พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการ ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงถึงความคืบหน้าในการยกร่างรายมาตรา ภาค 3 นิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ 9 มาตรา ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาต่อในเรื่องการดำรงตำแหน่งของประธาน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้มีวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี และดำรงตำแหน่งได้วาระเดียว แต่มีการเพิ่มเติมในการการดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ดำรงตำแหน่งประธานครบสามปีพ้นต้องจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่ให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีการปฏิบัติแต่ไม่เคยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ยังมีการระบุไว้ด้วยว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญมาก่อน
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยังคงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไว้เหมือนรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา โดยในที่ประชุมมีการพิจารณาว่า คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองควรเริ่มต้นที่ศาลไหน แต่ผู้อภิปรายส่วนใหญ่เห็นว่า เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ การดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองควรจะเริ่มที่ศาลฎีกา เพราะหากเริ่มที่ศาลอุทธรณ์จะเป็นการลดการเข้มข้นในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เนื่องจากอาจต้องใช้เวลาถึง 8 ปี เพราะเป็นการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ 5 ปี ศาลฎีกา 3 ปี
อย่างไรก็ตาม ยังให้ความเป็นธรรมในการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ โดยให้เป็นไปตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยหลักการจะเหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้
ส่วนคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว.ให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์กลาง ซึ่งแตกต่างจากในอดีต ที่ไปศาลฎีกาเลย จึงถือว่าเป็นการเพิ่มความเป็นธรรมให้มีการพิจารณาคดีสองชั้น คือ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา เช่นเดียวกับคดีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น ให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาคตามเขตพื้นที่ที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับว่า กกต.จะไม่มีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
นอกจากนี้ คดีเกี่ยวกับการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน หรือยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ซึ่งเดิมเป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เริ่มกระบวนการพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ ไม่ถือว่าเป็นการสวนทางกับหลักการที่กรรมาธิการยกร่างต้องการเพิ่มความเข้มข้นในการจัดการทุจริต แต่เนื่องจากคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ไม่ได้มีเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเดียว แต่มีผู้ดำรงตำแหน่งของรัฐ ซึ่งจำนวนคดีมีมาก หากให้ เป็นอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา อาจทำให้ล่าช้า
**กกต.จัดเวทีรับฟังความเห็นเสาร์นี้
นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึง กรณีคณะกรรมาธิการวิสามัญการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มีมติให้สำนักงานกกต. ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนประจำจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด ดำเนินการจัดเวทีสาธารณะ รับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อให้ได้ข้อมูลครอบคลุมแต่ละภาคส่วนของทุกจังหวัด ว่า การดำเนินการจัดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเริ่มดำเนินการระหว่างเดือนม.ค.-ก.ย.58 โดยจัดเวทีจังหวัดละ 11 แห่ง แบ่งเป็น ในระดับจังหวัด 1 แห่ง และในระดับอำเภอ 10 แห่ง ซึ่งขณะนี้บางจังหวัด สำนักงานกกต.จังหวัด ได้เริ่มดำเนินการจัดเวที และสนับสนุนงานด้านการจัดทำเอกสารประกอบการจัดเก็บข้อมูลแล้ว และในวันเสาร์ที่ 24 ม.ค. สำนักงานกกต. จะได้มีการประชุมผู้บริหาร ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดและกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ 1-5 ร่วมกับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ จำนวน 77 จังหวัด เพื่อทำความเข้าใจถึงการจัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็น การเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลแบบสอบถามของผู้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นของจังหวัดในแต่ละเวทีเพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางการปฏิรูปได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยังคงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไว้เหมือนรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา โดยในที่ประชุมมีการพิจารณาว่า คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองควรเริ่มต้นที่ศาลไหน แต่ผู้อภิปรายส่วนใหญ่เห็นว่า เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ การดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองควรจะเริ่มที่ศาลฎีกา เพราะหากเริ่มที่ศาลอุทธรณ์จะเป็นการลดการเข้มข้นในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เนื่องจากอาจต้องใช้เวลาถึง 8 ปี เพราะเป็นการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ 5 ปี ศาลฎีกา 3 ปี
อย่างไรก็ตาม ยังให้ความเป็นธรรมในการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ โดยให้เป็นไปตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยหลักการจะเหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้
ส่วนคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว.ให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์กลาง ซึ่งแตกต่างจากในอดีต ที่ไปศาลฎีกาเลย จึงถือว่าเป็นการเพิ่มความเป็นธรรมให้มีการพิจารณาคดีสองชั้น คือ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา เช่นเดียวกับคดีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น ให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาคตามเขตพื้นที่ที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับว่า กกต.จะไม่มีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
นอกจากนี้ คดีเกี่ยวกับการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน หรือยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ซึ่งเดิมเป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เริ่มกระบวนการพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ ไม่ถือว่าเป็นการสวนทางกับหลักการที่กรรมาธิการยกร่างต้องการเพิ่มความเข้มข้นในการจัดการทุจริต แต่เนื่องจากคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ไม่ได้มีเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเดียว แต่มีผู้ดำรงตำแหน่งของรัฐ ซึ่งจำนวนคดีมีมาก หากให้ เป็นอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา อาจทำให้ล่าช้า
**กกต.จัดเวทีรับฟังความเห็นเสาร์นี้
นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึง กรณีคณะกรรมาธิการวิสามัญการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มีมติให้สำนักงานกกต. ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนประจำจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด ดำเนินการจัดเวทีสาธารณะ รับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อให้ได้ข้อมูลครอบคลุมแต่ละภาคส่วนของทุกจังหวัด ว่า การดำเนินการจัดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเริ่มดำเนินการระหว่างเดือนม.ค.-ก.ย.58 โดยจัดเวทีจังหวัดละ 11 แห่ง แบ่งเป็น ในระดับจังหวัด 1 แห่ง และในระดับอำเภอ 10 แห่ง ซึ่งขณะนี้บางจังหวัด สำนักงานกกต.จังหวัด ได้เริ่มดำเนินการจัดเวที และสนับสนุนงานด้านการจัดทำเอกสารประกอบการจัดเก็บข้อมูลแล้ว และในวันเสาร์ที่ 24 ม.ค. สำนักงานกกต. จะได้มีการประชุมผู้บริหาร ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดและกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ 1-5 ร่วมกับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ จำนวน 77 จังหวัด เพื่อทำความเข้าใจถึงการจัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็น การเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลแบบสอบถามของผู้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นของจังหวัดในแต่ละเวทีเพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางการปฏิรูปได้อย่างแท้จริง