในประเทศอาเซียนนั้น คนพิการทุกคนต้อง ขึ้นได้ด้วยความสะดวก ปลอดภัยอย่างแท้จริง โดยบริการขนส่งสาธารณะ ต้องจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้เท่าเทียมกัน