โดย...วีระศักดิ์ นาทะสิริ
1. กล่าวนำ
เนื่องจากมีผู้สงสัยอยากทราบว่า โดยปกติผู้เขียนมักจะเขียนบทความแสดงความคิดเห็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แล้วมีอะไรเกิดขึ้นจึงมาเขียนกลอนแสงเทียน ก็ขอตอบว่า กลอนแสงเทียนมาจากแรงบันดาลใจหลังจากได้ฟังเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนซึ่งเป็นเพลงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงนิพนธ์ทำนองที่มีความไพเราะมากเพลงหนึ่ง โดยมีความเป็นมาโดยสรุปดังนี้
“เพลงแสงเทียนเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก ทรงพระราชนิพนธ์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2489 (มีพระชนมพรรษาได้ 18 พรรษา) ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ (ขณะดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์) นิพนธ์คำร้องภาษาไทย แต่เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะทรงแก้ไขทำนอง และคอร์ดบางตอน จึงยังไม่โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้นำออกมาบรรเลงในเวลานั้น ต่อมาได้พระราชทานให้นำออกบรรเลงครั้งแรก พ.ศ. 2490 และใน พ.ศ. 2496 นางสาวสดใส วานิชวัฒนา (รองศาสตราจารย์สดใส พันธุมโกมล) ประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษถวาย”1
ต่อมาคุณเปรมิกา สุจริตกุลได้นำเพลงแสงเทียนมาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาฝรั่งเศส และขับร้องโดย คุณคริสตอฟ เตกอง แม้ผู้เขียนจะไม่สันทัดในภาษาฝรั่งเศส แต่ก็รู้สึกได้ว่าคำร้องภาษาฝรั่งเศสก็มีความไพเราะมากเช่นกัน แต่ในบทความนี้จะไม่กล่าวถึงคำร้องภาษาฝรั่งเศส
2. เพลงแสงเทียน
2.1 เพลงแสงเทียน ภาคภาษาไทย
สำหรับคำร้องภาษาไทยของเพลงนี้ได้บอกถึงความจริงที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ 2 ประการได้แก่ ประการแรกคือ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตซึ่งรวมถึงสังขารร่างกายด้วย สำหรับประการที่สองคือ สิ่งที่เป็นความแน่นอนของชีวิต (เป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมาและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้-ผู้เขียน) คือ มนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกหนีโรคภัย ความชรา และความตายได้ จึงควรทำบุญทำทานไว้เพื่อจะได้รับผลบุญเมื่อได้เกิดมามีชีวิตใหม่(เป็นความเชื่อขององค์ผู้ประพันธ์คำร้อง)โดยได้เปรียบการสิ้นสุดของชีวิตว่าเสมือนกับการสิ้นสุดของแสงเทียนดังคำร้องภาษาไทย2 ที่แสดงไว้ดังนี้
“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้วตายไป ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน เปรียบเทียนสิ้นแสงยามแรงลมเป่า
ชีพดับอับเฉาเหมือนเงาไร้ดวงเทียน จุดเทียนถวายหมายบนบูชาร้องเรียน
โรคภัยเบียดเบียนแสงเทียนทานลมพัดโบย โรครุมเร่าร้อนแรงโรย
หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน
ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด
ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
แสงเทียนบูชาจะดับพลัน แสงเทียนบูชาดับลับไป”
2.1 เพลงแสงเทียน ภาคภาษาอังกฤษ
สำหรับคำร้องเพลงแสงเทียน ภาคภาษาอังกฤษ (ซึ่งประพันธ์โดยรองศาสตราจารย์ สดใส พันธุมโกมล) จะเป็นคำร้องที่บ่งบอกถึงความรัก ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาและความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่อยู่ห่างจากคนรัก ซึ่งเป็นคำร้องที่แสดงถึงอารมณ์อาลัยรัก (Romantic Emotion Love) ดังคำร้องภาษาอังกฤษ3 ที่แสดงไว้ดังนี้
“The candlelight is shining low,
My only love, I'm missing you so.
I know I've lost
But still I dream of you.
I'll hope and dream
Till all my dreams come true.
Just by the candlelight
You used to hold me tight.
This candlelight reminds me so of you;
By candlelight you kissed me.
Still the candle's burning for two,
But darling, where can you be?
Come back, my love,
If you're feeling this blue
By candlelight you'll meet me.
But darling where can you be?”
3. กลอนแสงเทียนปีใหม่ 2558
การนำคำร้องเพลงแสงเทียนทั้งภาคภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษมาแสดงในบทความนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบว่า คำร้องของเพลงแสงเทียนทั้งสองภาค ได้ให้ความรู้สึกและความหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งคงจะมาจากความคิด ประสบการณ์ในอดีต และความรู้สึกที่แตกต่างกันของผู้ประพันธ์คำร้องทั้งสองท่าน โดยสรุปแล้วผู้เขียนมีความเห็นว่า คำร้องภาคภาษาไทยของเพลงนี้ได้แสดงถึงความเป็นอนิจจังหรือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต และบ่งบอกให้ทำความดีเพื่อสะสมผลบุญไว้ชาติหน้า ขณะที่คำร้องภาษาอังกฤษของเพลงนี้ได้แสดงถึงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ และความรักที่มีต่อบุคคลอันเป็นที่รักที่อยู่ห่างกัน
เมื่อได้ฟังเพลงแสงเทียนทั้งสองภาษาบ่อยๆ เข้า ได้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงภาพของเทียนที่กำลังลุกไหม้อยู่ หรือในขณะที่มีลมพัดผ่านเข้ามาก็จะทำให้แสงเทียนริบหรี่ลง แต่ถ้าไม่มีลมพัดแรงๆ เทียนก็จะลุกไหม้ให้แสงสว่างต่อไปและจะมอดดับลงในที่สุด ซึ่งอาจเปรียบได้กับชีวิตของคนที่เกิดมา มีการเจริญเติบโตก้าวหน้า มีเจ็บป่วย มีผิดพลาดมีสมหวัง และในที่สุดชีวิตก็จะดับลง เช่นเดียวกับการลุกไหม้และดับลงของเทียนนั่นเอง ดังนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เราจึงควรมุ่งมั่นที่จะทำความดี และขจัดความชั่วให้หมดไปและที่สำคัญก็คือ ความดีที่ทุกคนได้กระทำไว้ไม่เพียงจะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นไปอย่างสงบสันติสุขเท่านั้น แต่ยังจะกลายเป็นมรดกให้คนรุ่นหลังได้จดจำและยึดถือเป็นแบบอย่างที่จะกระทำความดีสืบต่อไปอีกด้วย
ด้วยความคิดเห็นดังกล่าว ผู้เขียนจึงได้นำมาแต่งเป็นข้อความที่คล้องจองกันได้ 4 ท่อน หรือ 1 บทซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของกลอนแปดขึ้นในวันที่ 28 ธ.ค. 2557 เพื่อมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ASTV และคนไทยทุกคนเนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ 2558 ดังแสดงในภาพที่ 1 พร้อมข้อความดังต่อไปนี้
ต่อมาได้มีผู้อ่านแสดงความคิดเห็นว่า กลอนสี่ของผู้เขียนมีใจความรวบรัดเกินไป อยากให้ผู้เขียนแต่งกลอนเพิ่มอีก 4 ท่อน หรืออีก 1 บท เพื่อให้เป็นไปตามแบบมาตรฐานของกลอนแปดที่นิยมเขียนกัน ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้พยายามปรับปรุงกลอนสี่ให้เป็นไปตามรูปแบบของกลอนแปด และได้กลายเป็น กลอนแสงเทียนปีใหม่ แบบที่ 2 (ปรับแก้ครั้งที่ 1) ซึ่งผู้เขียนได้นำมาลงในบทความ แผ่นดินของไทย ปัญหาของคนไทย (10.2) เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2558 เพื่อมอบให้ผู้อ่าน เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ รวมไปถึงนิสิตนักศึกษา อดีตนักเรียนนายร้อยทุกท่านนายทหาร และข้าราชการทุกท่านที่เคยฟังการบรรยาย ในวาระที่ขึ้นปีใหม่ 2558 โดยมีข้อความดังนี้
แสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 2)
New Year Candlelight
แสงเทียนดุจดังแสงแห่งชีวิต มีมืดมิดมีรุ่งโรจน์ตามวิถี
จงมุ่งมั่นสรรค์สร้างแต่ความดี ได้มั่งมีศรีสุขทุกข์ผ่อนคลาย
อดีตที่ผ่านมาในชีวิต ส่องสถิตในกมลคนทั้งหลาย
จงคิดดีทำดีไม่เสื่อมคลาย แม้ชีพวายชื่อคงอยู่ชั่วนิรันดร์
หลังจากนั้นในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของปีใหม่ 2558 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการอวยพรและมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ญาติผู้ใหญ่ และบุคคลต่างๆ ได้มีเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งเสนอความคิดว่า การไปเดินหาซื้อ card อวยพรปีใหม่ค่อนข้างจะเสียเวลา และยังอาจหาได้ไม่ถูกใจอีกด้วย ผู้เขียนน่าจะลองปรับแต่งกลอนแสงเทียนเป็นหลายๆ แบบแล้วพิมพ์ลงใน card อวยพรปีใหม่ที่แนบไปกับของขวัญให้กับบุคคลต่างๆ จะดีกว่าเพราะสามารถพิมพ์ข้อความต่างๆ ตามที่เราต้องการได้ ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงได้ปรับแต่งกลอนแสงเทียนเพิ่มอีก 3แบบ (ปรับแก้ครั้งที่ 2, 3และ 4) ดังข้อความต่อไปนี้
แสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 3)*
New Year Candlelight
แสงเทียนดุจดังแสงแห่งชีวิต มีมืดมิดมีรุ่งโรจน์ตามวิถี
จงมุ่งมั่นสรรค์สร้างแต่ความดี ได้มั่งมีศรีสุขทุกข์ผ่อนคลาย
วันวานที่ผ่านมาพาหวนคิด ยังสถิตในใจไม่เลือนหาย
ขอพากเพียรทำดีไม่เสื่อมคลาย แม้ชีพวายชื่อคงอยู่ชั่วนิรันดร์
*ปรับแก้ครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 ม.ค. 2558 เพื่อมอบให้เพื่อนข้าราชการทั้งหลายที่เคยร่วมงานกันในอดีต
แสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 4)*
New Year Candlelight
แสงเทียนดุจดังแสงแห่งชีวิต มีมืดมิดมีรุ่งโรจน์ตามวิถี
จงมุ่งมั่นสรรค์สร้างแต่ความดี ได้มั่งมีศรีสุขทุกข์ผ่อนคลาย
เรื่องราวที่ผ่านมาพาหวนคิด ยังสถิตในใจไม่เลือนหาย
ขอพากเพียรทำดีทั้งใจกาย แม้ชีพวายชื่อคงอยู่มิรู้ลืม
*ปรับแก้ครั้งที่ 3 ในวันที่ 6 ม.ค. 2558 เพื่อมอบให้เพื่อนร่วมสถาบันการศึกษาในอดีต
แสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 5)*
New Year Candlelight
แสงเทียนดุจดังแสงแห่งชีวิต มีมืดมิดมีรุ่งโรจน์ตามวิถี
จงมุ่งมั่นสรรค์สร้างแต่ความดี ได้มั่งมีศรีสุขทุกข์ผ่อนคลาย
เรื่องราวที่ผ่านมาพาหวนคิด ยังสถิตในใจไม่เลือนหาย
ขอพากเพียรทำดีไม่เสื่อมคลาย แม้ชีพวายชื่ออยู่คู่แผ่นดิน
*ปรับแก้ครั้งที่ 4 ในวันที่ 6 ม.ค. 2558 พัฒนาจากแสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 3 และ 4) เพื่อมอบให้มิตรสหาย และผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง
4. บทสรุป
ในบทความนี้ผู้อ่านทุกท่านคงได้รับรู้และเข้าใจแล้วว่า แม้เป็นเรื่องกลอนแสงเทียนเพียงเรื่องเดียว และมีผู้เขียนเป็นผู้แต่งกลอนนี้เพียงคนเดียวแต่ก็ยังแต่งกลอนแสงเทียนออกมาได้หลายแบบ (หลายครั้ง) นั่นหมายความว่า ความคิดเห็นของคนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอาจมีหลากหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบอาจคล้ายกันหรือแตกต่างกันก็ได้เพราะความคิดของคนจะไม่มีขอบเขตจำกัด
ฉะนั้นการรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ของประชาชนทุกหมู่ทุกกลุ่มในเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปประเทศไทย (Thailand Reforms) ที่กำลังร่างกันอยู่นี้ จึงเป็นเรื่องที่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทำให้ได้รับทราบความคิดเห็นในหลากหลายรูปแบบซึ่งจะทำให้เราสามารถคัดเลือก และนำมากลั่นกรองเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดและมีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ สามารถปฏิบัติได้จริง และให้ประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนคนไทยสืบไป
อ้างอิง
1http://web.ku.ac.th/king72/2530/candle.html
2 http://www.culture.go.th/subculture8/index.php?option=com_content&view=article&id=257:2012-12-23-07-56-25&catid=9:supreme-artist&Itemid=34
3 http://www.oknation.net/blog/prisanasweetsong/2011/12/04/entry-1
1. กล่าวนำ
เนื่องจากมีผู้สงสัยอยากทราบว่า โดยปกติผู้เขียนมักจะเขียนบทความแสดงความคิดเห็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แล้วมีอะไรเกิดขึ้นจึงมาเขียนกลอนแสงเทียน ก็ขอตอบว่า กลอนแสงเทียนมาจากแรงบันดาลใจหลังจากได้ฟังเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนซึ่งเป็นเพลงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงนิพนธ์ทำนองที่มีความไพเราะมากเพลงหนึ่ง โดยมีความเป็นมาโดยสรุปดังนี้
“เพลงแสงเทียนเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก ทรงพระราชนิพนธ์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2489 (มีพระชนมพรรษาได้ 18 พรรษา) ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ (ขณะดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์) นิพนธ์คำร้องภาษาไทย แต่เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะทรงแก้ไขทำนอง และคอร์ดบางตอน จึงยังไม่โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้นำออกมาบรรเลงในเวลานั้น ต่อมาได้พระราชทานให้นำออกบรรเลงครั้งแรก พ.ศ. 2490 และใน พ.ศ. 2496 นางสาวสดใส วานิชวัฒนา (รองศาสตราจารย์สดใส พันธุมโกมล) ประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษถวาย”1
ต่อมาคุณเปรมิกา สุจริตกุลได้นำเพลงแสงเทียนมาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาฝรั่งเศส และขับร้องโดย คุณคริสตอฟ เตกอง แม้ผู้เขียนจะไม่สันทัดในภาษาฝรั่งเศส แต่ก็รู้สึกได้ว่าคำร้องภาษาฝรั่งเศสก็มีความไพเราะมากเช่นกัน แต่ในบทความนี้จะไม่กล่าวถึงคำร้องภาษาฝรั่งเศส
2. เพลงแสงเทียน
2.1 เพลงแสงเทียน ภาคภาษาไทย
สำหรับคำร้องภาษาไทยของเพลงนี้ได้บอกถึงความจริงที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ 2 ประการได้แก่ ประการแรกคือ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตซึ่งรวมถึงสังขารร่างกายด้วย สำหรับประการที่สองคือ สิ่งที่เป็นความแน่นอนของชีวิต (เป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมาและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้-ผู้เขียน) คือ มนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกหนีโรคภัย ความชรา และความตายได้ จึงควรทำบุญทำทานไว้เพื่อจะได้รับผลบุญเมื่อได้เกิดมามีชีวิตใหม่(เป็นความเชื่อขององค์ผู้ประพันธ์คำร้อง)โดยได้เปรียบการสิ้นสุดของชีวิตว่าเสมือนกับการสิ้นสุดของแสงเทียนดังคำร้องภาษาไทย2 ที่แสดงไว้ดังนี้
“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้วตายไป ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน เปรียบเทียนสิ้นแสงยามแรงลมเป่า
ชีพดับอับเฉาเหมือนเงาไร้ดวงเทียน จุดเทียนถวายหมายบนบูชาร้องเรียน
โรคภัยเบียดเบียนแสงเทียนทานลมพัดโบย โรครุมเร่าร้อนแรงโรย
หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน
ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด
ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
แสงเทียนบูชาจะดับพลัน แสงเทียนบูชาดับลับไป”
2.1 เพลงแสงเทียน ภาคภาษาอังกฤษ
สำหรับคำร้องเพลงแสงเทียน ภาคภาษาอังกฤษ (ซึ่งประพันธ์โดยรองศาสตราจารย์ สดใส พันธุมโกมล) จะเป็นคำร้องที่บ่งบอกถึงความรัก ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาและความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่อยู่ห่างจากคนรัก ซึ่งเป็นคำร้องที่แสดงถึงอารมณ์อาลัยรัก (Romantic Emotion Love) ดังคำร้องภาษาอังกฤษ3 ที่แสดงไว้ดังนี้
“The candlelight is shining low,
My only love, I'm missing you so.
I know I've lost
But still I dream of you.
I'll hope and dream
Till all my dreams come true.
Just by the candlelight
You used to hold me tight.
This candlelight reminds me so of you;
By candlelight you kissed me.
Still the candle's burning for two,
But darling, where can you be?
Come back, my love,
If you're feeling this blue
By candlelight you'll meet me.
But darling where can you be?”
3. กลอนแสงเทียนปีใหม่ 2558
การนำคำร้องเพลงแสงเทียนทั้งภาคภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษมาแสดงในบทความนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบว่า คำร้องของเพลงแสงเทียนทั้งสองภาค ได้ให้ความรู้สึกและความหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งคงจะมาจากความคิด ประสบการณ์ในอดีต และความรู้สึกที่แตกต่างกันของผู้ประพันธ์คำร้องทั้งสองท่าน โดยสรุปแล้วผู้เขียนมีความเห็นว่า คำร้องภาคภาษาไทยของเพลงนี้ได้แสดงถึงความเป็นอนิจจังหรือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต และบ่งบอกให้ทำความดีเพื่อสะสมผลบุญไว้ชาติหน้า ขณะที่คำร้องภาษาอังกฤษของเพลงนี้ได้แสดงถึงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ และความรักที่มีต่อบุคคลอันเป็นที่รักที่อยู่ห่างกัน
เมื่อได้ฟังเพลงแสงเทียนทั้งสองภาษาบ่อยๆ เข้า ได้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงภาพของเทียนที่กำลังลุกไหม้อยู่ หรือในขณะที่มีลมพัดผ่านเข้ามาก็จะทำให้แสงเทียนริบหรี่ลง แต่ถ้าไม่มีลมพัดแรงๆ เทียนก็จะลุกไหม้ให้แสงสว่างต่อไปและจะมอดดับลงในที่สุด ซึ่งอาจเปรียบได้กับชีวิตของคนที่เกิดมา มีการเจริญเติบโตก้าวหน้า มีเจ็บป่วย มีผิดพลาดมีสมหวัง และในที่สุดชีวิตก็จะดับลง เช่นเดียวกับการลุกไหม้และดับลงของเทียนนั่นเอง ดังนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เราจึงควรมุ่งมั่นที่จะทำความดี และขจัดความชั่วให้หมดไปและที่สำคัญก็คือ ความดีที่ทุกคนได้กระทำไว้ไม่เพียงจะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นไปอย่างสงบสันติสุขเท่านั้น แต่ยังจะกลายเป็นมรดกให้คนรุ่นหลังได้จดจำและยึดถือเป็นแบบอย่างที่จะกระทำความดีสืบต่อไปอีกด้วย
ด้วยความคิดเห็นดังกล่าว ผู้เขียนจึงได้นำมาแต่งเป็นข้อความที่คล้องจองกันได้ 4 ท่อน หรือ 1 บทซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของกลอนแปดขึ้นในวันที่ 28 ธ.ค. 2557 เพื่อมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ASTV และคนไทยทุกคนเนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ 2558 ดังแสดงในภาพที่ 1 พร้อมข้อความดังต่อไปนี้
ต่อมาได้มีผู้อ่านแสดงความคิดเห็นว่า กลอนสี่ของผู้เขียนมีใจความรวบรัดเกินไป อยากให้ผู้เขียนแต่งกลอนเพิ่มอีก 4 ท่อน หรืออีก 1 บท เพื่อให้เป็นไปตามแบบมาตรฐานของกลอนแปดที่นิยมเขียนกัน ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้พยายามปรับปรุงกลอนสี่ให้เป็นไปตามรูปแบบของกลอนแปด และได้กลายเป็น กลอนแสงเทียนปีใหม่ แบบที่ 2 (ปรับแก้ครั้งที่ 1) ซึ่งผู้เขียนได้นำมาลงในบทความ แผ่นดินของไทย ปัญหาของคนไทย (10.2) เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2558 เพื่อมอบให้ผู้อ่าน เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ รวมไปถึงนิสิตนักศึกษา อดีตนักเรียนนายร้อยทุกท่านนายทหาร และข้าราชการทุกท่านที่เคยฟังการบรรยาย ในวาระที่ขึ้นปีใหม่ 2558 โดยมีข้อความดังนี้
แสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 2)
New Year Candlelight
แสงเทียนดุจดังแสงแห่งชีวิต มีมืดมิดมีรุ่งโรจน์ตามวิถี
จงมุ่งมั่นสรรค์สร้างแต่ความดี ได้มั่งมีศรีสุขทุกข์ผ่อนคลาย
อดีตที่ผ่านมาในชีวิต ส่องสถิตในกมลคนทั้งหลาย
จงคิดดีทำดีไม่เสื่อมคลาย แม้ชีพวายชื่อคงอยู่ชั่วนิรันดร์
หลังจากนั้นในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของปีใหม่ 2558 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการอวยพรและมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ญาติผู้ใหญ่ และบุคคลต่างๆ ได้มีเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งเสนอความคิดว่า การไปเดินหาซื้อ card อวยพรปีใหม่ค่อนข้างจะเสียเวลา และยังอาจหาได้ไม่ถูกใจอีกด้วย ผู้เขียนน่าจะลองปรับแต่งกลอนแสงเทียนเป็นหลายๆ แบบแล้วพิมพ์ลงใน card อวยพรปีใหม่ที่แนบไปกับของขวัญให้กับบุคคลต่างๆ จะดีกว่าเพราะสามารถพิมพ์ข้อความต่างๆ ตามที่เราต้องการได้ ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงได้ปรับแต่งกลอนแสงเทียนเพิ่มอีก 3แบบ (ปรับแก้ครั้งที่ 2, 3และ 4) ดังข้อความต่อไปนี้
แสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 3)*
New Year Candlelight
แสงเทียนดุจดังแสงแห่งชีวิต มีมืดมิดมีรุ่งโรจน์ตามวิถี
จงมุ่งมั่นสรรค์สร้างแต่ความดี ได้มั่งมีศรีสุขทุกข์ผ่อนคลาย
วันวานที่ผ่านมาพาหวนคิด ยังสถิตในใจไม่เลือนหาย
ขอพากเพียรทำดีไม่เสื่อมคลาย แม้ชีพวายชื่อคงอยู่ชั่วนิรันดร์
*ปรับแก้ครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 ม.ค. 2558 เพื่อมอบให้เพื่อนข้าราชการทั้งหลายที่เคยร่วมงานกันในอดีต
แสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 4)*
New Year Candlelight
แสงเทียนดุจดังแสงแห่งชีวิต มีมืดมิดมีรุ่งโรจน์ตามวิถี
จงมุ่งมั่นสรรค์สร้างแต่ความดี ได้มั่งมีศรีสุขทุกข์ผ่อนคลาย
เรื่องราวที่ผ่านมาพาหวนคิด ยังสถิตในใจไม่เลือนหาย
ขอพากเพียรทำดีทั้งใจกาย แม้ชีพวายชื่อคงอยู่มิรู้ลืม
*ปรับแก้ครั้งที่ 3 ในวันที่ 6 ม.ค. 2558 เพื่อมอบให้เพื่อนร่วมสถาบันการศึกษาในอดีต
แสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 5)*
New Year Candlelight
แสงเทียนดุจดังแสงแห่งชีวิต มีมืดมิดมีรุ่งโรจน์ตามวิถี
จงมุ่งมั่นสรรค์สร้างแต่ความดี ได้มั่งมีศรีสุขทุกข์ผ่อนคลาย
เรื่องราวที่ผ่านมาพาหวนคิด ยังสถิตในใจไม่เลือนหาย
ขอพากเพียรทำดีไม่เสื่อมคลาย แม้ชีพวายชื่ออยู่คู่แผ่นดิน
*ปรับแก้ครั้งที่ 4 ในวันที่ 6 ม.ค. 2558 พัฒนาจากแสงเทียนปีใหม่ (แบบที่ 3 และ 4) เพื่อมอบให้มิตรสหาย และผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง
4. บทสรุป
ในบทความนี้ผู้อ่านทุกท่านคงได้รับรู้และเข้าใจแล้วว่า แม้เป็นเรื่องกลอนแสงเทียนเพียงเรื่องเดียว และมีผู้เขียนเป็นผู้แต่งกลอนนี้เพียงคนเดียวแต่ก็ยังแต่งกลอนแสงเทียนออกมาได้หลายแบบ (หลายครั้ง) นั่นหมายความว่า ความคิดเห็นของคนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอาจมีหลากหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบอาจคล้ายกันหรือแตกต่างกันก็ได้เพราะความคิดของคนจะไม่มีขอบเขตจำกัด
ฉะนั้นการรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ของประชาชนทุกหมู่ทุกกลุ่มในเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปประเทศไทย (Thailand Reforms) ที่กำลังร่างกันอยู่นี้ จึงเป็นเรื่องที่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทำให้ได้รับทราบความคิดเห็นในหลากหลายรูปแบบซึ่งจะทำให้เราสามารถคัดเลือก และนำมากลั่นกรองเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดและมีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ สามารถปฏิบัติได้จริง และให้ประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนคนไทยสืบไป
อ้างอิง
1http://web.ku.ac.th/king72/2530/candle.html
2 http://www.culture.go.th/subculture8/index.php?option=com_content&view=article&id=257:2012-12-23-07-56-25&catid=9:supreme-artist&Itemid=34
3 http://www.oknation.net/blog/prisanasweetsong/2011/12/04/entry-1