ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สภาพจิตใจตำรวจไทยในตอนนี้น่าจะตุบๆ ต่อมๆ ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่
โดยเฉพาะในสังกัด “กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง”และ “กองบัญชาการตำรวจนครบาล”ข่าวว่าจะผ่าตัดใหญ่ตั้งแต่หัวยันหางโดยเฉพาะ “สอบสวนกลาง”เห็นว่า พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงมาควบคุมเองอย่างใก้ลชิด เรียกว่า ขุดรากถอนโคนอำนาจเก่ากันเลยทีเดียว
กวาดทั้งระดับ รองผบก. ผกก. สารวัตร ตลอดจนพวกนักบิน พวกเดินสายเก็บส่วยไม่มีเอาไว้ ส่วน "นครบาล" เจอพิษป้ายโฆษณาจอแอลอีดี เห็นว่าเกือบ 30 โรงพัก มีนายตำรวจระดับ ผกก.เส้นดีบางคนโดนเบิ้ล 2 กระทง เหตุผลเพราะพวกนี้อยู่ในท้องที่ป้ายโฆษณาเถื่อนตลอด
หวังว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. คงเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่แค่หาเหตุย้ายกันแล้วก็แล้วๆกันไป
2 กองบัญชาการหลักกำลังทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ที่เหลือไม่มีข่าวคราวอะไรน่าสนใจ แต่ที่โผล่มาให้เห็นเป็นกระแสบ้างก็คือกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ของ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน มีการติดป้ายประกาศชัดๆ ว่า “ภาค 1 ไม่มีวิ่งเต้น”ก็อยากจะเชื่ออยู่แต่จะ 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ อันนี้เป็นความเชื่อ
ส่วนบุคคลเพราะวงการตำรวจอย่าว่าแต่ “อมพระ”มาพูดเลย “อมโบสถ์” ทั้งหลังก็ไม่มีใครเชื่อว่าไม่มีวิ่งเต้น เว้นกฎ ดันก้นให้กับเด็กตัวเองหรือพรรคพวก
เอาเป็นว่าในสังคมอุปถัมภ์ สังคม“นกมีขน คนมีพวก” ถ้าไม่ช่วยคนใก้ลชิด ไม่ดูแลพรรคพวกเพื่อนฝูงมันก็คงกระไรอยู่ ขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้มันแหวกกฎ แหกกติกา ชนิดเหาะเหินเดินอากาศราวกับผู้วิเศษ ขาดไอ้คนนี้แล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเสียโอกาส จะไม่เจริญ ใครเป็นใครลองย้อนกลับไปดู เห็นว่าเป็นผลงานของ “บิ๊กตำรวจ”ทั้งนั้น คือห้ามคนอื่นทำแต่ตัวอย่างโทนโท่ไอ้พวกตัวเบิ้มๆทั้งนั้นที่มันทำให้เห็น
เขียนถึงกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บังเอิญมีเรื่องเกี่ยวข้องกับกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว เข้ามาเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพฤติการณ์ของตำรวจไทยบางคน ไปทำเรื่องเสื่อมเสียกับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียจนสื่อหนังสือพิมพ์ “The Sydney Morning herald "ลงข่าวเตือนให้ชาวออสเตรเลีย ระมัดระวังตัวถ้าคิดจะมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ เขาเตือนว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยบางคนข่มขู่ รีดไถนักท่องเที่ยวที่ไม่พกพาสปอร์ต หรือจับตัวไปตรวจปัสสาวะหากพบสารเสพติดจะถูกตบทรัพย์
นอกจากนั้น ยังระบุด้วยว่า จุดเกิดเหตุบ่อยที่สุด มีคนร้องเรียนมากที่สุดคือ ย่านถนนสุขุมวิท มีทั้งตรวจพาสปอร์ต และพาเข้าห้องน้ำเพื่อตรวจปัสสาวะ มีการรีดไถเงิน..บทความสื่อออสเตรเลีย ระบุว่า อาจเป็นเพราะช่วงนี้เจ้าหน้าที่ไทยมีอำนาจพิเศษตามประกาศกฎอัยการศึก จึงสามารถทำอะไรก็ได้
แน่นอนว่า ข่าวงามหน้าอย่างนี้ ตำรวจใหญ่หลายคนโดยเฉพาะที่รับผิดชอบกับตำรวจท่องเที่ยว คงนั่งกันไม่ติด พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. -โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรักษาการณ์ ผบช.ก. (3 ตำแหน่งใหญ่) บอกกับนักข่าวว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวจริงหรือไม่ หากมีเหตุจริง และมีหลักฐานทางตำรวจจะสอบว่าบุคคลที่ปรากฏในหลักฐานนั้น เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงหรือไม่ และจะแจ้งไปยังสถานทูตออสเตรเลีย อีกครั้งเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยมาก
ส่วนพล.ต.ต.อภิชัย ธิอามาตย์ ผบก.ตำรวจท่องเที่ยว บอกว่า ยังไม่ได้รับรายงานหรือร้องเรียนในเรื่องลักษณะดังกล่าว .....ยืนยันว่าต้นสังกัดไม่มีนโยบายส่งเสริมผู้กระทำความผิด และหากตรวจสอบพบจะดำเนินการจนถึงที่สุด ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ สามารถตรวจสอบหนังสือเดินทางนักท่องเที่ยวได้ และนักท่องเที่ยวเอง ก็สามารถนำมาแสดงย้อนหลังได้
ท่าทีของท่านประวุฒิ กับท่านอภิชัย ในฐานะประชาชนคนเสพข่าวก็น่าพอใจในระดับหนึ่ง คือ ออกมาเร็ว แสดงความเห็นแบบกลางๆและแข็งกร้าวอยู่ในที...แต่ในสายตาสื่อมันเหมือนท่องแม่สูตรคูณ ยังไงไม่รู้
อ่านเชิงท่านโฆษกฯ ที่ดักคอไว้ว่า อาจจะมีจริงแต่ไม่รู้ใช่ตำรวจหรือเปล่า...อันนี้ไม่ค่อยเท่ห์ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าเบื้องหลังโจรมันคือใครล่ะที่รู้ช่องกฎหมาย รู้ช่องตบทรัพย์ แต่เวลาพลาดก็มีไอ้พวกลิ่วล้อมาเป็นแพะ ทำนอง “ลิงตายฤาษีชุบ”
ส่วนเชิงผู้การท่องเที่ยว ถ้าท่านกำลังอธิบายต่อสังคมว่า ตำรวจท่องเที่ยวไม่มีนโยบายรีดไถ ไม่มีนโยบาย “ตบทรัพย์”อันนี้ถือว่าหน่อมแน้มไป แต่ถ้ากำลังขยายความไปว่า ตำรวจท่องเที่ยวไม่มีนโยบายเข้มงวดเรื่องการตรวจหนังสือเดินทาง (อย่างเอาเป็นเอาตาย) แต่ในทางกฎหมายสามารถทำได้ ตรงนี้สังคมพอเข้าใจและยอมรับ
ขอบอกตามตรงว่า ที่ท่านพูด “ต้นสังกัดไม่ได้มีนโยบายส่งเสริมผู้กระทำผิด”อันนี้ไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไม อย่าว่าแต่ส่งเสริมเลยแค่ทำไม่รู้ไม่เห็น ไม่ดูแล ไม่ใส่ใจ ลูกน้องก็มีความผิดแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นขอแนะว่า พูดน้อยๆ ทำเยอะๆ จะดีที่สุด เพราะว่าไปแล้วสื่อออสเตรเลีย มันก็ชอบหาเรื่องวนๆ เวียนๆ อยู่ที่สยามบ้านเรานี่แหละ และแต่ละเรื่องก็มีเค้า มีทั้งจริงๆ ปลอมๆ ปนๆ กันไป ตัวอย่างเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาสถานทูตออสเตรเลีย ออกมาตรการเตือนพลเมืองของเขาที่พำนักหรือท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆว่า อาจจะงดการช่วยเหลือชาวออสซี่ด้วยเรื่องไร้สาระอีกต่อไป
เรื่องไร้สาระที่ว่าก็คือเที่ยวจนเพลินพอหมดตูดก็ไปไถเอาจากสถานทูต
แต่ที่เจ็บจี๊ดๆ ก็คือ เขาระบุว่าที่สยามเมืองยิ้มเกิดกรณีนักท่องเที่ยวไปเสพสุขกับโสเภณีไทย แล้วไม่มีเงินจ่าย ต้องไปขอยืมจากสถานทูต อันนี้เหมือนจะฮา แต่ไม่ฮา...เราจะปฏิเสธ หรือเราจะยอมรับ..เรียกว่าแสบๆ คันๆ ทั้งขึ้นทั้งล่อง
นี่ไงคือวิธีคิดและมุมมองของพวกฝรั่งหัวแดงบางประเทศที่มีต่อเรา...แต่เราเองก็อย่าจับเป็นประเด็นทำหูทวนลม เพราะเรื่องเน่าเหม็น เรื่องทุเรศๆ ในแวดวงตำรวจ หรือสังคมไทยแลนด์แดนเรา ก็มีอยู่มาก และรอวันถูกชำระสะสาง
ตำรวจในฐานะผู้รักษากฎ คำตอบทั้งหมดจึงอยู่ที่พวกท่าน ไม่ต้องไปอาย ไม่ต้องไปห่วงภาพลักษณ์บ้าบออะไรหรอก เพราะความจริงก็คือความจริง “ภาพลักษณ์”ที่ดีจึงอยู่ที่ท่านจะทำอย่างไร ลองนักท่องเที่ยวมันออกไปโพนทะนาปากต่อปาก ทั้งปัญหาอาชญากรรม ปัญหาตำรวจทำตัวเยี่ยงโจรเสียเอง มันก็คงเหมือนกับที่เราเสพข่าว เสพภาพในเมืองต่างๆ ทั่วโลก หากไม่มีความปลอดภัย ต้องเสี่ยงภัยโจรผู้ร้ายแถมตำรวจกับโจรยังแยกกันแทบไม่ออก มันจะเหลืออะไร
และที่ฝรั่งมันบอกว่า “กฎอัยการศึก” ทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจมากมายสามารถทำอะไรก็ได้ เกรงว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพียงองค์กรเดียวก็คงเอาไม่อยู่ เพราะเรื่องกฎอัยการศึก มันเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ท่านก็ต้องไปบอกนักท่องเที่ยว ส่วนคนไทยจะกระทบไม่กระทบพระเดชพระคุณท่านยังเถียงกันไม่จบ
เอาเป็นว่าถ้าฝรั่งยังคิดว่าเป็นปัญหา กระทรวงการต่างประเทศ ต้องช่วยเหลืออีกแรงแล้วล่ะ