ASTVผู้จัดการรายวัน - หม่อมอุ๋ยแย้มปีงบ 59 ขาดดุลเพิ่ม 3 แสนล้าน หวังกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เผยประชุมนัดแรกสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางกรอบรายได้ที่ชัดก่อนจะกำหนดกรอบรายจ่าย ลั่นไม่ควรหมกเม็ดหนี้โครงการจำนำข้าว เพราะต่างชาติจับตามอง เผยประชุมครั้งหน้า 13 ม.ค. ขณะที่กระทรวงคลังคงเป้ารายได้ปี 58 ที่ 2.325 ล้านล้าน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วม 4 หน่วยด้านเศรษฐกิจประกอบด้วย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) และสำนักงบประมาณ เพื่อกำหนดกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 เมื่อวานนี้ (7 ม.ค.) ว่า ได้ขอให้หน่วยงานดังกล่าวกลับไปทบทวนตัวเลขงบประมาณใน 2 ประเด็น คือ 1.งบรายได้ที่ยังเสนอต่ำเกินไป เนื่องจากมีการปรับขึ้นภาษีหลายตัว เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน น่าจะทำให้รายได้ปรับเพิ่มขึ้น และ 2.การกำหนดงบชำระหนี้โครงการรับจำนำข้าวที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิม เนื่องจากไม่ต้องการให้ต่างชาติมองว่ารัฐบาลไทยหมกหนี้จำนำข้าว
ในส่วนของงบลงทุนและงบรายจ่ายประจำของปีงบประมาณ 2559 นั้น เบื้องต้นจัดทำไว้หมดแล้ว และมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าปีงบประมาณ 2558 ซึ่งอยู่ที่ 2.575 ล้านล้านบาท เพราะต้องการให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น อาจจะต้องมีการทำงบประมาณแบบขาดดุลสูงถึง 3 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม การจัดทำงบประมาณปี 2559 ได้อยู่บนสมมติฐานการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 ไว้ที่ 4% ส่วนปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวราว 4.2%
"ขอกลับไปดูตัวเลขทั้งหมดอีกครั้ง โดยเฉพาะการชำระหนี้โครงการจำนำข้าว ไม่ควรหมกหนี้ให้ต่างชาติเห็น ทั้งที่จริงๆ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแข็งแรง และมีงบประมาณเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ ก็ต้องไปดูว่าจะเอางบส่วนไหนมาใช้ ซึ่งมีวิธีอยู่ เราจะมาหารืออีกครั้งในวันที่ 13 ม.ค" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
คลังคงเป้ารายได้ปี 58 ที่ 2.325 ล้านล้านบาท
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ทางกระทรวงการคลังยังคงเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2558 ไว้ที่ 2.325 ล้านล้านบาท แม้ว่ารายได้ของทางกรมสรรพากรที่มาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าน้ำมันจะลดลงตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง แต่ยังคงมีรายได้ของกรมสรรพสามิตที่มาจากการปรับขึ้นจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลสูงขึ้นมาชดเชย ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาในการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องเพราะราคาน้ำมันมีความผันผวน แม้ว่าขณะนี้ราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
"การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงก็มีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนั้น จึงเห็นว่าเร็วเกินไปที่จะปรับเป้าหมายรายได้แม้รัฐบาลจะต้องใช้ฐานรายได้ปี 58 ในการจัดทำงบประมาณปี 59 ก็ตาม" นายวิสุทธิ์กล่าว.
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วม 4 หน่วยด้านเศรษฐกิจประกอบด้วย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) และสำนักงบประมาณ เพื่อกำหนดกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 เมื่อวานนี้ (7 ม.ค.) ว่า ได้ขอให้หน่วยงานดังกล่าวกลับไปทบทวนตัวเลขงบประมาณใน 2 ประเด็น คือ 1.งบรายได้ที่ยังเสนอต่ำเกินไป เนื่องจากมีการปรับขึ้นภาษีหลายตัว เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน น่าจะทำให้รายได้ปรับเพิ่มขึ้น และ 2.การกำหนดงบชำระหนี้โครงการรับจำนำข้าวที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิม เนื่องจากไม่ต้องการให้ต่างชาติมองว่ารัฐบาลไทยหมกหนี้จำนำข้าว
ในส่วนของงบลงทุนและงบรายจ่ายประจำของปีงบประมาณ 2559 นั้น เบื้องต้นจัดทำไว้หมดแล้ว และมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าปีงบประมาณ 2558 ซึ่งอยู่ที่ 2.575 ล้านล้านบาท เพราะต้องการให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น อาจจะต้องมีการทำงบประมาณแบบขาดดุลสูงถึง 3 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม การจัดทำงบประมาณปี 2559 ได้อยู่บนสมมติฐานการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 ไว้ที่ 4% ส่วนปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวราว 4.2%
"ขอกลับไปดูตัวเลขทั้งหมดอีกครั้ง โดยเฉพาะการชำระหนี้โครงการจำนำข้าว ไม่ควรหมกหนี้ให้ต่างชาติเห็น ทั้งที่จริงๆ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแข็งแรง และมีงบประมาณเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ ก็ต้องไปดูว่าจะเอางบส่วนไหนมาใช้ ซึ่งมีวิธีอยู่ เราจะมาหารืออีกครั้งในวันที่ 13 ม.ค" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
คลังคงเป้ารายได้ปี 58 ที่ 2.325 ล้านล้านบาท
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ทางกระทรวงการคลังยังคงเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2558 ไว้ที่ 2.325 ล้านล้านบาท แม้ว่ารายได้ของทางกรมสรรพากรที่มาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าน้ำมันจะลดลงตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง แต่ยังคงมีรายได้ของกรมสรรพสามิตที่มาจากการปรับขึ้นจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลสูงขึ้นมาชดเชย ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาในการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องเพราะราคาน้ำมันมีความผันผวน แม้ว่าขณะนี้ราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
"การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงก็มีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนั้น จึงเห็นว่าเร็วเกินไปที่จะปรับเป้าหมายรายได้แม้รัฐบาลจะต้องใช้ฐานรายได้ปี 58 ในการจัดทำงบประมาณปี 59 ก็ตาม" นายวิสุทธิ์กล่าว.