ASTVผู้จัดการรายวัน -สตช.เผยมีตำรวจเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์น้ำมันเถื่อน เครือข่าย "พงศ์พัฒน์" มีตัวเลขสูงกว่า 100 ล้านบาท ลั่นดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด ล่าสุดศาลอนุญาตฝากครั้งต่อครั้งที่ 3 หลังพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องฝากขัง "พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์" ผู้ต้องหาคดีแอบอ้างเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์พร้อมพวกรวม10 ราย ด้านผู้ต้องหาทั้งหมด ไม่คัดค้าน
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผช.ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบรายชื่อข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์น้ำมันเถื่อน ซึ่งมีตัวเลขสูงถึงกว่า 100 ล้านบาทนั้น พบว่า มีตำรวจที่เกี่ยวข้องและยอมรับสารภาพแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งยังไม่สามารถระบุจำนวนตัวเลขบุคคลได้ในขณะนี้ โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาเอาผิดทางวินัยร้ายแรง
ขณะที่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง คาดว่า จะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ โดยล่าสุดได้มีข้าราชการตำรวจบางส่วนสมัครใจขอย้ายออกจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ดำเนินการแล้วประมาณ 20-30 นาย มีความเชื่อมโยงกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เนื่องจากส่วนใหญ่พบว่าเป็นการขอย้ายกลับบ้าน และต้องการทำงานที่ถนัดมากกว่า พร้อมย้ำว่าไม่ใช่การย้ายล้างบางตำรวจที่สนิทกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์อย่างแน่นอน
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร พนักงานสอบสวน ได้ยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 3 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีต ผบช.ก. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ 59 ปี อดีต รอง ผบช.ก. ผู้ต้องหาคดีร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท เป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ด.ต. สุรศักดิ์ จันทร์เงา อายุ 50 ปี อดีตผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง อายุ 48 ปี อดีตผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นางปิยพรรณ ชินนะประภา อายุ 56 ปี และนายชอบ ชินนะประภา อายุ 60 ปี น้องสาวและน้องเขยของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์
โดยในคำร้องระบุว่า ตามคำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ลงวันที่ 4 ธ.ค.2557ซึ่งศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 6 คน มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6-17 ธ.ค.2557 ทั้งนี้ การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องทำการสอบปากคำพยานสำคัญอีก 35 ปาก รอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง รอตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์ที่ตรวจยึดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และรอผลการตรวจพิสูจน์หรือเปรียบเทียบของกลางกับผู้ต้องหาจากกองพิสูจน์หลักฐาน ด้วยเหตุและความจำเป็นดังกล่าว จึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 6 คน เป็นครั้งที่ 3 มีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 - 29 ธ.ค.2557
ท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่า จะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน รวมถึงเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนได้
วันเดียวกันนี้ พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร ได้ยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 3 พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อายุ 55 ปี อดีตผบก.รน. และพ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อายุ 46 ปี อดีต ผกก.4 บก.ปคบ. ผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ เป็นเจ้า พนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยคำร้องฝากขังระบุว่า ตามที่ศาลอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ทั้งสองคน มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6-17 ธ.ค.2557 พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยานปากสำคัญอีก 14ปาก รอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง รอผลตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์สินที่ตรวจยึดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และรอผลการสอบสวนขยายผลถึงสถานที่เก็บซ่อนทรัพย์สินเพิ่มเติม จึงขอศาลอนุญาตฝากขังผู้ต้องหาเป็นครั้งที่ 3 มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 18-29 ธ.ค.2557 ทั้งนี้ หากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนได้
นอกจากนี้ พ.ต.ท.วีระวุฒิ บำรุงสวัสดิ์ พนักงานสอบสวน ยังได้ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 3 นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช อายุ 57 ปี และนางสวงค์ มุ่งเที่ยง อายุ 54 ปี สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 และ 47
โดยคำร้องระบุว่า ตามที่ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6-17 ธ.ค.2557 พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยานอีก 3 ปาก รอผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และรอผลการตรวจพิสูจน์ซากสัตว์ป่าคุ้มครองของกลาง จากผู้เชี่ยวชาญของกรมประมง และกรมกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชมาประกอบสำนวนการสอบสวน ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไว้ระหว่างสอบสวนเป็นครั้งที่ 3 มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 18-29 ธ.ค.2557
ทั้งนี้ ศาลได้ดำเนินการฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ผ่านระบบสื่อสารทางไกลผ่านจอภาพ (วีดิโอ คอนเฟอร์เรนซ์) ไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง สถานที่ควบคุมตัว โดยผู้ต้องหาทั้งหมด ไม่คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตฝากขังครั้งที่ 3 ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผช.ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบรายชื่อข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์น้ำมันเถื่อน ซึ่งมีตัวเลขสูงถึงกว่า 100 ล้านบาทนั้น พบว่า มีตำรวจที่เกี่ยวข้องและยอมรับสารภาพแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งยังไม่สามารถระบุจำนวนตัวเลขบุคคลได้ในขณะนี้ โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาเอาผิดทางวินัยร้ายแรง
ขณะที่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง คาดว่า จะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ โดยล่าสุดได้มีข้าราชการตำรวจบางส่วนสมัครใจขอย้ายออกจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ดำเนินการแล้วประมาณ 20-30 นาย มีความเชื่อมโยงกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เนื่องจากส่วนใหญ่พบว่าเป็นการขอย้ายกลับบ้าน และต้องการทำงานที่ถนัดมากกว่า พร้อมย้ำว่าไม่ใช่การย้ายล้างบางตำรวจที่สนิทกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์อย่างแน่นอน
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร พนักงานสอบสวน ได้ยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 3 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีต ผบช.ก. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ 59 ปี อดีต รอง ผบช.ก. ผู้ต้องหาคดีร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท เป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ด.ต. สุรศักดิ์ จันทร์เงา อายุ 50 ปี อดีตผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง อายุ 48 ปี อดีตผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นางปิยพรรณ ชินนะประภา อายุ 56 ปี และนายชอบ ชินนะประภา อายุ 60 ปี น้องสาวและน้องเขยของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์
โดยในคำร้องระบุว่า ตามคำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ลงวันที่ 4 ธ.ค.2557ซึ่งศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 6 คน มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6-17 ธ.ค.2557 ทั้งนี้ การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องทำการสอบปากคำพยานสำคัญอีก 35 ปาก รอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง รอตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์ที่ตรวจยึดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และรอผลการตรวจพิสูจน์หรือเปรียบเทียบของกลางกับผู้ต้องหาจากกองพิสูจน์หลักฐาน ด้วยเหตุและความจำเป็นดังกล่าว จึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 6 คน เป็นครั้งที่ 3 มีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 - 29 ธ.ค.2557
ท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่า จะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน รวมถึงเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนได้
วันเดียวกันนี้ พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร ได้ยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 3 พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อายุ 55 ปี อดีตผบก.รน. และพ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อายุ 46 ปี อดีต ผกก.4 บก.ปคบ. ผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ เป็นเจ้า พนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยคำร้องฝากขังระบุว่า ตามที่ศาลอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ทั้งสองคน มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6-17 ธ.ค.2557 พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยานปากสำคัญอีก 14ปาก รอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง รอผลตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์สินที่ตรวจยึดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และรอผลการสอบสวนขยายผลถึงสถานที่เก็บซ่อนทรัพย์สินเพิ่มเติม จึงขอศาลอนุญาตฝากขังผู้ต้องหาเป็นครั้งที่ 3 มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 18-29 ธ.ค.2557 ทั้งนี้ หากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนได้
นอกจากนี้ พ.ต.ท.วีระวุฒิ บำรุงสวัสดิ์ พนักงานสอบสวน ยังได้ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 3 นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช อายุ 57 ปี และนางสวงค์ มุ่งเที่ยง อายุ 54 ปี สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 และ 47
โดยคำร้องระบุว่า ตามที่ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6-17 ธ.ค.2557 พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยานอีก 3 ปาก รอผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และรอผลการตรวจพิสูจน์ซากสัตว์ป่าคุ้มครองของกลาง จากผู้เชี่ยวชาญของกรมประมง และกรมกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชมาประกอบสำนวนการสอบสวน ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไว้ระหว่างสอบสวนเป็นครั้งที่ 3 มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 18-29 ธ.ค.2557
ทั้งนี้ ศาลได้ดำเนินการฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ผ่านระบบสื่อสารทางไกลผ่านจอภาพ (วีดิโอ คอนเฟอร์เรนซ์) ไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง สถานที่ควบคุมตัว โดยผู้ต้องหาทั้งหมด ไม่คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตฝากขังครั้งที่ 3 ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ