"คลัง" แถลงปิดบัญชีจำนำข้าว เผยตัวเลขขาดทุนยับเกือบ 7 แสนล้าน เฉพาะยุคยิ่งลักษณ์ เจ๊งไปถึง 5.1 แสนล้าน ทนายโว "ยิ่งลักษณ์"ขอแจงสนช.ในคดีถอดถอนด้วยตนเอง แต่รอดูสำนวนป.ป.ช.ก่อน โวยเอกสารสำนวนเยอะ เตรียมระดมทีมงานคัดลอก ก่อนสรุปยื่นเอกสารพยานเพิ่มภายใน 22 พ.ย.นี้ "หมอวรงค์" แนะสนช.เชิญ "ปนัดดา-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง"ให้ข้อมูลก่อนตัดสินใจถอดถอน
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีจำนำข้าว กล่าวว่า การสรุปผลขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี 2547 จนถึง ณ วันที่ 22 พ.ค.57 รวมทั้งสิ้น 15 โครงการ จำนวน 85 ล้านตัน พบว่ามียอดขาดทุนอยู่ที่ 6.82 แสนล้านบาท จากการใช้เงินในการรับจำนำข้าวทั้งสิ้น 1.1 ล้านล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายข้าวอยู่ที่ 3.7 แสนล้านบาท รายจ่ายอยู่ที่ 1.05 แสนล้านบาท
โดยในส่วนของ 15 โครงการ เป็นส่วนการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำนวน 4 โครงการ มีผลขาดทุน 5.1 แสนล้านบาท ส่วนโครงการที่เหลือ 11 โครงการ มีผลขาดทุน 1.63 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลการปิดปัญชีโครงการรับจำนำข้าว ยังมีสินค้าคงเหลือในสต๊อก 19.2 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2.25 แสนล้านบาท ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าว ได้มีการรวมมูลค่าของข้าวที่เสื่อมคุณภาพ จำนวน 3.3 หมื่นล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
นายรังสรรค์ กล่าวด้วยว่า ครั้งนี้เป็นการปิดทางบัญชี ไม่มีการปิดตามสภาพคงเหลือของข้าวที่แท้จริง หลังจากนี้หากทางรัฐบาลมีการส่งข้อมูลสต๊อกข้าวที่มีการตรวจสอบล่าสุดมาให้ ก็จะดำเนินการปิดบัญชีตามสภาพมูลค่าข้าวคงเหลือ สำหรับในครั้งต่อไปคณะอนุกรรมการปิดบัญชีจำนำข้าว จะมีการพิจารณาจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 57
** โว"ปู"จะชี้แจงสนช.ด้วยตัวเอง
เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (13 พ.ย.) ทีมทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำโดย นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ได้เดินทางมาที่อาคารรัฐสภา 2 ห้อง 102 เพื่อคัดสำนวนคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หลังจากที่ประชุมสนช. มีมติ ขยายระยะเวลาการประชุมนัดแรกออกไปอีก 15 วัน เพื่อให้ทางทีมทนายได้เตรียมความพร้อมในการต่อสู้คดีถอดถอน
นายนรวิชญ์ กล่าวว่า แม้ประธานสนช. จะอนุญาตให้ทีมทนายคัดสำนวนจำนวน10 แฟ้ม ประมาณ 3 พันกว่าหน้า แต่เมื่อมาตรวจสอบพบว่า มีเพียงใบปะหน้าเท่านั้น ที่ระบุไม่เป็นเอกสารลับ นอกนั้นไม่เว้นแม้แต่สารบัญ ก็เป็นเอกสารลับ ไม่สามารถถ่ายสำเนาได้ ต้องใช้วิธีการจดคัดลอกประเด็นที่เห็นสำคัญไปเท่านั้น และเอกสารมีจำนวนมาก ยังไม่แน่ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด แต่ทั้งนี้ก็จะพยายามทำให้เต็มที่ และดีที่สุด จะยังไม่คิดถึงว่าจะต้องขอขยายเวลาออกไปอีกหรือไม่ เพราะแค่การประชุม สนช. เมื่อวันที่ 12พ.ย. ก็ถูกกล่าวหา ดูถูกดูแคลนว่าใช้เทคนิคของทนาย ทั้งที่ความจริงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนี้ (14 พ.ย.) ก็จะมีการระดมเจ้าหน้าที่คัดสำนวนให้มากขึ้น และเมื่อตรวจสำนวนแล้ว จึงจะสามารถบอกได้ว่า จะมีการขอเพิ่มพยานหลักฐานอะไรบ้าง ซึ่งจากการได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบว่าหากจะมีการเพิ่มพยานไม่สามารถเพิ่มเป็นพยานบุคคลได้ ถ้าจะทำต้องเป็นเอกสารและวันสุดท้ายที่จะแจ้งขอเพิ่มพยานหลักฐานได้คือวันที่ 22 พ.ย.
"อย่างในศาลยุติธรรม ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา จะอนุญาตให้คู่ความ ใครมีหลักฐานอะไรก็เอามาแสดง ฝ่ายไหนอยากจะคัดลอกเอาไปศึกษา เพื่อต่อสู้ก็ทำได้ แต่นี่เอกสารจำนวนมาก ถ่ายสำเนาก็ไม่ได้ ถือเป็นเรื่องหลักใจ ยอมรับว่าเป็น คงต้องทำงานกันทั้งวันทั้งคืน เพราะไม่เหมือนอ่านนิยาย ต้องทำความเข้าใจโดยแต่ละเอกสารจะมีจุดสำคัญที่แตกต่างกันไป อีกทั้งต้องมาดูว่าพยานที่เรายื่นในชั้นของป.ป.ช. ทางป.ป.ช.ได้นำไปรับฟังหรือไม่ หากไม่รับก็จะมาขอเพิ่มในชั้นของสนช."
นายนรวิชญ์ ยังกล่าวอีกว่า จากที่ได้พูดคุยกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความประสงค์ที่จะมาชี้แจงในวันแถลงเปิดคดีด้วยตนเอง แต่ทั้งนี้ต้องดูและวิเคราะห์สำนวนป.ป.ช. ก่อน และคงได้ข้อสรุปหลังการประชุมสนช.นัดแรกไปแล้วว่า ตกลง น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมาชี้แจงด้วยตนเอง หรือจะมอบผู้แทน
ทั้งนี้ในการต่อสู้คดี ทางน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็จะชี้ให้เห็นประโยชน์ที่ชาวนาได้รับจากโครงการนี้ และไม่ได้มีการปล่อยปละละเลย เมื่อมีการทักท้วงอดีตนายกรัฐมนตรี ก็รับฟัง และพยายามแก้ไข ไม่ได้มีการปล่อยปละละเลย อีกทั้งรัฐไม่ใช่เอกชน ที่ทำอะไรแล้วมุ่งแสวงหาผลกำไร แต่มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือประชาชนเมื่อได้รับความเดือดร้อนก็ต้องเช้าไปดูแล แต่โครงนี้เป็นโครงการใหญ่ เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณควบคุมเฉพาะด้านนโยบายเท่านั้น แต่การปฏิบัติเป็นของเจ้าหน้าที่ ซึ่งก็ได้กำชับกับคณะรัฐมนตรีให้มีมาตรการควบคุมในทุกขั้นตอนไม่ให้มีการทุจริต
** แนะสนช.เรียก"ปนัดดา"แจงด้วย
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลังจากฟังคำชี้แจงของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อกรณีที่เลื่อนการพิจารณาคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกไปเป็นวันที่ 28 พ.ย. 57 นั้น มีเหตุรับฟังได้ เพราะเป็นเรื่องปกติที่ทีมกฎหมายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้เป็นประจำ แม้แต่ในขั้นตอนชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ส่วนข้อบังคับการประชุมข้อที่ 154 ที่เปิดโอกาสให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ ซักถามผู้เกี่ยวข้อง ตนเสนอให้เชิญม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ เพื่อมาซักถามให้เห็นความเสียหาย เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบอดีตที่ผ่านมาของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ยืนยันมาตลอดว่าข้าวสารในโกดังไม่มีปัญหา แม้ฝ่ายค้านขณะนั้นจะท้าทายตรวจสอบโกดังร่วมกัน
นอกจากนี้ ขอเสนอให้เชิญ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) ผู้จัดการใหญ่ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือแม้แต่ประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว มาชี้แจงให้เห็นภาระของประเทศ ทั้งปัจจุบันและอนาคต ตนเชื่อว่าข้อมูลความเสียหายเหล่านี้ คงชี้ให้เห็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของชาติ ที่ ป.ป.ช. พยายามชี้แจง แต่ไม่มีการระงับยับยั้ง ประกอบกับข้อมูลที่ ป.ป.ช. เสนอต่อสนช. น่าจะเพียงพอต่อการตัดสินใจของ สนช. แล้ว
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีจำนำข้าว กล่าวว่า การสรุปผลขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี 2547 จนถึง ณ วันที่ 22 พ.ค.57 รวมทั้งสิ้น 15 โครงการ จำนวน 85 ล้านตัน พบว่ามียอดขาดทุนอยู่ที่ 6.82 แสนล้านบาท จากการใช้เงินในการรับจำนำข้าวทั้งสิ้น 1.1 ล้านล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายข้าวอยู่ที่ 3.7 แสนล้านบาท รายจ่ายอยู่ที่ 1.05 แสนล้านบาท
โดยในส่วนของ 15 โครงการ เป็นส่วนการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำนวน 4 โครงการ มีผลขาดทุน 5.1 แสนล้านบาท ส่วนโครงการที่เหลือ 11 โครงการ มีผลขาดทุน 1.63 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลการปิดปัญชีโครงการรับจำนำข้าว ยังมีสินค้าคงเหลือในสต๊อก 19.2 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2.25 แสนล้านบาท ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าว ได้มีการรวมมูลค่าของข้าวที่เสื่อมคุณภาพ จำนวน 3.3 หมื่นล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
นายรังสรรค์ กล่าวด้วยว่า ครั้งนี้เป็นการปิดทางบัญชี ไม่มีการปิดตามสภาพคงเหลือของข้าวที่แท้จริง หลังจากนี้หากทางรัฐบาลมีการส่งข้อมูลสต๊อกข้าวที่มีการตรวจสอบล่าสุดมาให้ ก็จะดำเนินการปิดบัญชีตามสภาพมูลค่าข้าวคงเหลือ สำหรับในครั้งต่อไปคณะอนุกรรมการปิดบัญชีจำนำข้าว จะมีการพิจารณาจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 57
** โว"ปู"จะชี้แจงสนช.ด้วยตัวเอง
เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (13 พ.ย.) ทีมทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำโดย นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ได้เดินทางมาที่อาคารรัฐสภา 2 ห้อง 102 เพื่อคัดสำนวนคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หลังจากที่ประชุมสนช. มีมติ ขยายระยะเวลาการประชุมนัดแรกออกไปอีก 15 วัน เพื่อให้ทางทีมทนายได้เตรียมความพร้อมในการต่อสู้คดีถอดถอน
นายนรวิชญ์ กล่าวว่า แม้ประธานสนช. จะอนุญาตให้ทีมทนายคัดสำนวนจำนวน10 แฟ้ม ประมาณ 3 พันกว่าหน้า แต่เมื่อมาตรวจสอบพบว่า มีเพียงใบปะหน้าเท่านั้น ที่ระบุไม่เป็นเอกสารลับ นอกนั้นไม่เว้นแม้แต่สารบัญ ก็เป็นเอกสารลับ ไม่สามารถถ่ายสำเนาได้ ต้องใช้วิธีการจดคัดลอกประเด็นที่เห็นสำคัญไปเท่านั้น และเอกสารมีจำนวนมาก ยังไม่แน่ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด แต่ทั้งนี้ก็จะพยายามทำให้เต็มที่ และดีที่สุด จะยังไม่คิดถึงว่าจะต้องขอขยายเวลาออกไปอีกหรือไม่ เพราะแค่การประชุม สนช. เมื่อวันที่ 12พ.ย. ก็ถูกกล่าวหา ดูถูกดูแคลนว่าใช้เทคนิคของทนาย ทั้งที่ความจริงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนี้ (14 พ.ย.) ก็จะมีการระดมเจ้าหน้าที่คัดสำนวนให้มากขึ้น และเมื่อตรวจสำนวนแล้ว จึงจะสามารถบอกได้ว่า จะมีการขอเพิ่มพยานหลักฐานอะไรบ้าง ซึ่งจากการได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบว่าหากจะมีการเพิ่มพยานไม่สามารถเพิ่มเป็นพยานบุคคลได้ ถ้าจะทำต้องเป็นเอกสารและวันสุดท้ายที่จะแจ้งขอเพิ่มพยานหลักฐานได้คือวันที่ 22 พ.ย.
"อย่างในศาลยุติธรรม ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา จะอนุญาตให้คู่ความ ใครมีหลักฐานอะไรก็เอามาแสดง ฝ่ายไหนอยากจะคัดลอกเอาไปศึกษา เพื่อต่อสู้ก็ทำได้ แต่นี่เอกสารจำนวนมาก ถ่ายสำเนาก็ไม่ได้ ถือเป็นเรื่องหลักใจ ยอมรับว่าเป็น คงต้องทำงานกันทั้งวันทั้งคืน เพราะไม่เหมือนอ่านนิยาย ต้องทำความเข้าใจโดยแต่ละเอกสารจะมีจุดสำคัญที่แตกต่างกันไป อีกทั้งต้องมาดูว่าพยานที่เรายื่นในชั้นของป.ป.ช. ทางป.ป.ช.ได้นำไปรับฟังหรือไม่ หากไม่รับก็จะมาขอเพิ่มในชั้นของสนช."
นายนรวิชญ์ ยังกล่าวอีกว่า จากที่ได้พูดคุยกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความประสงค์ที่จะมาชี้แจงในวันแถลงเปิดคดีด้วยตนเอง แต่ทั้งนี้ต้องดูและวิเคราะห์สำนวนป.ป.ช. ก่อน และคงได้ข้อสรุปหลังการประชุมสนช.นัดแรกไปแล้วว่า ตกลง น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมาชี้แจงด้วยตนเอง หรือจะมอบผู้แทน
ทั้งนี้ในการต่อสู้คดี ทางน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็จะชี้ให้เห็นประโยชน์ที่ชาวนาได้รับจากโครงการนี้ และไม่ได้มีการปล่อยปละละเลย เมื่อมีการทักท้วงอดีตนายกรัฐมนตรี ก็รับฟัง และพยายามแก้ไข ไม่ได้มีการปล่อยปละละเลย อีกทั้งรัฐไม่ใช่เอกชน ที่ทำอะไรแล้วมุ่งแสวงหาผลกำไร แต่มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือประชาชนเมื่อได้รับความเดือดร้อนก็ต้องเช้าไปดูแล แต่โครงนี้เป็นโครงการใหญ่ เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณควบคุมเฉพาะด้านนโยบายเท่านั้น แต่การปฏิบัติเป็นของเจ้าหน้าที่ ซึ่งก็ได้กำชับกับคณะรัฐมนตรีให้มีมาตรการควบคุมในทุกขั้นตอนไม่ให้มีการทุจริต
** แนะสนช.เรียก"ปนัดดา"แจงด้วย
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลังจากฟังคำชี้แจงของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อกรณีที่เลื่อนการพิจารณาคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกไปเป็นวันที่ 28 พ.ย. 57 นั้น มีเหตุรับฟังได้ เพราะเป็นเรื่องปกติที่ทีมกฎหมายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้เป็นประจำ แม้แต่ในขั้นตอนชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ส่วนข้อบังคับการประชุมข้อที่ 154 ที่เปิดโอกาสให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ ซักถามผู้เกี่ยวข้อง ตนเสนอให้เชิญม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ เพื่อมาซักถามให้เห็นความเสียหาย เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบอดีตที่ผ่านมาของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ยืนยันมาตลอดว่าข้าวสารในโกดังไม่มีปัญหา แม้ฝ่ายค้านขณะนั้นจะท้าทายตรวจสอบโกดังร่วมกัน
นอกจากนี้ ขอเสนอให้เชิญ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) ผู้จัดการใหญ่ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือแม้แต่ประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว มาชี้แจงให้เห็นภาระของประเทศ ทั้งปัจจุบันและอนาคต ตนเชื่อว่าข้อมูลความเสียหายเหล่านี้ คงชี้ให้เห็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของชาติ ที่ ป.ป.ช. พยายามชี้แจง แต่ไม่มีการระงับยับยั้ง ประกอบกับข้อมูลที่ ป.ป.ช. เสนอต่อสนช. น่าจะเพียงพอต่อการตัดสินใจของ สนช. แล้ว