ASTVผู้จัดการรายวัน - ป่าไม้เมืองสองแควรื้อคดีอดีตพระเกษมปี 57 พบเอกสารยันซื้อที่ดินภบท. 5 สร้างสนามเฮลิคอปเตอร์ พศ.เผย เจ้าคณะปกครองพระพรหมสุธี รายงานผลสั่งพักเจ้าอาวาสวัดวระเกศฯ เจ้าคณะภาค12 ต่อที่ประชุมมส. พร้อมลุ้น มส.จะมีคำสั่งปลดหรือไม่
จากกรณีพระเกษม อาจิณณสีโล หรือนายเกษม ดวงแพงมาต เจ้าสำนักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ได้ลาสิกขาบท หลังต้องอาบัติปาราชิกเนื่องจากเสพเมถุนกับลูกศิษย์ แต่ยังนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมถือศีล 8 อยู่ที่สำนักสงฆ์ต่อไป โดยเจ้าคณะปกครองพื้นที่ กำลังดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินสำนักสงฆ์ ว่าส่วนใดเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนายเกษม หรือของสำนักสงฆ์ ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)เพชรบูรณ์ จะประสานเจ้าคณะจังหวัด(ธรรมยุต) โดยการออกประกาศว่านายเกษมจะเข้ามาอุปสมบทไม่ว่าจะเป็นนิกายไหนไม่ได้อีกต่อไปแล้วนั้น
วานนี้(20 ม.ค.) นายมานพ สายอุ่นใจ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก กล่าวว่า นายเกษมยังมีคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำหนาวอยู่ด้วย เนื่องจากเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2557 หน่วยป้องกันและรักษาป่า พช.5(นาพอสอง) และทหารพล ม.1 ได้จับกุมนายธรรมรัตน์ ถวิล ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ โดยครอบครองผืนป่าเพื่อสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ท้องที่หมู่ 6 ต.วังกวาง เนื้อที่ 1-1-44 ไร่ เนื่องจากรับสมอ้างแทนนายเกษมว่าเป็นผู้สร้าง ขณะที่นายเกษมบอกเป็นเพียงเจ้าของที่ดินตามใบซื้อขาย
ต่อมาการตรวจสอบการซื้อขายที่ดินพบว่าผิดกฎหมาย โดยพบใบซื้อขายภบท. 5 ยืนยันลายมือชื่อพระเกษม อาจิณณสีโอ ซื้อต่อจากนายหิน คำมา เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2553 ราคา 1.2 ล้านบาท จึงถือว่านายเกษมมีความผิด เพราะป่าไม่สามารถซื้อขายได้ โดยพื้นที่ 1 ไร่เศษอยู่นอกสำนักสงฆ์ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่พักสงฆ์ในเขตโครงการอนุรักษ์และพื้นฟูป่าไม้ร่วมกับพระสงฆ์ จึงได้ประสานพนักงานสอบสว สภ.น้ำหนาว ให้สอบสวนเรื่องนี้ใหม่ เนื่องจากนายเกษมทำธุรกรรมจริง จึงถือว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นต้องมีการสั่งฟ้องใหม่
"ตามหลักความมั่นคง การสร้างสนามเฮลิคอปเตอร์ต้องได้รับอนุญาตจากกรมการบินพลเรือน ซึ่งพระเกษมในสมัยนั้นขออนุญาตว่าใช้พื้นที่สำหรับเฮลิคอปเตอร์ขึ้น-ลงในกรณีเจ็บป่วย ไม่ได้อนุญาตสร้างสนามบิน ล่าสุดกำลังรอคำสั่งอธิบดีกรมป่าไม้ว่าจะให้รื้อโดยไม่ต้องรอคดีสิ้นสุดหรือไม่"
นายมานพ กล่าวว่า ส่วนวัดป่าสามแยกก็สามารถรื้อได้ เนื่องจากผู้ขออนุญาตคือพระเกษม ปัจจุบันขาดคุณสมบัติตามโครงการอนุรักษ์และพื้นฟูป่าไม้ร่วมกับพระสงฆ์ ถือว่านายเกษมเป็นผู้บุกรุกป่าไปโดยปริยาย โดยได้ส่งเรื่องให้เพิกถอนใบอนุญาตสำนักสงฆ์สามแยกไปแล้ว ซึ่งขณะนี้กำลังรอคำสั่งอธิบดีกรมป่าไม้ และเสนอให้รัฐมนตรีอนุมัติเพิกถอนที่พักสงฆ์
นายสำลี นันทะญาติ หรือ"ตาฤาษี"ลูกศิษย์ใกล้ชิดอดีตนายเกษม กล่าวว่า ญาติธรรมยังเดินทางมาศึกษาธรรมต่อไป ส่วนที่ถอนตัวไปไม่ยุ่งเกี่ยวก็มีจำนวนมากเช่นกัน ส่วนการตรวจสอบหากจะมีคณะไหนมาตรวจก็ยินดี แต่เวลานี้เห็นมีแต่สื่อมวลชนเท่านั้น ที่เข้ามาสัมภาษณ์อาจารย์อย่างต่อเนื่อง มีรายการทีวีหลายช่องติดต่อขอเชิญไปออกรายการ แต่เนื่องจากกรรมการวัดและลูกศิษย์เห็นว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ จึงให้พักผ่อนและงดการเดินทาง เพราะอาจารย์เป็นโรคภูมิแพ้ ต้องกินยาต่อเนื่อง โดยจัดลูกศิษย์ 2 คนคอยดูแล ส่วนลูกศิษที่มีปัญหาก็ให้งดไปปรนนิบัติตั้งแต่แรกแล้ว
*** สั่งพักเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ)ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีคำสั่งปลดพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) อีกทั้ง พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) ในฐานะเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ยังมีคำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพฯ พักงานพระพรหมสุธี จากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และสมเด็จพระพุฒาจารย์( สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก มีคำสั่งพักงานเจ้าคณะภาค12 เนื่องจากสำนักการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจพบความผิดปกติของงบประมาณการจัดงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จำนวน 67 ล้านบาทนั้น
วานนี้ (20 ม.ค.) นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ตามกระบวนการสั่งพักงานพระพรหมสุธี ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และเจ้าคณะภาค12 นั้น ในการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.)วันที่ 21 ม.ค. ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เจ้าคณะปกครองในการบังคับบัญชา อันได้แก่ เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก จะมีรายงานผลการสั่งพักงานในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และเจ้าคณะภาค12 ให้ที่ประชุม มส.รับทราบ
นายพนม กล่าวต่อว่า การจะปลดออกจากทั้ง 3 ตำแหน่ง ได้แก่ เจ้าอาวาส เจ้าคณะภาค และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ มส.ว่า จะมีมติออกมาเช่นไร เนื่องจากกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23 ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2541 ข้อที่11 ระบุว่า ในเมื่อไม่มีเจ้าคณะภาค หรือเจ้าคณะภาคไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้เจ้าคณะใหญ่แต่งตั้งรองเจ้าคณะภาครักษาการแทน ถ้าไม่มีรองเจ้าคณะภาคหรือรองเจ้าคณะภาคไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แต่งตั้งพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่เห็นสมควรรักษาการแทนเจ้าคณะภาคแล้วรายงานให้ มส.ทราบ ทั้งนี้เมื่อได้ปฏิบัติตามความในวรรคต้นแล้ว ให้เจ้าคณะใหญ่ดำเนินการเพื่อ มีการแต่งตั้งเจ้าคณะภาคภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี
“ในการตั้งกรรมการมส.รูปใหม่แทน พระพรหมสุธี ขณะนี้ทราบว่า คณะทำงานของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กำลังรวบรวมของมูลของพระสงฆ์ที่มีคุณสมบัติและมีความเหมาะสมที่จะเป็น กรรมการ มส.รูปใหม่ เสนอให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชพิจารณา คาดว่า จะมีการเสนอให้มส.ได้พิจารณาในเร็วๆนี้"นายพนม กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ส่วนแนวทางแก้ปัญหางบประมาณแผ่นดินจำนวน 67 ล้านบาท ทางพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ เห็นว่า ควรที่จะคืนเงินงบประมาณแผ่นดิน จำนวน67 ล้านบาทให้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เพื่อคืนแก่สำนักงบประมาณ เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งไม่ให้กระทบต่อคณะสงฆ์โดยภาพรวม ส่วนการตรวจสอบของสตง.และการชี้มูลความผิด ก็คงต้องให้เป็นหน้าที่ของสตง.ว่าจะพิจารณาออกมาเช่นไร
จากกรณีพระเกษม อาจิณณสีโล หรือนายเกษม ดวงแพงมาต เจ้าสำนักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ได้ลาสิกขาบท หลังต้องอาบัติปาราชิกเนื่องจากเสพเมถุนกับลูกศิษย์ แต่ยังนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมถือศีล 8 อยู่ที่สำนักสงฆ์ต่อไป โดยเจ้าคณะปกครองพื้นที่ กำลังดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินสำนักสงฆ์ ว่าส่วนใดเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนายเกษม หรือของสำนักสงฆ์ ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)เพชรบูรณ์ จะประสานเจ้าคณะจังหวัด(ธรรมยุต) โดยการออกประกาศว่านายเกษมจะเข้ามาอุปสมบทไม่ว่าจะเป็นนิกายไหนไม่ได้อีกต่อไปแล้วนั้น
วานนี้(20 ม.ค.) นายมานพ สายอุ่นใจ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก กล่าวว่า นายเกษมยังมีคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำหนาวอยู่ด้วย เนื่องจากเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2557 หน่วยป้องกันและรักษาป่า พช.5(นาพอสอง) และทหารพล ม.1 ได้จับกุมนายธรรมรัตน์ ถวิล ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ โดยครอบครองผืนป่าเพื่อสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ท้องที่หมู่ 6 ต.วังกวาง เนื้อที่ 1-1-44 ไร่ เนื่องจากรับสมอ้างแทนนายเกษมว่าเป็นผู้สร้าง ขณะที่นายเกษมบอกเป็นเพียงเจ้าของที่ดินตามใบซื้อขาย
ต่อมาการตรวจสอบการซื้อขายที่ดินพบว่าผิดกฎหมาย โดยพบใบซื้อขายภบท. 5 ยืนยันลายมือชื่อพระเกษม อาจิณณสีโอ ซื้อต่อจากนายหิน คำมา เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2553 ราคา 1.2 ล้านบาท จึงถือว่านายเกษมมีความผิด เพราะป่าไม่สามารถซื้อขายได้ โดยพื้นที่ 1 ไร่เศษอยู่นอกสำนักสงฆ์ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่พักสงฆ์ในเขตโครงการอนุรักษ์และพื้นฟูป่าไม้ร่วมกับพระสงฆ์ จึงได้ประสานพนักงานสอบสว สภ.น้ำหนาว ให้สอบสวนเรื่องนี้ใหม่ เนื่องจากนายเกษมทำธุรกรรมจริง จึงถือว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นต้องมีการสั่งฟ้องใหม่
"ตามหลักความมั่นคง การสร้างสนามเฮลิคอปเตอร์ต้องได้รับอนุญาตจากกรมการบินพลเรือน ซึ่งพระเกษมในสมัยนั้นขออนุญาตว่าใช้พื้นที่สำหรับเฮลิคอปเตอร์ขึ้น-ลงในกรณีเจ็บป่วย ไม่ได้อนุญาตสร้างสนามบิน ล่าสุดกำลังรอคำสั่งอธิบดีกรมป่าไม้ว่าจะให้รื้อโดยไม่ต้องรอคดีสิ้นสุดหรือไม่"
นายมานพ กล่าวว่า ส่วนวัดป่าสามแยกก็สามารถรื้อได้ เนื่องจากผู้ขออนุญาตคือพระเกษม ปัจจุบันขาดคุณสมบัติตามโครงการอนุรักษ์และพื้นฟูป่าไม้ร่วมกับพระสงฆ์ ถือว่านายเกษมเป็นผู้บุกรุกป่าไปโดยปริยาย โดยได้ส่งเรื่องให้เพิกถอนใบอนุญาตสำนักสงฆ์สามแยกไปแล้ว ซึ่งขณะนี้กำลังรอคำสั่งอธิบดีกรมป่าไม้ และเสนอให้รัฐมนตรีอนุมัติเพิกถอนที่พักสงฆ์
นายสำลี นันทะญาติ หรือ"ตาฤาษี"ลูกศิษย์ใกล้ชิดอดีตนายเกษม กล่าวว่า ญาติธรรมยังเดินทางมาศึกษาธรรมต่อไป ส่วนที่ถอนตัวไปไม่ยุ่งเกี่ยวก็มีจำนวนมากเช่นกัน ส่วนการตรวจสอบหากจะมีคณะไหนมาตรวจก็ยินดี แต่เวลานี้เห็นมีแต่สื่อมวลชนเท่านั้น ที่เข้ามาสัมภาษณ์อาจารย์อย่างต่อเนื่อง มีรายการทีวีหลายช่องติดต่อขอเชิญไปออกรายการ แต่เนื่องจากกรรมการวัดและลูกศิษย์เห็นว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ จึงให้พักผ่อนและงดการเดินทาง เพราะอาจารย์เป็นโรคภูมิแพ้ ต้องกินยาต่อเนื่อง โดยจัดลูกศิษย์ 2 คนคอยดูแล ส่วนลูกศิษที่มีปัญหาก็ให้งดไปปรนนิบัติตั้งแต่แรกแล้ว
*** สั่งพักเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ)ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีคำสั่งปลดพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) อีกทั้ง พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) ในฐานะเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ยังมีคำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพฯ พักงานพระพรหมสุธี จากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และสมเด็จพระพุฒาจารย์( สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก มีคำสั่งพักงานเจ้าคณะภาค12 เนื่องจากสำนักการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจพบความผิดปกติของงบประมาณการจัดงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จำนวน 67 ล้านบาทนั้น
วานนี้ (20 ม.ค.) นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ตามกระบวนการสั่งพักงานพระพรหมสุธี ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และเจ้าคณะภาค12 นั้น ในการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.)วันที่ 21 ม.ค. ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เจ้าคณะปกครองในการบังคับบัญชา อันได้แก่ เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก จะมีรายงานผลการสั่งพักงานในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และเจ้าคณะภาค12 ให้ที่ประชุม มส.รับทราบ
นายพนม กล่าวต่อว่า การจะปลดออกจากทั้ง 3 ตำแหน่ง ได้แก่ เจ้าอาวาส เจ้าคณะภาค และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ มส.ว่า จะมีมติออกมาเช่นไร เนื่องจากกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23 ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2541 ข้อที่11 ระบุว่า ในเมื่อไม่มีเจ้าคณะภาค หรือเจ้าคณะภาคไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้เจ้าคณะใหญ่แต่งตั้งรองเจ้าคณะภาครักษาการแทน ถ้าไม่มีรองเจ้าคณะภาคหรือรองเจ้าคณะภาคไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แต่งตั้งพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่เห็นสมควรรักษาการแทนเจ้าคณะภาคแล้วรายงานให้ มส.ทราบ ทั้งนี้เมื่อได้ปฏิบัติตามความในวรรคต้นแล้ว ให้เจ้าคณะใหญ่ดำเนินการเพื่อ มีการแต่งตั้งเจ้าคณะภาคภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี
“ในการตั้งกรรมการมส.รูปใหม่แทน พระพรหมสุธี ขณะนี้ทราบว่า คณะทำงานของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กำลังรวบรวมของมูลของพระสงฆ์ที่มีคุณสมบัติและมีความเหมาะสมที่จะเป็น กรรมการ มส.รูปใหม่ เสนอให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชพิจารณา คาดว่า จะมีการเสนอให้มส.ได้พิจารณาในเร็วๆนี้"นายพนม กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ส่วนแนวทางแก้ปัญหางบประมาณแผ่นดินจำนวน 67 ล้านบาท ทางพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ เห็นว่า ควรที่จะคืนเงินงบประมาณแผ่นดิน จำนวน67 ล้านบาทให้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เพื่อคืนแก่สำนักงบประมาณ เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งไม่ให้กระทบต่อคณะสงฆ์โดยภาพรวม ส่วนการตรวจสอบของสตง.และการชี้มูลความผิด ก็คงต้องให้เป็นหน้าที่ของสตง.ว่าจะพิจารณาออกมาเช่นไร