ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นรับเหมาขยับตัวรับโครงการลงทุนภาครัฐ หลังรัฐบาลส่งสัญญาณเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า ด้วยการบินไปเซ็นเอ็มโอยูกับจีนปลายเดือนธันวาคม ล่าสุดสายสีเขียวเปิดโผผู้เสนอราคาต่ำสุดใน4สัญญาแล้ว สายสีเหลือง -ชมพู -ส่วนต่อขยายสีน้ำเงินจ่อคิวต่อ โบรกฯคาดวัดสุก่อสร้าง อสังหาฯเตรียมขยับตาม
เมื่อเร็วๆนี้ นายสัจจพงศ์ สนั่นเสียง รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.2 กิโลเมตร กล่าวว่า รฟม.ได้เปิดซองราคาบริษัทที่เข้าร่วมประกวดรวม 4 สัญญา โดยพบว่าสัญญาที่ 1 การก่อสร้างงานโยธา ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 12 กิโลเมตร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) เสนอราคาต่ำสุด ที่ 15,279.99 ล้านบาท จากราคากลางรวม ภาษีประมาณ 15,423 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่ม UN-SH-CH Joint Venture นำโดยบมจ. ยูนิค เอ็น จิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) เสนอราคา 15,410 ล้านบาท
ขณะที่สัญญาที่ 2 การก่อสร้างงานโยธา ช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 7.5 กิโลเมตร กลุ่ม UN-SH-CH Joint Venture เสนอราคาต่ำสุดที่ 6,729 ล้านบาท จากราคากลางรวมภาษีประมาณ 6,738 ล้านบาท รองลงมาเป็น ITD เสนอราคา 6,740 ล้านบาท และ บมจ.ช.การช่าง (CK) เสนอราคา 6,890 ล้านบาท
ส่วนสัญญาที่ 3 การก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดแล้วจร กลุ่ม STEC-AS-3 Joint venture ประกอบด้วย บมจ.ซิโน-ไทย, A.S.ASSOCIATED ENGINEERING (1964) COMPANY LIMITED เสนอราคา 4,042 ล้านบาท จากราคากลางรวมภาษีประมาณ 4,079 ล้านบาท รองลงมาเป็น บมจ.ช.การช่าง (CK) เสนอราคา 4,210 ล้านบาท และสัญญา 4 งานออกแบบควบคุมการก่อสร้างระบบ ราง กลุ่ม STEC-AS-3 Joint venture เสนอราคาต่ำสุด ที่ 2,842ล้านบาท จากราคากลางรวมภาษีแล้วประมาณ 2,869 ล้านบาท รองลงมาเป็น ITD เสนอราคา 2,860 ล้านบาท
โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องและเรียกบริษัทที่เสนอราคาต่ำสุดมาชี้แจงรายละเอียด ก่อนจะเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.พิจารณา ก่อนเสนอ ครม. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนมิ.ย.2558 แล้วเสร็จประมาณปี 2562
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวของ รฟม. มีผลให้เกิดแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมาตั้งแต่ก่อนการเปิดเผยรายชื่อบริษัทที่เสนอราคาต่ำสุด เพราะต่างเชื่อว่า ราคาหุ้นรับเหมารายใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการได้งานระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งเชื่อกันว่า ณ ขณะนี้รัฐบาลมีความพร้อมในเรื่องเม็ดเงินลงทุน และเม็ดเงินที่จะได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน เพราะในวันที่ 22-23 ธันวาคมนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จะมีกำหนดเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำเชิญของผู้นำจีน เพื่อร่วมลงนามร่างบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย 2558-2565 ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทยกับประธานสภาเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของสาธารณประชาชนจีน
นอกจากนี้ จะเร่งดำเนินการพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน บางแค-พุทธมณฑลสาย 4 เพื่อสรุปรายละเอียดนำเสนอให้ ครม. อนุมัติภายในช่วงกลางปีหน้า
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า การออกมาเปิดเผยผู้เสนอราคาต่ำสุดของรถไฟฟ้าครั้งนี้ หากมองในอีกมุมหนึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณจากภาครัฐ ที่จะเริ่มเดินหน้าการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นรูปธรรมและมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะมีผลให้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้งเพื่อเก็งกำไรรับการชนะประมูล ทำให้ทุกตัวโดยเฉพาะรายใหญ่ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีก รวมถึงCK ที่ในรอบสายเขียวแม้จะไม่ใช่ผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด แต่ยังมีสายอื่นๆที่จะทยอยออกมา
“ต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวของภาคการบริโภคในประเทศล่าช้ากว่าที่คาดหวังกันไว้ สิ่งที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้ ก็คงต้องพึ่งการลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก เมื่อมีออกมาในช่วงเดือนสุดท้าย ทำให้แนวโน้มการเติบโตส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก หรือครึ่งปีแรก 2558 กลุ่มรับเหมารายใหญ่จะถูกเก็งกำไรจากข่าวเข้ารับงาน ส่วนขนาดกลางและเล็ก เชื่อว่าจะได้เป็นซัพคอนแทร็คหลายราย โดยเฉพาะพวกงานพื้นฐาน ส่วนอีกกลุ่มที่จะขยับตามไปด้วยคือกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก และปูนซีเมนต์เพราะเมื่อได้ผู้ดำเนินการก่อสร้างจริง ดีมานต์ความต้องการใช้จะต้องมีการเตรียมการรองรับไว้ล่วงหน้า”
ขณะเดียวกัน กลุ่มที่น่าสนใจนอกเหนือจาก 2 กลุ่มที่กล่าวมา นักวิเคราะห์มองไปที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีโครงการติดกับแนวรถไฟฟ้า จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเช่นกัน เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่โครงการจะประสบความสำเร็จในยอดขายมีสูงขึ้น
“ต้องยอมรับว่าเมื่อภาครัฐเร่งการพัฒนาประเทศ หุ้นรับเหมาก่อสร้าง จะกลายเป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นทางด้านราคา โดยเฉพาะหุ้น ITD เพราะนักลงทุนส่วนมากให้ความสนมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งเชื่อกันว่าอาจเห็นการขยับตัวขึ้นไปอยู่ระดับสองหลัก อย่างไรก็ตามต้องบอกว่ามีนักลงทุนรายใหญ่ถือหุ้นนี้อยู่เยอะ การเทขายทำกำไรน่าจะเกิดขึ้นมาห็เห็นได้ นักลงทุนควรระมัดระวังไว้ด้วย”
เมื่อเร็วๆนี้ นายสัจจพงศ์ สนั่นเสียง รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.2 กิโลเมตร กล่าวว่า รฟม.ได้เปิดซองราคาบริษัทที่เข้าร่วมประกวดรวม 4 สัญญา โดยพบว่าสัญญาที่ 1 การก่อสร้างงานโยธา ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 12 กิโลเมตร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) เสนอราคาต่ำสุด ที่ 15,279.99 ล้านบาท จากราคากลางรวม ภาษีประมาณ 15,423 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่ม UN-SH-CH Joint Venture นำโดยบมจ. ยูนิค เอ็น จิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) เสนอราคา 15,410 ล้านบาท
ขณะที่สัญญาที่ 2 การก่อสร้างงานโยธา ช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 7.5 กิโลเมตร กลุ่ม UN-SH-CH Joint Venture เสนอราคาต่ำสุดที่ 6,729 ล้านบาท จากราคากลางรวมภาษีประมาณ 6,738 ล้านบาท รองลงมาเป็น ITD เสนอราคา 6,740 ล้านบาท และ บมจ.ช.การช่าง (CK) เสนอราคา 6,890 ล้านบาท
ส่วนสัญญาที่ 3 การก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดแล้วจร กลุ่ม STEC-AS-3 Joint venture ประกอบด้วย บมจ.ซิโน-ไทย, A.S.ASSOCIATED ENGINEERING (1964) COMPANY LIMITED เสนอราคา 4,042 ล้านบาท จากราคากลางรวมภาษีประมาณ 4,079 ล้านบาท รองลงมาเป็น บมจ.ช.การช่าง (CK) เสนอราคา 4,210 ล้านบาท และสัญญา 4 งานออกแบบควบคุมการก่อสร้างระบบ ราง กลุ่ม STEC-AS-3 Joint venture เสนอราคาต่ำสุด ที่ 2,842ล้านบาท จากราคากลางรวมภาษีแล้วประมาณ 2,869 ล้านบาท รองลงมาเป็น ITD เสนอราคา 2,860 ล้านบาท
โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องและเรียกบริษัทที่เสนอราคาต่ำสุดมาชี้แจงรายละเอียด ก่อนจะเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.พิจารณา ก่อนเสนอ ครม. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนมิ.ย.2558 แล้วเสร็จประมาณปี 2562
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวของ รฟม. มีผลให้เกิดแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมาตั้งแต่ก่อนการเปิดเผยรายชื่อบริษัทที่เสนอราคาต่ำสุด เพราะต่างเชื่อว่า ราคาหุ้นรับเหมารายใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการได้งานระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งเชื่อกันว่า ณ ขณะนี้รัฐบาลมีความพร้อมในเรื่องเม็ดเงินลงทุน และเม็ดเงินที่จะได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน เพราะในวันที่ 22-23 ธันวาคมนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จะมีกำหนดเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำเชิญของผู้นำจีน เพื่อร่วมลงนามร่างบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย 2558-2565 ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทยกับประธานสภาเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของสาธารณประชาชนจีน
นอกจากนี้ จะเร่งดำเนินการพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน บางแค-พุทธมณฑลสาย 4 เพื่อสรุปรายละเอียดนำเสนอให้ ครม. อนุมัติภายในช่วงกลางปีหน้า
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า การออกมาเปิดเผยผู้เสนอราคาต่ำสุดของรถไฟฟ้าครั้งนี้ หากมองในอีกมุมหนึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณจากภาครัฐ ที่จะเริ่มเดินหน้าการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นรูปธรรมและมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะมีผลให้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้งเพื่อเก็งกำไรรับการชนะประมูล ทำให้ทุกตัวโดยเฉพาะรายใหญ่ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีก รวมถึงCK ที่ในรอบสายเขียวแม้จะไม่ใช่ผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด แต่ยังมีสายอื่นๆที่จะทยอยออกมา
“ต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวของภาคการบริโภคในประเทศล่าช้ากว่าที่คาดหวังกันไว้ สิ่งที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้ ก็คงต้องพึ่งการลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก เมื่อมีออกมาในช่วงเดือนสุดท้าย ทำให้แนวโน้มการเติบโตส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก หรือครึ่งปีแรก 2558 กลุ่มรับเหมารายใหญ่จะถูกเก็งกำไรจากข่าวเข้ารับงาน ส่วนขนาดกลางและเล็ก เชื่อว่าจะได้เป็นซัพคอนแทร็คหลายราย โดยเฉพาะพวกงานพื้นฐาน ส่วนอีกกลุ่มที่จะขยับตามไปด้วยคือกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก และปูนซีเมนต์เพราะเมื่อได้ผู้ดำเนินการก่อสร้างจริง ดีมานต์ความต้องการใช้จะต้องมีการเตรียมการรองรับไว้ล่วงหน้า”
ขณะเดียวกัน กลุ่มที่น่าสนใจนอกเหนือจาก 2 กลุ่มที่กล่าวมา นักวิเคราะห์มองไปที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีโครงการติดกับแนวรถไฟฟ้า จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเช่นกัน เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่โครงการจะประสบความสำเร็จในยอดขายมีสูงขึ้น
“ต้องยอมรับว่าเมื่อภาครัฐเร่งการพัฒนาประเทศ หุ้นรับเหมาก่อสร้าง จะกลายเป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นทางด้านราคา โดยเฉพาะหุ้น ITD เพราะนักลงทุนส่วนมากให้ความสนมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งเชื่อกันว่าอาจเห็นการขยับตัวขึ้นไปอยู่ระดับสองหลัก อย่างไรก็ตามต้องบอกว่ามีนักลงทุนรายใหญ่ถือหุ้นนี้อยู่เยอะ การเทขายทำกำไรน่าจะเกิดขึ้นมาห็เห็นได้ นักลงทุนควรระมัดระวังไว้ด้วย”