**แน่นอนว่าในช่วงเริ่มต้นปีใหม่แบบนี้ก็เป็นธรรมเนียมที่จะต้องมีการประเมินถึงทิศทางใหม่ในภาพรวมๆ เอาไว้ก่อน สำหรับปี 2558 ก็เช่นเดียวกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคาดหมายถึงอนาคตของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะมีผลงานออกมาเข้าตาชาวบ้านได้หรือยัง หลังจากบริหารราชการแผ่นดินด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จมานาน เริ่มเข้าสู่เดือนที่ 4 กันแล้ว และต่อเนื่องมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกินกว่า 6 เดือนแล้ว ทุกอย่างก็น่าจะเห็นหน้าเห็นหลังกันได้แล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากผลต่อเนื่องจากอดีตที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ เมื่อปี 2557 ก็ต้องบอกตามตรงว่า "ชาวบ้าน" ส่วนใหญ่ยังไม่แฮปปี้เท่าที่ควร โดยเฉพาะผลงานทางด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง ยังไม่อาจ "สร้างความสุข" ให้จับต้องได้เลย รับรู้กันอยู่แล้วว่าราคาสินค้าการเกษตรตัวหลักยังตกต่ำ ไม่ต้องสาธยายซ้ำให้เสียเวลา ปัญหาหนี้สินครัวเรือนยังสูง ซึ่งส่งผลต่อการจับจ่ายของประชาชน กระทบไปถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่โตตามเป้า เพราะปีที่ผ่านมาบ้านเราโตได้แค่ร้อยละ 0.8 เท่านั้น จากเดิมที่เคยตั้งเป้าเอาไว้สูงถึงร้อยละ 2 ก่อนที่จะลดต่ำลงมาเรื่อยๆ ดังกล่าว
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือในปี 2558 ที่ดูแล้วยังไม่น่าสดใสกว่าเดิม นั่นคือคำพูดของ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อำนวย ปะติเส ที่รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรออกมาส่งสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า ในปี 58 ยังไม่ใช่ปีทองของราคาสินค้าเกษตร ความหมายก็คือ ในปีนี้ราคายังไม่ดีขึ้น แม้ว่าจะจับความหมายเป็นว่า "ลบ" อย่างเดียว เพียงแต่ว่าราคาอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ดีถึงขั้นราคาสูง หากมองในแง่ดีก็ต้องพูดกันแบบนั้น
แต่ในความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ยังไม่ฟื้น และกำลังลุกลามในรัสเซีย-ยูเครน จีน อินเดีย ก็โตแบบถดถอย ญี่ปุ่น ก็ทำท่าถดถอย สหรัฐอเมริกา ก็พึ่งพาไม่ได้ นี่คือดัชนีชี้วัดอนาคตทางเศรษฐกิจของไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อประเทศที่เคยเป็นตลาดหลักของเราซวนเซ มันก็ย่อมส่งผลกระทบมาถึงเราโดยตรง ขณะเดียวกันยิ่งประเทศเรามีปัญหาในเรื่อง "การแข่งขัน" มีต้นทุนที่สูงกว่าเพื่อนบ้านที่เป็นคู่ แข่งมันก็ยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก
อย่างไรก็ดี นั่นอาจจะมองในภาพที่เลวร้ายเกินไปก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเศรษฐกิจในปีนี้คงจะขยายตัวดีกว่าปีที่แล้ว อย่างน้อยในด้านตัวเลข เนื่องจากฐานเดิมต่ำสุดแล้ว ขณะเดียวกันในเรื่องราคาสินค้าเกษตรก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม ก็น่าจะโชคดีแล้ว ขออย่างเดียวอย่าให้ตกต่ำกว่าปีก่อนก็แล้วกัน หากเป็นเป็นนั้นมันคงยืนระยะต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่สิ่งที่ถือว่าโชคยังดีสำหรับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คือ ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบลงมาแบบครึ่งต่อครึ่ง ทำให้ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่งพอได้หายใจหายคอกันบ้าง
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจับตากันก็คือจะมี"ปัจจัยแทรกซ้อน"เกิดขึ้นมาจากกรณีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะทุกอย่างเริ่มงวดกันเข้ามาแล้ว มีหลายประเด็นที่เสนอเข้ามาอย่างหลากหลาย มีบางประเด็นที่อ่อนไหว จนอาจเกิดแรงกระเพื่อมแบบเหนือความคาดหมายก็เป็นได้ แม้ว่าไม่อยากชี้ชัดโฟกัสกันแบบเฉพาะเจาะจง แต่ก็พอประเมินจากอารมณ์ความรู้สึกกันได้ล่วงหน้ากันได้เลยว่าประเด็นกำหนดให้นายกฯมาจาก"คนนอก"นี่แหละจะมีปัญหาในอนาคต และจะกระทบต่อการดำรงอยู่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปถึงบุคคลในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)อีกด้วย
แม้ว่ายังมีอีกหลายประเด็นอ่อนไหวโดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปพลังงาน ที่ยังสร้างความเคลือบแคลง ไม่พอใจกับชาวบ้านที่ยังรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ มันก็ยังรอวันปะทุขึ้นมาได้ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็ดีสิ่งที่ถือว่าเป็น "เกราะกำบัง" ชั้นดีที่สุดของรัฐบาลและตัวผู้นำก็คือ "ผลงาน" เท่านั้น
**หากการแก้ปัญหาปากท้องในสามเดือนแรกทำได้ดี ราคาสินค้าดีขึ้น ทำให้เรื่องอื่นไม่น่าห่วง มิหนำซ้ำยังส่งผลให้ประเด็นนายกฯคนนอกผ่านฉลุยเสียอีก แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามก็ยุ่งแน่ แม้ว่าจะมีแบ็กขุมกำลังแน่นปึ้กก็ตาม !!
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากผลต่อเนื่องจากอดีตที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ เมื่อปี 2557 ก็ต้องบอกตามตรงว่า "ชาวบ้าน" ส่วนใหญ่ยังไม่แฮปปี้เท่าที่ควร โดยเฉพาะผลงานทางด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง ยังไม่อาจ "สร้างความสุข" ให้จับต้องได้เลย รับรู้กันอยู่แล้วว่าราคาสินค้าการเกษตรตัวหลักยังตกต่ำ ไม่ต้องสาธยายซ้ำให้เสียเวลา ปัญหาหนี้สินครัวเรือนยังสูง ซึ่งส่งผลต่อการจับจ่ายของประชาชน กระทบไปถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่โตตามเป้า เพราะปีที่ผ่านมาบ้านเราโตได้แค่ร้อยละ 0.8 เท่านั้น จากเดิมที่เคยตั้งเป้าเอาไว้สูงถึงร้อยละ 2 ก่อนที่จะลดต่ำลงมาเรื่อยๆ ดังกล่าว
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือในปี 2558 ที่ดูแล้วยังไม่น่าสดใสกว่าเดิม นั่นคือคำพูดของ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อำนวย ปะติเส ที่รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรออกมาส่งสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า ในปี 58 ยังไม่ใช่ปีทองของราคาสินค้าเกษตร ความหมายก็คือ ในปีนี้ราคายังไม่ดีขึ้น แม้ว่าจะจับความหมายเป็นว่า "ลบ" อย่างเดียว เพียงแต่ว่าราคาอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ดีถึงขั้นราคาสูง หากมองในแง่ดีก็ต้องพูดกันแบบนั้น
แต่ในความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ยังไม่ฟื้น และกำลังลุกลามในรัสเซีย-ยูเครน จีน อินเดีย ก็โตแบบถดถอย ญี่ปุ่น ก็ทำท่าถดถอย สหรัฐอเมริกา ก็พึ่งพาไม่ได้ นี่คือดัชนีชี้วัดอนาคตทางเศรษฐกิจของไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อประเทศที่เคยเป็นตลาดหลักของเราซวนเซ มันก็ย่อมส่งผลกระทบมาถึงเราโดยตรง ขณะเดียวกันยิ่งประเทศเรามีปัญหาในเรื่อง "การแข่งขัน" มีต้นทุนที่สูงกว่าเพื่อนบ้านที่เป็นคู่ แข่งมันก็ยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก
อย่างไรก็ดี นั่นอาจจะมองในภาพที่เลวร้ายเกินไปก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเศรษฐกิจในปีนี้คงจะขยายตัวดีกว่าปีที่แล้ว อย่างน้อยในด้านตัวเลข เนื่องจากฐานเดิมต่ำสุดแล้ว ขณะเดียวกันในเรื่องราคาสินค้าเกษตรก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม ก็น่าจะโชคดีแล้ว ขออย่างเดียวอย่าให้ตกต่ำกว่าปีก่อนก็แล้วกัน หากเป็นเป็นนั้นมันคงยืนระยะต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่สิ่งที่ถือว่าโชคยังดีสำหรับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คือ ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบลงมาแบบครึ่งต่อครึ่ง ทำให้ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่งพอได้หายใจหายคอกันบ้าง
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจับตากันก็คือจะมี"ปัจจัยแทรกซ้อน"เกิดขึ้นมาจากกรณีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะทุกอย่างเริ่มงวดกันเข้ามาแล้ว มีหลายประเด็นที่เสนอเข้ามาอย่างหลากหลาย มีบางประเด็นที่อ่อนไหว จนอาจเกิดแรงกระเพื่อมแบบเหนือความคาดหมายก็เป็นได้ แม้ว่าไม่อยากชี้ชัดโฟกัสกันแบบเฉพาะเจาะจง แต่ก็พอประเมินจากอารมณ์ความรู้สึกกันได้ล่วงหน้ากันได้เลยว่าประเด็นกำหนดให้นายกฯมาจาก"คนนอก"นี่แหละจะมีปัญหาในอนาคต และจะกระทบต่อการดำรงอยู่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปถึงบุคคลในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)อีกด้วย
แม้ว่ายังมีอีกหลายประเด็นอ่อนไหวโดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปพลังงาน ที่ยังสร้างความเคลือบแคลง ไม่พอใจกับชาวบ้านที่ยังรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ มันก็ยังรอวันปะทุขึ้นมาได้ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็ดีสิ่งที่ถือว่าเป็น "เกราะกำบัง" ชั้นดีที่สุดของรัฐบาลและตัวผู้นำก็คือ "ผลงาน" เท่านั้น
**หากการแก้ปัญหาปากท้องในสามเดือนแรกทำได้ดี ราคาสินค้าดีขึ้น ทำให้เรื่องอื่นไม่น่าห่วง มิหนำซ้ำยังส่งผลให้ประเด็นนายกฯคนนอกผ่านฉลุยเสียอีก แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามก็ยุ่งแน่ แม้ว่าจะมีแบ็กขุมกำลังแน่นปึ้กก็ตาม !!