00 ต้องเรียกว่า "คณะใหญ่" เต็มทีมมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา สำหรับการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. แม้ว่าจะเป็นการเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. แต่ระดับบุคคลที่ร่วมทางไปล้วนไม่ธรรมดา เริ่มจาก รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รวมทั้ง รมช.คมนาคม และเลขาฯสภาพัฒน์ ก็ถือว่าไปกันแบบเน้นๆ เนื้อๆ กันไปเลย เห็นรายชื่อและตำแหน่งที่หนีบกันไปก็พอรู้แล้วว่าหัวข้อการหารือ ก็ต้องมีเรื่องการพูดคุย "สันติสุขชายแดนใต้" เรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน ที่ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาศก.ของรัฐบาลคสช.
00 เรื่องความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ ก็คงต้องให้"สะเด็ดน้ำ" เพราะเที่ยวนี้ถือว่าไปกันแบบเต็มทีม และมี "ความเบ็ดเสร็จ" แบบที่น้อยครั้งจะได้เห็นแบบนี้ และเมื่อฝ่ายความมั่นคงนำไป "หัวหน้าคณะ" ในการเจรจาสันติสุขกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็ต้องเป็นฝ่ายทหารเท่านั้น ตามข่าวยืนยันมานานแล้วว่าเป็น พล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ส่วนที่เหลือก็จะเป็น เลขาฯสมช. ส่วนฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบคราวนี้ฝ่ายความมั่นคงยังยืนยันว่า ต้องคุยกันหลายกลุ่มพร้อมกันจะรับรู้ข้อเสนอและความต้องการแบบหลากหลาย ไม่ใช่ให้ความสำคัญเกินจริงกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเหมือนกับในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หวังผลเพียงแค่การตลาด ฉาบฉวย และเชื่อว่ายังคงจำกัดกรอบมาเลย์ให้มีบทบาทในฐานะ "ผู้ประสานงาน" และอำนวยความสะดวกเท่านั้น ก็ต้องติดตามการการเจรจาจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นความหวังได้อีกครั้ง หากตั้งใจให้เกิดสันติสุขทั้งสองฝ่าย
00 ส่วนความสนใจที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง และเชื่อว่ายังต้องพูดถึง มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปอีกพักใหญ่ กับคดีจับกุม "แก๊งตำรวจ" ที่มี อดีต ผบช.ก.พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นหัวหน้า เพราะทั้งของกลาง การเปิดเผยเส้นทางรับส่วย การตั้งบ่อนการพนัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เผยให้เห็นตัวตนและ "ความเลว" ของวงการตำรวจได้อย่างน่าสะอิดสะเอียนที่สุดครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันกรณีที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่า สร้างความ "สั่นสะเทือน" กันทั้ง สตช. แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความก็คือ ภาพลักษณ์ของตำรวจในสายตาประชาชน "ยับเยิน" ติดลบอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคดีของ พงศ์พัฒน์ ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านเขาหลับตานึกเห็น "ภาพเปรียบเทียบ" ถ้าระดับผู้บัญชาการ โกง รับส่วย รีดไถ แบบชั่วครบวงจรอย่างที่ตั้งข้อหาอยู่ในเวลานี้ แล้วอย่างนั้นระดับสูงขึ้นไป หรือต่ำกว่านี้ แต่ถือว่ายังพอมีอำนาจสั่งการ ไม่ว่าระดับ ผกก. ผบก.ไปจนถึง ผู้บัญชาการสตช.ในอดีตล่ะ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง มันเป็นคำถามที่จี๊ดขึ้นมาในใจ และสังคมก็นินทามานานแล้ว เพียงแต่ว่าคราวนี้ "เรื่องมันแดง" ออกมาแบบ "ปัจจุบันทันด่วน" ทำให้ยิ่งชวนสงสัย และเกิดคำถามตามมามากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ นับจากนี้ตำรวจจะยิ่งอยู่ลำบาก ถูกชี้หน้าจากสังคมหนักขึ้นทุกวัน และเป็นแรงกดดันให้เกิดการปฏิรูปกระจายอำนาจ มีการควบคุมจากสังคมให้มากขึ้น เพราะถือว่าสุกงอมเต็มทีแล้ว !!
00 อย่างไรก็ดี การที่ตำรวจจับตำรวจคราวนี้ แม้ว่าจะเป็นคดีที่ถือว่า "ครึกโครม" ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งของกลาง และข้อหา เครือข่ายที่ถูกจับกุมต้องบอกว่า น่าตกตะลึง ขณะเดียวกันก็อย่าหมายว่าจะเป็นความดีความชอบ หรือความกล้าหาญ ของ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่กล้าสั่งย้าย และสั่งดำเนินคดี ไม่ใช่แค่คำพูดเท่ๆ ว่า "ใหญ่แค่ไหนก็จับ" มันจริงหรือเปล่า เพราะสิ่งที่ชาวบ้านมองอยู่ และเป็นคำถามก็คือ ทำไมถึงปล่อยให้แก๊งนี้ลอยนวลมาตั้งนาน รวมไปถึงคำถามที่มีไปถึง ผบ.ตร. คนก่อนๆ และรัฐบาลก่อนว่า ทำไมถึงปล่อยให้สร้างความเสียหายยาวนานได้ถึงขนาดนี้ ถือว่า น่าตกใจจริงๆ !!
00 เรื่องความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ ก็คงต้องให้"สะเด็ดน้ำ" เพราะเที่ยวนี้ถือว่าไปกันแบบเต็มทีม และมี "ความเบ็ดเสร็จ" แบบที่น้อยครั้งจะได้เห็นแบบนี้ และเมื่อฝ่ายความมั่นคงนำไป "หัวหน้าคณะ" ในการเจรจาสันติสุขกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็ต้องเป็นฝ่ายทหารเท่านั้น ตามข่าวยืนยันมานานแล้วว่าเป็น พล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ส่วนที่เหลือก็จะเป็น เลขาฯสมช. ส่วนฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบคราวนี้ฝ่ายความมั่นคงยังยืนยันว่า ต้องคุยกันหลายกลุ่มพร้อมกันจะรับรู้ข้อเสนอและความต้องการแบบหลากหลาย ไม่ใช่ให้ความสำคัญเกินจริงกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเหมือนกับในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หวังผลเพียงแค่การตลาด ฉาบฉวย และเชื่อว่ายังคงจำกัดกรอบมาเลย์ให้มีบทบาทในฐานะ "ผู้ประสานงาน" และอำนวยความสะดวกเท่านั้น ก็ต้องติดตามการการเจรจาจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นความหวังได้อีกครั้ง หากตั้งใจให้เกิดสันติสุขทั้งสองฝ่าย
00 ส่วนความสนใจที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง และเชื่อว่ายังต้องพูดถึง มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปอีกพักใหญ่ กับคดีจับกุม "แก๊งตำรวจ" ที่มี อดีต ผบช.ก.พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นหัวหน้า เพราะทั้งของกลาง การเปิดเผยเส้นทางรับส่วย การตั้งบ่อนการพนัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เผยให้เห็นตัวตนและ "ความเลว" ของวงการตำรวจได้อย่างน่าสะอิดสะเอียนที่สุดครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันกรณีที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่า สร้างความ "สั่นสะเทือน" กันทั้ง สตช. แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความก็คือ ภาพลักษณ์ของตำรวจในสายตาประชาชน "ยับเยิน" ติดลบอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคดีของ พงศ์พัฒน์ ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านเขาหลับตานึกเห็น "ภาพเปรียบเทียบ" ถ้าระดับผู้บัญชาการ โกง รับส่วย รีดไถ แบบชั่วครบวงจรอย่างที่ตั้งข้อหาอยู่ในเวลานี้ แล้วอย่างนั้นระดับสูงขึ้นไป หรือต่ำกว่านี้ แต่ถือว่ายังพอมีอำนาจสั่งการ ไม่ว่าระดับ ผกก. ผบก.ไปจนถึง ผู้บัญชาการสตช.ในอดีตล่ะ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง มันเป็นคำถามที่จี๊ดขึ้นมาในใจ และสังคมก็นินทามานานแล้ว เพียงแต่ว่าคราวนี้ "เรื่องมันแดง" ออกมาแบบ "ปัจจุบันทันด่วน" ทำให้ยิ่งชวนสงสัย และเกิดคำถามตามมามากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ นับจากนี้ตำรวจจะยิ่งอยู่ลำบาก ถูกชี้หน้าจากสังคมหนักขึ้นทุกวัน และเป็นแรงกดดันให้เกิดการปฏิรูปกระจายอำนาจ มีการควบคุมจากสังคมให้มากขึ้น เพราะถือว่าสุกงอมเต็มทีแล้ว !!
00 อย่างไรก็ดี การที่ตำรวจจับตำรวจคราวนี้ แม้ว่าจะเป็นคดีที่ถือว่า "ครึกโครม" ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งของกลาง และข้อหา เครือข่ายที่ถูกจับกุมต้องบอกว่า น่าตกตะลึง ขณะเดียวกันก็อย่าหมายว่าจะเป็นความดีความชอบ หรือความกล้าหาญ ของ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่กล้าสั่งย้าย และสั่งดำเนินคดี ไม่ใช่แค่คำพูดเท่ๆ ว่า "ใหญ่แค่ไหนก็จับ" มันจริงหรือเปล่า เพราะสิ่งที่ชาวบ้านมองอยู่ และเป็นคำถามก็คือ ทำไมถึงปล่อยให้แก๊งนี้ลอยนวลมาตั้งนาน รวมไปถึงคำถามที่มีไปถึง ผบ.ตร. คนก่อนๆ และรัฐบาลก่อนว่า ทำไมถึงปล่อยให้สร้างความเสียหายยาวนานได้ถึงขนาดนี้ ถือว่า น่าตกใจจริงๆ !!