**อาฟเตอร์ช็อกจากขอนแก่นสู่เมืองหลวง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เจอปรากฏการณ์นักศึกษาขอนแก่น ชู 3 นิ้ว ลามมาถึงธรรมศาสตร์ แพร่กระจายไปถึงเชียงรายเหนือสุดของประเทศไทย เหลือเพียงปักษ์ใต้ ที่ยังไม่มีปรากฏการณ์เชิงสัญลักษณ์
แต่ปัญหาหลายอย่างที่หมักหมม โดยเฉพาะราคายางพารา ก็รอเพียงเวลาปะทุเช่นเดียวกัน ไม่นับเรื่องราคาข้าวตกต่ำ เศรษฐกิจฝืด ปัญหาเรื่องการทุจริตที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ออกมาติติง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะนิ่งนอนใจไม่ได้เลย กับสารพัดปัญหาที่รอการสะสางอย่างเป็นระบบ ขณะที่ปัญหาทางการเมืองที่กดทับไว้ชั่วระยะ 6 เดือน ที่คสช.เข้ามาอยู่ในอำนาจ วันนี้มีอาการออกมาให้เห็นแบบไฟลามทุ่ง
จึงต้องสะกัดเพลิงด้วยการเสนอให้มีการเปิดเวทีรับฟังความเห็นจากบรรดานักศึกษา โดยมอบหมายให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ และสถาบันพระปกเกล้า ไปจัดเวทีให้ได้แสดงออกในสิ่งที่อัดอั้น
**การเสนอให้มีการจัดเวทีรับฟังความเห็นครั้งนี้ เป็นแค่ "ละครเวทีปาหี่" ไปวันๆ หรือเป็นสิ่งสะท้อนเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ ที่ต้องการฟังเสียงเล็กๆ ของประชาชน นิสิตนักศึกษา เพื่อนำมาขัดเกลานำไปสู่การปฏิรูป ?
ถ้าดูเจตนาคงเห็นไม่ชัดเจนถึงความจริงใจในการจะเปิดเวที เพื่อรับความเห็นของประชาชน เพราะการเปิดเวทีรับฟังยังคงอยู่ใต้ปลายปืนสะกดข่ม
หนึ่งในเหตุผลสำคัญนั่นก็คือ การคงกฎอัยการศึก แม้จะบอกว่าสถานการณ์ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย จึงยังเป็นกฎหมายที่จำกัดจำเขี่ยในการแสดงความคิดเห็น จึงกลายร่างออกมาเป็นแรงผลักให้มีปรากฏการณ์ต่อต้านรัฐบาล คสช. และบริวาร
เสียงที่สะท้อนออกมาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น 3 นิ้ว หรือใบปลิวข้อความต่างๆ การกระทำของกลุ่มเล็กๆ แต่สั่นสะเทือน จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องมีคำสั่งให้เปิดเวทีรับฟังความเห็น ซึ่งเป็นแค่เรื่อง “ปาหี่” เพราะเชื่อหรือว่าคนที่เห็นต่างกับรัฐบาล โดยเฉพาะนักศึกษา จะเข้าร่วมเวทีที่เครือข่าย คสช. กวักมือเรียกให้เข้ามาร่วมวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย
โดยเฉพาะท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า มันสายเกินเวลาที่มาต่อต้าน คสช. เพราะวันเวลามันล่วงมา 6 เดือนแล้ว ท่าทีเช่นนี้มันจึงดูเหมือนตลกร้าย ที่กระตุ้นอารมณ์พวกที่ออกมาต่อต้านพอสมควร จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาตลอดระยะกว่าครึ่งปี ที่คสช.เข้ามาบริหารประเทศ แทบจะไม่มีช่องว่าง ช่องโหว่ให้มีการแสดงออกในด้านที่เห็นต่าง พยายามที่จะเก็บเสียงต่อต้านไว้ใต้ท็อปบูต ที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้ผล
ต้องยอมรับว่า นักศึกษาเป็นเสียงบริสุทธิ์ที่อยากจะสะท้อน ต้องการแสดงออกแบบเฮ้วๆ ตามวัย กล้าคิด กล้าแสดงออก ห่าม นี่เป็นคุณสมบัติของวัยว้าวุ่น การที่จะให้เข้ามาอยู่ในระบบภายใต้เครือข่าย คสช. จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเดินตาม การสั่งตั้งเวที จึงอาจเป็นเพียงการแก้เก้อ แสดงถึงการเปิดกว้างทางประชาธิปไตย ต้องการฟังเสียงที่เห็นต่าง แนวคิดอาจจะดี แต่ช่วงเวลามันเลยมาไกลเสียแล้ว
**ตอนอยากพูดกลับห้าม แล้วจะมาเรียกไปเข้าค่ายอบรม คิดแล้วมันเปลืองค่ากาแฟ
ยิ่งท่าทีของพี่นายกฯ อย่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยแล้ว ใครจะอยากมาร่วมเวที ถ้าไม่มีถูกบังคับ ดังนั้นคงต้องประเมินกันให้ดี ถ้าจะมีการเปิดเวทีจริงจัง หยั่งเสียงดูว่า คนที่มาของแท้ หรือของปลอม หรือเกณฑ์มาไม่ให้หน้าแหกเท่านั้น
เพราะที่ผ่านมามันมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ฉากจากหนังฮังเกอร์เกมส์ ที่หลุดออกมาสู่ชีวิตจริงต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จนเป็นเรื่องฮือฮานั้น มีเสียงลือๆ กันว่า เพราะมันมาจากเรื่องการเหยียบเล็บขบเหลี่ยมกันของผู้มีอำนาจ ระหว่างอำนาจเก่า อำนาจใหม่ ที่ไม่พอใจการจัดโครงสร้างอำนาจใหม่ ทั้งคณะรัฐมนตรี สนช. สปช. จึงมีเกมออกมากระตุกหนวดกัน ส่วนกลุ่มสีทางการเมือง กลับอยู่ในที่ตั้งตามคำสั่งคสช.อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ถ้าเสียงอื้ออึงไม่ชัดเจน ก็ลองมองดูทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ที่เพิ่งตั้งคณะที่ปรึกษานายกฯ มาเป็นทีมงานขึ้นมาใหม่หมาดโดยมีหัวเรือใหญ่อย่าง“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” มาดูการดำเนินนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่กำลังน่าเป็นห่วง ซึ่งเรื่องเศรษฐกิจมี "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" รองนายกฯ คุมด้านเศรษฐกิจ อย่างนี้ทับเส้นสายกันหรือไม่
**เพราะกระแสว่า “หม่อมอุ๋ย" ก็ไม่ค่อยจะปลื้ม "บิ๊กตู่" สักเท่าไร งานนี้เลยทำเอาเสื้อแดงนอนเกาพุงอยู่บนภูดู"พยัคฆ์" ขับเคี่ยวกัน
แต่ภายใต้ฉากการต่อต้าน "บิ๊กตู่" คงจะมีทั้งส่วนที่จริง และจัดฉาก เพราะบางส่วนมันจัดการกันไม่ได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอก ฉะนั้นการจัดตั้งเวทีให้แสดงออก อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการปิดวอลลุ่ม ของผู้ที่ต้องการแสดงออก เพราะถึงจะปิดสกัด แต่ที่สุดแล้ว แนวคิดมันยังคงค้างอยู่อย่างแน่นอน
สิ่งที่ต้องตระหนักนับจากนี้คงไม่ใช่ปัญหาทางการเมือง หรือเสียงนักศึกษาผู้เห็นต่างเพียงอย่างเดียว แต่เสียงงของคนส่วนใหญ่ หรือประชาชน ชาวไร่ ชาวสวน ผู้ที่ไม่เคยมีปากมีเสียง วันนี้ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆ คงจะได้ยินว่ามีการเริ่มบ่นกันพึมพำในลำคอ ทั้งเรื่องข้าวยากหมากแพง การปฏิรูปประเทศเหมือนไม่มีทิศทางการเดินหน้าที่ชัดเจน คำสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน ขณะนี้ก็จวนจะรอไม่ไหวเสียแล้ว
ด้วยที่ 6 เดือน ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากขอให้ใจเย็นๆ อย่าออกมาต่อต้านคสช. แม้แต่เรื่องปัญหาปากท้อง ยังต้องกระมิดระเมี้ยน
วันนี้เสียงบ่นอาจจะไม่ดัง แต่หลังจากนี้อาจดังขึ้นจนกลายเป็นอีหรอบเดิม มีคนออกมาทั่วท้องถนน นี่สิถึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตระหนัก และรับฟัง นำไปแก้ปัญหาได้จริง อย่าให้ประชาชน ต้องเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และรัฐบาลทหาร ว่าอ่อนในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ แล้วตอนนั้นจะเอาไม่อยู่ ก็คงต้องตัวใครตัวมัน
หรือจะใช้บริการกฏอัยการศึก จะกระชับพื้นที่ กระทั่งความเดือดร้อนจากปากท้องของประชาชน ถึงตอนนั้นเรื่องมันจะลามปามมากกว่า 3 นิ้ว เพราะมันจะขยายออกหลายวา หลายเมตร
**ปิดสกัดด่วน ถ้าอยากจะอยู่ครบ 1 ปี
แต่ปัญหาหลายอย่างที่หมักหมม โดยเฉพาะราคายางพารา ก็รอเพียงเวลาปะทุเช่นเดียวกัน ไม่นับเรื่องราคาข้าวตกต่ำ เศรษฐกิจฝืด ปัญหาเรื่องการทุจริตที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ออกมาติติง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะนิ่งนอนใจไม่ได้เลย กับสารพัดปัญหาที่รอการสะสางอย่างเป็นระบบ ขณะที่ปัญหาทางการเมืองที่กดทับไว้ชั่วระยะ 6 เดือน ที่คสช.เข้ามาอยู่ในอำนาจ วันนี้มีอาการออกมาให้เห็นแบบไฟลามทุ่ง
จึงต้องสะกัดเพลิงด้วยการเสนอให้มีการเปิดเวทีรับฟังความเห็นจากบรรดานักศึกษา โดยมอบหมายให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ และสถาบันพระปกเกล้า ไปจัดเวทีให้ได้แสดงออกในสิ่งที่อัดอั้น
**การเสนอให้มีการจัดเวทีรับฟังความเห็นครั้งนี้ เป็นแค่ "ละครเวทีปาหี่" ไปวันๆ หรือเป็นสิ่งสะท้อนเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ ที่ต้องการฟังเสียงเล็กๆ ของประชาชน นิสิตนักศึกษา เพื่อนำมาขัดเกลานำไปสู่การปฏิรูป ?
ถ้าดูเจตนาคงเห็นไม่ชัดเจนถึงความจริงใจในการจะเปิดเวที เพื่อรับความเห็นของประชาชน เพราะการเปิดเวทีรับฟังยังคงอยู่ใต้ปลายปืนสะกดข่ม
หนึ่งในเหตุผลสำคัญนั่นก็คือ การคงกฎอัยการศึก แม้จะบอกว่าสถานการณ์ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย จึงยังเป็นกฎหมายที่จำกัดจำเขี่ยในการแสดงความคิดเห็น จึงกลายร่างออกมาเป็นแรงผลักให้มีปรากฏการณ์ต่อต้านรัฐบาล คสช. และบริวาร
เสียงที่สะท้อนออกมาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น 3 นิ้ว หรือใบปลิวข้อความต่างๆ การกระทำของกลุ่มเล็กๆ แต่สั่นสะเทือน จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องมีคำสั่งให้เปิดเวทีรับฟังความเห็น ซึ่งเป็นแค่เรื่อง “ปาหี่” เพราะเชื่อหรือว่าคนที่เห็นต่างกับรัฐบาล โดยเฉพาะนักศึกษา จะเข้าร่วมเวทีที่เครือข่าย คสช. กวักมือเรียกให้เข้ามาร่วมวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย
โดยเฉพาะท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า มันสายเกินเวลาที่มาต่อต้าน คสช. เพราะวันเวลามันล่วงมา 6 เดือนแล้ว ท่าทีเช่นนี้มันจึงดูเหมือนตลกร้าย ที่กระตุ้นอารมณ์พวกที่ออกมาต่อต้านพอสมควร จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาตลอดระยะกว่าครึ่งปี ที่คสช.เข้ามาบริหารประเทศ แทบจะไม่มีช่องว่าง ช่องโหว่ให้มีการแสดงออกในด้านที่เห็นต่าง พยายามที่จะเก็บเสียงต่อต้านไว้ใต้ท็อปบูต ที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้ผล
ต้องยอมรับว่า นักศึกษาเป็นเสียงบริสุทธิ์ที่อยากจะสะท้อน ต้องการแสดงออกแบบเฮ้วๆ ตามวัย กล้าคิด กล้าแสดงออก ห่าม นี่เป็นคุณสมบัติของวัยว้าวุ่น การที่จะให้เข้ามาอยู่ในระบบภายใต้เครือข่าย คสช. จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเดินตาม การสั่งตั้งเวที จึงอาจเป็นเพียงการแก้เก้อ แสดงถึงการเปิดกว้างทางประชาธิปไตย ต้องการฟังเสียงที่เห็นต่าง แนวคิดอาจจะดี แต่ช่วงเวลามันเลยมาไกลเสียแล้ว
**ตอนอยากพูดกลับห้าม แล้วจะมาเรียกไปเข้าค่ายอบรม คิดแล้วมันเปลืองค่ากาแฟ
ยิ่งท่าทีของพี่นายกฯ อย่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยแล้ว ใครจะอยากมาร่วมเวที ถ้าไม่มีถูกบังคับ ดังนั้นคงต้องประเมินกันให้ดี ถ้าจะมีการเปิดเวทีจริงจัง หยั่งเสียงดูว่า คนที่มาของแท้ หรือของปลอม หรือเกณฑ์มาไม่ให้หน้าแหกเท่านั้น
เพราะที่ผ่านมามันมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ฉากจากหนังฮังเกอร์เกมส์ ที่หลุดออกมาสู่ชีวิตจริงต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จนเป็นเรื่องฮือฮานั้น มีเสียงลือๆ กันว่า เพราะมันมาจากเรื่องการเหยียบเล็บขบเหลี่ยมกันของผู้มีอำนาจ ระหว่างอำนาจเก่า อำนาจใหม่ ที่ไม่พอใจการจัดโครงสร้างอำนาจใหม่ ทั้งคณะรัฐมนตรี สนช. สปช. จึงมีเกมออกมากระตุกหนวดกัน ส่วนกลุ่มสีทางการเมือง กลับอยู่ในที่ตั้งตามคำสั่งคสช.อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ถ้าเสียงอื้ออึงไม่ชัดเจน ก็ลองมองดูทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ที่เพิ่งตั้งคณะที่ปรึกษานายกฯ มาเป็นทีมงานขึ้นมาใหม่หมาดโดยมีหัวเรือใหญ่อย่าง“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” มาดูการดำเนินนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่กำลังน่าเป็นห่วง ซึ่งเรื่องเศรษฐกิจมี "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" รองนายกฯ คุมด้านเศรษฐกิจ อย่างนี้ทับเส้นสายกันหรือไม่
**เพราะกระแสว่า “หม่อมอุ๋ย" ก็ไม่ค่อยจะปลื้ม "บิ๊กตู่" สักเท่าไร งานนี้เลยทำเอาเสื้อแดงนอนเกาพุงอยู่บนภูดู"พยัคฆ์" ขับเคี่ยวกัน
แต่ภายใต้ฉากการต่อต้าน "บิ๊กตู่" คงจะมีทั้งส่วนที่จริง และจัดฉาก เพราะบางส่วนมันจัดการกันไม่ได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอก ฉะนั้นการจัดตั้งเวทีให้แสดงออก อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการปิดวอลลุ่ม ของผู้ที่ต้องการแสดงออก เพราะถึงจะปิดสกัด แต่ที่สุดแล้ว แนวคิดมันยังคงค้างอยู่อย่างแน่นอน
สิ่งที่ต้องตระหนักนับจากนี้คงไม่ใช่ปัญหาทางการเมือง หรือเสียงนักศึกษาผู้เห็นต่างเพียงอย่างเดียว แต่เสียงงของคนส่วนใหญ่ หรือประชาชน ชาวไร่ ชาวสวน ผู้ที่ไม่เคยมีปากมีเสียง วันนี้ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆ คงจะได้ยินว่ามีการเริ่มบ่นกันพึมพำในลำคอ ทั้งเรื่องข้าวยากหมากแพง การปฏิรูปประเทศเหมือนไม่มีทิศทางการเดินหน้าที่ชัดเจน คำสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน ขณะนี้ก็จวนจะรอไม่ไหวเสียแล้ว
ด้วยที่ 6 เดือน ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากขอให้ใจเย็นๆ อย่าออกมาต่อต้านคสช. แม้แต่เรื่องปัญหาปากท้อง ยังต้องกระมิดระเมี้ยน
วันนี้เสียงบ่นอาจจะไม่ดัง แต่หลังจากนี้อาจดังขึ้นจนกลายเป็นอีหรอบเดิม มีคนออกมาทั่วท้องถนน นี่สิถึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตระหนัก และรับฟัง นำไปแก้ปัญหาได้จริง อย่าให้ประชาชน ต้องเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และรัฐบาลทหาร ว่าอ่อนในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ แล้วตอนนั้นจะเอาไม่อยู่ ก็คงต้องตัวใครตัวมัน
หรือจะใช้บริการกฏอัยการศึก จะกระชับพื้นที่ กระทั่งความเดือดร้อนจากปากท้องของประชาชน ถึงตอนนั้นเรื่องมันจะลามปามมากกว่า 3 นิ้ว เพราะมันจะขยายออกหลายวา หลายเมตร
**ปิดสกัดด่วน ถ้าอยากจะอยู่ครบ 1 ปี