ASTVผู้จัดการรายวัน-"ประยุทธ์"ยันรัฐบาลจะใช้หลักประชาธิปไตยบริหารประเทศให้มากที่สุด ถามวันนี้เผด็จการตรงไหน ไม่เคยเอาทรัพย์สิน ผลประโยชน์มาเป็นของตัวเอง พร้อมย้อนถามเผด็จการรัฐสภาคืออะไร "ประวิตร" เตรียมเชิญ นศ.ทุกสถาบันร่วมเวทีแสดงความเห็นปฏิรูป ไม่ใช่มาด่า คสช. ขณะที่ตำรวจรวบ 2 มือโปรยใบปลิวต้านรัฐประหารที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้ว พบเป็นแนวร่วม นปช. ส่วนที่เชียงใหม่ยังแรง พบพ่นสีต้าน คสช. ทั่วมหาวิทยาลัย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึงกระแสการต่อต้านรัฐประหาร พร้อมทั้งขยายความถึงกรณีที่เคยพูดว่ารัฐบาลนี้เป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลที่มาตามปกติ ว่า ที่พูดแบบนั้น ไม่ได้อึดอัดใจ แต่เห็นว่าทุกคนเรียกร้องประชาธิปไตย เราพยายามใช้หลักการประชาธิปไตยให้มากที่สุด การดำเนินการให้มีส่วนร่วม แต่ต้องอยู่ในขอบเขตบ้าง และต้องยอมรับว่า การเป็นประชาธิปไตย ต้องมีกติกา
"ที่ผ่านมา มีประชาธิปไตยเต็มใบ มีเสรีภาพ อยากจะทำอะไรก็ทำ แล้วเกิดความวุ่นวาย เห็นไหมล่ะ ผมไม่ได้ปฏิเสธนะ แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีก ในวันหน้า เมื่อผมไม่อยู่แล้ว ก็ทำกันไป แต่วันนี้ ผมต้องขอกติกาตรงนี้ เพื่อผมจะแก้ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกในวันหน้า" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่าวันนี้ นายกฯ คิดว่าตนเองไม่ได้เผด็จการเกินไป ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เผด็จการตรงไหน คำว่า เผด็จการ คือ การยึดอำนาจ ผลประโยชน์การค้า การลงทุน หยุดหมด เอามาเป็นสินทรัพย์ของตัวเอง ของผู้นำ ของประเทศ ผมทำอะไรสักอันหรือยัง มีอะไรเป็นของผมสักชิ้นไหม สลึงนึงได้สักอย่างไหม และผมต้องมาหงุดหงิดบ้าง อารมณ์เสียบ้าง ต้องตอบคำถามบางทีที่มันไม่จำเป็น แต่ก็ต้องตอบ แต่ผมทำเพื่ออะไร เพื่อใคร ดูเจตนาผมหน่อย แล้วจะมาบอกอย่างนี้ อย่างนั้น มันไม่ใช่ ผม ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้น ก็ไปว่ามา ส่วนการที่นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาพูด ถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลนี้ ถ้ามีก็ไปหามา ทุจริตตรงไหน
เมื่อถามว่า ใจของนายกฯ อยากให้การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. เป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของประเทศไทยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่าไปสนใจว่าจะรัฐประหาร ขอให้สนใจรัฐบาลจะทำอย่างไร ที่ประเทศชาติจะไม่มีความวุ่นวาย มันก็ไม่มีใครหาเหตุที่จะเข้ามาแก้ปัญหาหรือทำอย่างอื่นได้ เข้าใจไหม ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็เข้ามาได้ แต่เข้ามาแล้ว ต้องทำให้มีธรรมมาภิบาล ไม่มีทุจริต โปร่งใส และเห็นว่าเผด็จการ มีสอง อย่าง คือ ยังมีเผด็จการรัฐสภา ไปทบทวนดูว่า เผด็จการรัฐสภา คืออะไร ไปหามา
เมื่อถามว่า กฎหมายใหม่จะไม่มีเผด็จการรัฐสภา ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไปทำบุญได้แล้ว
** เปิดเวทีให้ปฏิรูปไม่ใช่มาด่าคสช.
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะ รมว.กลาโหม และรองหัวหน้าคสช. กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ สามารถจับกุมตัวผู้ที่โปรยใบปลิวโจมตีการทำงานของรัฐบาล และคสช.ได้แล้วว่า ได้รับรายงานแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสอบสวน และสอบถามที่มาที่ไปว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเคยบอกแล้วว่า ผู้ที่กระทำนั้นมีไม่กี่คน
สำหรับกรณีที่รัฐบาลและ คสช. จะเปิดเวทีให้นักศึกษาได้แสดงคิดเห็นนั้น รัฐบาลได้เปิดเวทีให้กับนักศึกษา แต่ไม่สามารถที่จะบังคับนักศึกษากลุ่มใด หรือคนใดมาเข้าร่วมได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ทางรัฐบาล และคสช.จะเปิดเวทีให้นักศึกษาและนักวิชาการที่ต้องการแสดงออกทางความคิดเข้ามาร่วมในเวทีดังกล่าวนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปต่างๆ ส่วนนักศึกษาที่ไม่เข้ามาร่วมนั้น ตนก็ไม่สามารถบังคับได้ ขอฝากสื่อมวลชนไปบอกกับนักศึกษากลุ่มนั้นๆ ให้เข้ามาร่วมเวทีกันให้มากๆ
ส่วนที่มีความกังวลว่าหากนักศึกษามากันเป็นจำนวนมาก จะเกิดความวุ่นวาย ตนยังไม่เห็นว่าจะเกิดความวุ่นวาย เพราะหากมาก็ต้องมาแสดงออกทางความคิดว่าตนเองต้องการการปฏิรูปอย่างไร ก็ขอให้พูดอยู่ในกรอบ ตนถามว่าจะเกิดความวุ่นวายได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ขอเชิญนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นในเวทีดังกล่าวด้วย แต่ถ้ามาตำหนิการทำงานของรัฐบาลและ คสช. รวมถึงเรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาพูดอีก เนื่องจากไม่ใช่เรื่องการปฏิรูป
** รวบ 2 แนวร่วมนปช.มือโปรยใบปลิว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีมีผู้ไม่หวังดี โปรยใบปลิวกระดาษเอ 4 โจมตี คสช. ข้อความยกเลิกอัยการศึก เสรีภาพ FREEDOM หยุดคุกคามประชาชน อำนาจเป็นของประชาชน หยุดข่มขู่สื่อมวลชน รอบบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. และที่หน้าร้านอาหารศรแดง เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. วันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา
ต่อมาเวลา 23.00 น.วันที่ 25 พ.ย. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พ.อ.คชาชาต บุญดี ผบ.ป.1 รอ. นำกำลังทหารจากกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1รอ.) ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก เข้าควบคุมตัว นายสิทธิทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา อายุ 54 ปี อาชีพสถาปนิก และนายวชิร ทองสุข หรือบอย อายุ 38 ปี ชาว จ.เพชรบุรี หลังสืบทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโปรยใบปลิวดังกล่าว
ทั้งนี้ ได้ควบคุมตัวนายสิทธิทัศน์ได้ที่บ้านเลขที่ 18 ซอยเพชรเกษม 48 แยก 16-1 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กทม. พร้อมของกลาง อุปกรณ์การพิมพ์ใบปลิว ส่วนนายวชิร ควบคุมตัวได้จาก จ.เพชรบุรี ตรวจยึดรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ 100 สีน้ำเงิน ทะเบียน กมร 4 นครปฐม ที่ใช้โปรยใบปลิวได้ภายหลัง จากนั้นได้ควบคุมตัวทั้ง 2 คนไว้ภายในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อทำการสอบสวน
ทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพ โดยนายสิทธิทัศน์ ยอมรับว่า เริ่มเขียนใบปลิวโจมตี คสช. ตั้งแต่เวลา 19.00 น. วันที่ 22 พ.ย. ด้วยตัวเอง ก่อนจะทำการถ่ายเอกสารไว้รวมแล้วกว่า 7,000 แผ่น จนกระทั่งเวลา 03.00 น. วันที่ 23 พ.ย. ก็นัดนายวชิร คนขับรถของตัวเอง ให้มาเจอกันที่ซอยสำราญราษฎร์ ก่อนส่งถุงใส่ใบปลิวให้นายวชิร เพื่อขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว โดยไม่ติดป้ายทะเบียน นำไปโปรยบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ส่วนสาเหตุเนื่องจากตนเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มาก่อน ตั้งแต่ปี 2553 จากนั้นเมื่อมีการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ก็ได้มาสังเกตการณ์ด้วย จนกระทั่ง คสช. ยึดอำนาจ ตนรู้สึกว่าถูกปิดกั้นสิทธิ จึงอยากแสดงออกอะไรบางอย่าง และไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง
พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.สำราญราษฎร์ กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. ควบคุมตัวตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้แล้ว ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ทหารนำตัวไปปรับทัศนคติ โดยในส่วนของ สน.สำราญราษฎร์ ได้สั่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จากศาลทหาร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารส่งตัวกลับมาให้ทางสน.สำราญราษฎร์ ก็จะนำตัวส่งฝากขังต่อไป
**เคยแอบอ้างเป็นญาติ"หญิงอ้อ"
ทั้งนี้ นายสิทธิ์ทัศน์ ในอดีต เคยถูกร้องเรียนจากบริษัทรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอความเป็นธรรม จากการถูกนายทหารและนักการเมืองร่วมกันฉ้อโกงและข่มขู่ กรณีการอนุมัติให้รื้อถอนพื้นที่ทหารเพื่อสร้างเป็นอาคารรัฐสภาใหม่ โดยผู้ร้องเรียนระบุว่า เมื่อ ก.ค.2555 นายสิทธิ์ทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา ได้อ้างตัวเป็นผู้บริหารพรรคเพื่อไทย และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พร้อมกับติดบัตรแสดงตนว่า เป็นคณะทำงานของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เสนองานรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน 4 รอ.) และ ขสทบ.ที่ตั้งอยู่ถนนสามเสน เขตดุสิต เพื่อก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ให้แก่บริษัท โดยอ้างว่าได้งานจากนายทหารระดับนายพล ตำแหน่งที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์
ต่อมา นายสิทธิ์ทัศน์ ได้พาทีมงานไปพบกับ พ.ท.ชินสรณ์ เรืองศุข ผบ.ม.พัน.4 รอ. ที่ระบุว่า มีอำนาจในการมอบงานรื้อถอน และนำเอกสารอนุมัติการรื้อถอนของทางราชการมาแสดงต่อบริษัท พร้อมออกเอกสารราชการให้บริษัทเข้าทำการรื้อถอนได้ โดยไม่ต้องมีการประมูล แต่มีการเรียกรับเงินและค่าของขวัญราคาแพง จำนวน 4 ล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อจ่ายให้กับผู้ใหญ่ที่ให้งานมา แต่เมื่อถึงกำหนดเริ่มงาน พ.ท.ชินสรณ์ได้ขอเลื่อนถึง 2 ครั้ง จากนั้นได้ยกเลิกสัญญา และขึ้นป้ายให้บริษัทอื่นรื้อถอนแทน พร้อมปฏิเสธให้บริษัทเข้าพบ และโทรศัพท์พูดจาข่มขู่ให้หยุดดำเนินการใดๆ มิฉะนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย จึงได้ไปร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการต่างๆ
**พ่นสีต้านรัฐประหารทั่วม.เชียงใหม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงเช้ามืดวานนี้ (26พ.ย.) ได้มีมือมืดนำสีสเปรย์มาพ่นเป็นข้อความว่า "No coup" หรือการต่อต้านรัฐประหาร บริเวณพื้นถนน หน้าตึกนิติศาสตร์ใหม่ และถนนหน้าตึกคณะสังคมศาสตร์ รวมถึงบริเวณถนนระหว่างหน้าอาคารคณะเกษตร-คณะวิจิตรศิลป์ ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จ.เชียงใหม่
หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ได้นำทินเนอร์มาลบล้างสีทั้งหมด นอกจากนั้นยังพบว่า มีการปล่อยข่าวทางโลกออนไลน์ว่า จะมีกลุ่มนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มช. จัดกิจกรรมราดน้ำมันเผาตัวเอง เพื่อต่อต้านการทำรัฐประหาร และการเสาวนาเรื่อง "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" ภายในวันเดียวกันนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบตัวผู้กระทำการดังกล่าว
ต่อมา พล.ต.ต.มนตรี สัมบุณณานนท์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมด้วย ร.ศ.ดร.ธนารักษ์ สุวรรณประกิต รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา ม.เชียงใหม่ พ.อ.โภคา จอกลอย หัวหน้ากองข่าว มทบ.33 ได้มาร่วมประชุมหารือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจสอบเรื่องบุคคลที่พ่นสีว่าเป็นกลุ่มใด มีความประสงค์อะไร และจะเชิญตัวมาอบรมพูดคุยปรับทัศนคติต่อไป ส่วนเรื่องการจัดกิจกรรมใดๆ ของนักศึกษาหรือคณาจารย์ จะไม่มีการสั่งระงับ สามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขต หากเลยขอบเขตจะมีการดำเนินการตามกฏอัยการศึกทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหาร แจ้งว่าพบกระดาษขนาดเอ 4 พิมพ์ข้อความว่า "6 เดือนผ่านไป สุกกันทั่วหน้า สงบราบคาบทั้งแผ่นดิน ไม่เอารัฐประหาร" และมีรูปชูสามนิ้ว 3 แผ่น ติดอยู่กับป้ายริมปิงกำแพงเพชร ฝั่งตรงข้ามกับสวนสิริจิต ถนนสิริจิต ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ซึ่งตำรวจสันติบาลตรวจสอบตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันที่ 22 พ.ย. โดยกำลังสืบสวนหาตัวผู้กระทำอยู่
**ม.เที่ยงคืนจี้เลิกอัยการศึก-คำสั่งคสช.
ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นำโดยนายสมชาย ปรีชาศิลปกุล นายอรรถจักร สัตยานุรักษ์ นายวรวิทย์ เจริญเลิศ และนางสาวนัทมน คงเจริญ ร่วมอ่านแถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ร่วมกันหยุดยั้งการคุกคามเสรีภาพประชาชน โดยระบุว่า ปัจจุบันมีการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก และคำสั่งคสช. รวมทั้งกลไกรัฐคุกคามประชาชนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง จึงขอเรียกร้องต่อสังคมร่วมกันแสดงความคิดเห็น และร่วมกันกดดันเพื่อให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกและคำสั่งของคสช. ที่ปิดกั้นและคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน
**แก๊ง"ขอนแก่นโมเดล"ขึ้นศาล
วันเดียวกันนี้ ที่ศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น ผู้ต้องหาขอนแก่นโมเดล 26 คน คดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557 และวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลทหารได้สืบพยานนัดแรก และแจ้ง 9 ข้อหาหนัก โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาได้เดินทางถึงศาลทหารเพื่อนัดพร้อมคดี หรือประชุมพิจารณาคดีอาญา และกำหนดประเด็นในคดี โดยฝ่ายผู้ต้องหามีนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) และญาติพี่น้องเดินทางมารอให้กำลังใจ
นายวิญญัติ กล่าวว่า วันนี้ศาลนัดพร้อมคดี หลังทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดใน 2 ประเด็น คือ 1.อำนาจในการพิจาณาคดี ซึ่งจำเลยเห็นว่าศาลทหารขอนแก่น ไม่มีอำนาจพิจาณาคดีความผิดอาญา ควรเป็นอำนาจของศาลยุติธรรม 2.ขอให้ศาลทหารส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด จากกรณีประกาศ คสช.ฉบับที่ 37 และ 38 และบางฉบับที่อาจมีเนื้อความขัดหรือแย้งต่อ มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว
ทั้งนี้ ในส่วนเนื้อหาคดีตามข้อกล่าวหาร่วมกันวางแผนการก่อการร้ายที่ยืนยันมาเสมอนั้น ในฐานะที่เป็นทนายความมองว่า การจะเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่จะเป็นหรือดูองค์ประกอบของมาตรา 135/1 เท่านั้น ต้องดูพฤติการณ์ ความเป็นอยู่ และระยะเวลาปฏิบัติงานขององค์กรว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายหรือไม่ จะตีความตามตัวอักษรไม่ได้เช่นกัน โดยทั้ง 9 ข้อหาหนัก ไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องหา ดังนั้น จะเดินหน้าต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะบุคคลที่ถูกจับในคดีนี้ไม่ได้เป็นองค์กรการก่อการร้าย และการแสดงออกของกลุ่มผู้ต้องหาที่ผ่านมา เป็นการแสดงออกในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
"แม้ว่าขณะนี้ผู้ต้องหาทั้ง 26 คน ได้ประกันตัวแล้ว 7 คน เนื่องจากมีโรคเบาหวาน ความดัน และภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ แต่ผู้ต้องหาทั้งหมด ยังตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ยากลำบาก"
อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีคำสั่งให้อัยการทหาร ทำคำชี้แจงคัดค้านภายใน 15 วัน หลังจากนั้นจะนัดพร้อมคดีผู้ต้องหาและทนายความอีกครั้ง ซึ่งยังไม่กำหนดเวลาที่ชัดเจน โดยจะมีหมายแจ้งไปยังผู้ต้องหาและทนายความต่อไป
**กำชับเหล่าทัพหนุนงานสปช.
พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมสภากลาโหม ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า กระทรวงกลาโหมได้กำหนดจัดทำโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี โดยการดำเนินงานและความรับผิดชอบของหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ แบ่งเป็น 3 กลุ่มงาน จะดำเนินการทั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่ และตลอดปี 2558 ดังนี้
1.กลุ่มงานสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จำนวน 19 แผนงาน หรือโครงการ อาทิ การเพิ่มมาตรการของด่านตรวจ จุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังป้องกันชายแดน และการก่อสร้างและปรับปรุงถนนที่ชำรุดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างและรถโดยสารขนาดเล็ก (รถตู้) ในพื้นที่กทม. โครงการ “คืนคนดีสู่สังคม” ในศูนย์วิวัฒน์พลเมืองของกองทัพบก การจัดตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติเพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ชายฝั่งทะเล และจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเล
2.กลุ่มงานช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาอาชีพจำนวน 22 แผนงาน หรือโครงการ อาทิ งานก่อสร้างเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ชนบท งานจัดหาน้ำกินน้ำใช้ การเปิดศูนย์การเรียนรู้ในหน่วยทหาร การมอบผ้าห่มกันหนาวการส่งเสริมอาชีพประชาชน การจัดตั้งหมู่บ้านตัวอย่างตามรอยเท้าพ่อ 30 หมู่บ้าน การจัดชุดบริการทางการแพทย์เคลื่อนที่เข้าพื้นที่ชนบทและห่างไกล
3.กลุ่มงานการให้บริการด้านต่างๆ จำนวน 9 แผนงานหรือโครงการ อาทิ การตั้งจุดพักรถและให้บริการประชาชน และการเปิดแหล่งท่องเที่ยวหรือพิพิธภัณฑ์ของทหารโดยไม่คิดค่าบริการ และการจัดแสดงดนตรีเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับประชาชนในห่วงเทศกาลปีใหม่
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการประชุม พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำกับหน่วยขึ้นตรงกลาโหมและเหล่าทัพให้มีความพร้อมในการปฏิรูป และตระหนักถึงความสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร เตรียมการช่วยเหลือประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ขอให้ติดตามสถานการณ์ รัฐบาลตั้งใจเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเพื่อลดความขัดแย้ง กองทัพต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาลดความขัดแย้งของคนในชาติ ผลักดันให้เกิดการปฏิรูป สนับสนุนงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึงกระแสการต่อต้านรัฐประหาร พร้อมทั้งขยายความถึงกรณีที่เคยพูดว่ารัฐบาลนี้เป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลที่มาตามปกติ ว่า ที่พูดแบบนั้น ไม่ได้อึดอัดใจ แต่เห็นว่าทุกคนเรียกร้องประชาธิปไตย เราพยายามใช้หลักการประชาธิปไตยให้มากที่สุด การดำเนินการให้มีส่วนร่วม แต่ต้องอยู่ในขอบเขตบ้าง และต้องยอมรับว่า การเป็นประชาธิปไตย ต้องมีกติกา
"ที่ผ่านมา มีประชาธิปไตยเต็มใบ มีเสรีภาพ อยากจะทำอะไรก็ทำ แล้วเกิดความวุ่นวาย เห็นไหมล่ะ ผมไม่ได้ปฏิเสธนะ แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีก ในวันหน้า เมื่อผมไม่อยู่แล้ว ก็ทำกันไป แต่วันนี้ ผมต้องขอกติกาตรงนี้ เพื่อผมจะแก้ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกในวันหน้า" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่าวันนี้ นายกฯ คิดว่าตนเองไม่ได้เผด็จการเกินไป ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เผด็จการตรงไหน คำว่า เผด็จการ คือ การยึดอำนาจ ผลประโยชน์การค้า การลงทุน หยุดหมด เอามาเป็นสินทรัพย์ของตัวเอง ของผู้นำ ของประเทศ ผมทำอะไรสักอันหรือยัง มีอะไรเป็นของผมสักชิ้นไหม สลึงนึงได้สักอย่างไหม และผมต้องมาหงุดหงิดบ้าง อารมณ์เสียบ้าง ต้องตอบคำถามบางทีที่มันไม่จำเป็น แต่ก็ต้องตอบ แต่ผมทำเพื่ออะไร เพื่อใคร ดูเจตนาผมหน่อย แล้วจะมาบอกอย่างนี้ อย่างนั้น มันไม่ใช่ ผม ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้น ก็ไปว่ามา ส่วนการที่นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาพูด ถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลนี้ ถ้ามีก็ไปหามา ทุจริตตรงไหน
เมื่อถามว่า ใจของนายกฯ อยากให้การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. เป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของประเทศไทยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่าไปสนใจว่าจะรัฐประหาร ขอให้สนใจรัฐบาลจะทำอย่างไร ที่ประเทศชาติจะไม่มีความวุ่นวาย มันก็ไม่มีใครหาเหตุที่จะเข้ามาแก้ปัญหาหรือทำอย่างอื่นได้ เข้าใจไหม ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็เข้ามาได้ แต่เข้ามาแล้ว ต้องทำให้มีธรรมมาภิบาล ไม่มีทุจริต โปร่งใส และเห็นว่าเผด็จการ มีสอง อย่าง คือ ยังมีเผด็จการรัฐสภา ไปทบทวนดูว่า เผด็จการรัฐสภา คืออะไร ไปหามา
เมื่อถามว่า กฎหมายใหม่จะไม่มีเผด็จการรัฐสภา ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไปทำบุญได้แล้ว
** เปิดเวทีให้ปฏิรูปไม่ใช่มาด่าคสช.
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะ รมว.กลาโหม และรองหัวหน้าคสช. กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ สามารถจับกุมตัวผู้ที่โปรยใบปลิวโจมตีการทำงานของรัฐบาล และคสช.ได้แล้วว่า ได้รับรายงานแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสอบสวน และสอบถามที่มาที่ไปว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเคยบอกแล้วว่า ผู้ที่กระทำนั้นมีไม่กี่คน
สำหรับกรณีที่รัฐบาลและ คสช. จะเปิดเวทีให้นักศึกษาได้แสดงคิดเห็นนั้น รัฐบาลได้เปิดเวทีให้กับนักศึกษา แต่ไม่สามารถที่จะบังคับนักศึกษากลุ่มใด หรือคนใดมาเข้าร่วมได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ทางรัฐบาล และคสช.จะเปิดเวทีให้นักศึกษาและนักวิชาการที่ต้องการแสดงออกทางความคิดเข้ามาร่วมในเวทีดังกล่าวนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปต่างๆ ส่วนนักศึกษาที่ไม่เข้ามาร่วมนั้น ตนก็ไม่สามารถบังคับได้ ขอฝากสื่อมวลชนไปบอกกับนักศึกษากลุ่มนั้นๆ ให้เข้ามาร่วมเวทีกันให้มากๆ
ส่วนที่มีความกังวลว่าหากนักศึกษามากันเป็นจำนวนมาก จะเกิดความวุ่นวาย ตนยังไม่เห็นว่าจะเกิดความวุ่นวาย เพราะหากมาก็ต้องมาแสดงออกทางความคิดว่าตนเองต้องการการปฏิรูปอย่างไร ก็ขอให้พูดอยู่ในกรอบ ตนถามว่าจะเกิดความวุ่นวายได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ขอเชิญนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นในเวทีดังกล่าวด้วย แต่ถ้ามาตำหนิการทำงานของรัฐบาลและ คสช. รวมถึงเรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาพูดอีก เนื่องจากไม่ใช่เรื่องการปฏิรูป
** รวบ 2 แนวร่วมนปช.มือโปรยใบปลิว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีมีผู้ไม่หวังดี โปรยใบปลิวกระดาษเอ 4 โจมตี คสช. ข้อความยกเลิกอัยการศึก เสรีภาพ FREEDOM หยุดคุกคามประชาชน อำนาจเป็นของประชาชน หยุดข่มขู่สื่อมวลชน รอบบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. และที่หน้าร้านอาหารศรแดง เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. วันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา
ต่อมาเวลา 23.00 น.วันที่ 25 พ.ย. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พ.อ.คชาชาต บุญดี ผบ.ป.1 รอ. นำกำลังทหารจากกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1รอ.) ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก เข้าควบคุมตัว นายสิทธิทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา อายุ 54 ปี อาชีพสถาปนิก และนายวชิร ทองสุข หรือบอย อายุ 38 ปี ชาว จ.เพชรบุรี หลังสืบทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโปรยใบปลิวดังกล่าว
ทั้งนี้ ได้ควบคุมตัวนายสิทธิทัศน์ได้ที่บ้านเลขที่ 18 ซอยเพชรเกษม 48 แยก 16-1 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กทม. พร้อมของกลาง อุปกรณ์การพิมพ์ใบปลิว ส่วนนายวชิร ควบคุมตัวได้จาก จ.เพชรบุรี ตรวจยึดรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ 100 สีน้ำเงิน ทะเบียน กมร 4 นครปฐม ที่ใช้โปรยใบปลิวได้ภายหลัง จากนั้นได้ควบคุมตัวทั้ง 2 คนไว้ภายในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อทำการสอบสวน
ทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพ โดยนายสิทธิทัศน์ ยอมรับว่า เริ่มเขียนใบปลิวโจมตี คสช. ตั้งแต่เวลา 19.00 น. วันที่ 22 พ.ย. ด้วยตัวเอง ก่อนจะทำการถ่ายเอกสารไว้รวมแล้วกว่า 7,000 แผ่น จนกระทั่งเวลา 03.00 น. วันที่ 23 พ.ย. ก็นัดนายวชิร คนขับรถของตัวเอง ให้มาเจอกันที่ซอยสำราญราษฎร์ ก่อนส่งถุงใส่ใบปลิวให้นายวชิร เพื่อขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว โดยไม่ติดป้ายทะเบียน นำไปโปรยบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ส่วนสาเหตุเนื่องจากตนเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มาก่อน ตั้งแต่ปี 2553 จากนั้นเมื่อมีการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ก็ได้มาสังเกตการณ์ด้วย จนกระทั่ง คสช. ยึดอำนาจ ตนรู้สึกว่าถูกปิดกั้นสิทธิ จึงอยากแสดงออกอะไรบางอย่าง และไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง
พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.สำราญราษฎร์ กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. ควบคุมตัวตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้แล้ว ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ทหารนำตัวไปปรับทัศนคติ โดยในส่วนของ สน.สำราญราษฎร์ ได้สั่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จากศาลทหาร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารส่งตัวกลับมาให้ทางสน.สำราญราษฎร์ ก็จะนำตัวส่งฝากขังต่อไป
**เคยแอบอ้างเป็นญาติ"หญิงอ้อ"
ทั้งนี้ นายสิทธิ์ทัศน์ ในอดีต เคยถูกร้องเรียนจากบริษัทรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอความเป็นธรรม จากการถูกนายทหารและนักการเมืองร่วมกันฉ้อโกงและข่มขู่ กรณีการอนุมัติให้รื้อถอนพื้นที่ทหารเพื่อสร้างเป็นอาคารรัฐสภาใหม่ โดยผู้ร้องเรียนระบุว่า เมื่อ ก.ค.2555 นายสิทธิ์ทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา ได้อ้างตัวเป็นผู้บริหารพรรคเพื่อไทย และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พร้อมกับติดบัตรแสดงตนว่า เป็นคณะทำงานของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เสนองานรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน 4 รอ.) และ ขสทบ.ที่ตั้งอยู่ถนนสามเสน เขตดุสิต เพื่อก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ให้แก่บริษัท โดยอ้างว่าได้งานจากนายทหารระดับนายพล ตำแหน่งที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์
ต่อมา นายสิทธิ์ทัศน์ ได้พาทีมงานไปพบกับ พ.ท.ชินสรณ์ เรืองศุข ผบ.ม.พัน.4 รอ. ที่ระบุว่า มีอำนาจในการมอบงานรื้อถอน และนำเอกสารอนุมัติการรื้อถอนของทางราชการมาแสดงต่อบริษัท พร้อมออกเอกสารราชการให้บริษัทเข้าทำการรื้อถอนได้ โดยไม่ต้องมีการประมูล แต่มีการเรียกรับเงินและค่าของขวัญราคาแพง จำนวน 4 ล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อจ่ายให้กับผู้ใหญ่ที่ให้งานมา แต่เมื่อถึงกำหนดเริ่มงาน พ.ท.ชินสรณ์ได้ขอเลื่อนถึง 2 ครั้ง จากนั้นได้ยกเลิกสัญญา และขึ้นป้ายให้บริษัทอื่นรื้อถอนแทน พร้อมปฏิเสธให้บริษัทเข้าพบ และโทรศัพท์พูดจาข่มขู่ให้หยุดดำเนินการใดๆ มิฉะนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย จึงได้ไปร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการต่างๆ
**พ่นสีต้านรัฐประหารทั่วม.เชียงใหม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงเช้ามืดวานนี้ (26พ.ย.) ได้มีมือมืดนำสีสเปรย์มาพ่นเป็นข้อความว่า "No coup" หรือการต่อต้านรัฐประหาร บริเวณพื้นถนน หน้าตึกนิติศาสตร์ใหม่ และถนนหน้าตึกคณะสังคมศาสตร์ รวมถึงบริเวณถนนระหว่างหน้าอาคารคณะเกษตร-คณะวิจิตรศิลป์ ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จ.เชียงใหม่
หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ได้นำทินเนอร์มาลบล้างสีทั้งหมด นอกจากนั้นยังพบว่า มีการปล่อยข่าวทางโลกออนไลน์ว่า จะมีกลุ่มนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มช. จัดกิจกรรมราดน้ำมันเผาตัวเอง เพื่อต่อต้านการทำรัฐประหาร และการเสาวนาเรื่อง "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" ภายในวันเดียวกันนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบตัวผู้กระทำการดังกล่าว
ต่อมา พล.ต.ต.มนตรี สัมบุณณานนท์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมด้วย ร.ศ.ดร.ธนารักษ์ สุวรรณประกิต รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา ม.เชียงใหม่ พ.อ.โภคา จอกลอย หัวหน้ากองข่าว มทบ.33 ได้มาร่วมประชุมหารือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจสอบเรื่องบุคคลที่พ่นสีว่าเป็นกลุ่มใด มีความประสงค์อะไร และจะเชิญตัวมาอบรมพูดคุยปรับทัศนคติต่อไป ส่วนเรื่องการจัดกิจกรรมใดๆ ของนักศึกษาหรือคณาจารย์ จะไม่มีการสั่งระงับ สามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขต หากเลยขอบเขตจะมีการดำเนินการตามกฏอัยการศึกทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหาร แจ้งว่าพบกระดาษขนาดเอ 4 พิมพ์ข้อความว่า "6 เดือนผ่านไป สุกกันทั่วหน้า สงบราบคาบทั้งแผ่นดิน ไม่เอารัฐประหาร" และมีรูปชูสามนิ้ว 3 แผ่น ติดอยู่กับป้ายริมปิงกำแพงเพชร ฝั่งตรงข้ามกับสวนสิริจิต ถนนสิริจิต ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ซึ่งตำรวจสันติบาลตรวจสอบตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันที่ 22 พ.ย. โดยกำลังสืบสวนหาตัวผู้กระทำอยู่
**ม.เที่ยงคืนจี้เลิกอัยการศึก-คำสั่งคสช.
ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นำโดยนายสมชาย ปรีชาศิลปกุล นายอรรถจักร สัตยานุรักษ์ นายวรวิทย์ เจริญเลิศ และนางสาวนัทมน คงเจริญ ร่วมอ่านแถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ร่วมกันหยุดยั้งการคุกคามเสรีภาพประชาชน โดยระบุว่า ปัจจุบันมีการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก และคำสั่งคสช. รวมทั้งกลไกรัฐคุกคามประชาชนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง จึงขอเรียกร้องต่อสังคมร่วมกันแสดงความคิดเห็น และร่วมกันกดดันเพื่อให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกและคำสั่งของคสช. ที่ปิดกั้นและคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน
**แก๊ง"ขอนแก่นโมเดล"ขึ้นศาล
วันเดียวกันนี้ ที่ศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น ผู้ต้องหาขอนแก่นโมเดล 26 คน คดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557 และวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลทหารได้สืบพยานนัดแรก และแจ้ง 9 ข้อหาหนัก โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาได้เดินทางถึงศาลทหารเพื่อนัดพร้อมคดี หรือประชุมพิจารณาคดีอาญา และกำหนดประเด็นในคดี โดยฝ่ายผู้ต้องหามีนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) และญาติพี่น้องเดินทางมารอให้กำลังใจ
นายวิญญัติ กล่าวว่า วันนี้ศาลนัดพร้อมคดี หลังทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดใน 2 ประเด็น คือ 1.อำนาจในการพิจาณาคดี ซึ่งจำเลยเห็นว่าศาลทหารขอนแก่น ไม่มีอำนาจพิจาณาคดีความผิดอาญา ควรเป็นอำนาจของศาลยุติธรรม 2.ขอให้ศาลทหารส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด จากกรณีประกาศ คสช.ฉบับที่ 37 และ 38 และบางฉบับที่อาจมีเนื้อความขัดหรือแย้งต่อ มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว
ทั้งนี้ ในส่วนเนื้อหาคดีตามข้อกล่าวหาร่วมกันวางแผนการก่อการร้ายที่ยืนยันมาเสมอนั้น ในฐานะที่เป็นทนายความมองว่า การจะเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่จะเป็นหรือดูองค์ประกอบของมาตรา 135/1 เท่านั้น ต้องดูพฤติการณ์ ความเป็นอยู่ และระยะเวลาปฏิบัติงานขององค์กรว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายหรือไม่ จะตีความตามตัวอักษรไม่ได้เช่นกัน โดยทั้ง 9 ข้อหาหนัก ไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องหา ดังนั้น จะเดินหน้าต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะบุคคลที่ถูกจับในคดีนี้ไม่ได้เป็นองค์กรการก่อการร้าย และการแสดงออกของกลุ่มผู้ต้องหาที่ผ่านมา เป็นการแสดงออกในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
"แม้ว่าขณะนี้ผู้ต้องหาทั้ง 26 คน ได้ประกันตัวแล้ว 7 คน เนื่องจากมีโรคเบาหวาน ความดัน และภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ แต่ผู้ต้องหาทั้งหมด ยังตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ยากลำบาก"
อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีคำสั่งให้อัยการทหาร ทำคำชี้แจงคัดค้านภายใน 15 วัน หลังจากนั้นจะนัดพร้อมคดีผู้ต้องหาและทนายความอีกครั้ง ซึ่งยังไม่กำหนดเวลาที่ชัดเจน โดยจะมีหมายแจ้งไปยังผู้ต้องหาและทนายความต่อไป
**กำชับเหล่าทัพหนุนงานสปช.
พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมสภากลาโหม ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า กระทรวงกลาโหมได้กำหนดจัดทำโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี โดยการดำเนินงานและความรับผิดชอบของหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ แบ่งเป็น 3 กลุ่มงาน จะดำเนินการทั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่ และตลอดปี 2558 ดังนี้
1.กลุ่มงานสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จำนวน 19 แผนงาน หรือโครงการ อาทิ การเพิ่มมาตรการของด่านตรวจ จุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังป้องกันชายแดน และการก่อสร้างและปรับปรุงถนนที่ชำรุดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างและรถโดยสารขนาดเล็ก (รถตู้) ในพื้นที่กทม. โครงการ “คืนคนดีสู่สังคม” ในศูนย์วิวัฒน์พลเมืองของกองทัพบก การจัดตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติเพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ชายฝั่งทะเล และจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเล
2.กลุ่มงานช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาอาชีพจำนวน 22 แผนงาน หรือโครงการ อาทิ งานก่อสร้างเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ชนบท งานจัดหาน้ำกินน้ำใช้ การเปิดศูนย์การเรียนรู้ในหน่วยทหาร การมอบผ้าห่มกันหนาวการส่งเสริมอาชีพประชาชน การจัดตั้งหมู่บ้านตัวอย่างตามรอยเท้าพ่อ 30 หมู่บ้าน การจัดชุดบริการทางการแพทย์เคลื่อนที่เข้าพื้นที่ชนบทและห่างไกล
3.กลุ่มงานการให้บริการด้านต่างๆ จำนวน 9 แผนงานหรือโครงการ อาทิ การตั้งจุดพักรถและให้บริการประชาชน และการเปิดแหล่งท่องเที่ยวหรือพิพิธภัณฑ์ของทหารโดยไม่คิดค่าบริการ และการจัดแสดงดนตรีเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับประชาชนในห่วงเทศกาลปีใหม่
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการประชุม พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำกับหน่วยขึ้นตรงกลาโหมและเหล่าทัพให้มีความพร้อมในการปฏิรูป และตระหนักถึงความสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร เตรียมการช่วยเหลือประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ขอให้ติดตามสถานการณ์ รัฐบาลตั้งใจเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเพื่อลดความขัดแย้ง กองทัพต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาลดความขัดแย้งของคนในชาติ ผลักดันให้เกิดการปฏิรูป สนับสนุนงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า