00 ในที่สุดคนไทยก็ได้รับรู้กำหนดการเดินทางไปเยือนบางประเทศจากสื่อต่างประเทศ คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่เรารู้กำหนดการเดินทางไปเยือนกัมพูชา ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในวันที่ 30-31 ต.ค.นี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีการเปิดเผยกำหนดการดังกล่าวออกมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยระบุวันเวลาที่ชัดเจน เพียงแต่บอกว่า เป็นคิวเดินทางต่อจากมาเลเซีย แต่ล่าสุดมีรายงานว่า ฝ่ายมาเลย์ยังไม่สะดวกที่จะต้อนรับ จึงเลื่อนออกไปก่อน ซึ่งอาจจะเป็นการถือโอกาสพบกันในเวทีเอเปก ที่จีนต้นเดือนหน้า แต่สำหรับการเดินทางไปเยือนกัมพูชาคราวนี้ ถือว่า "น่าติดตาม" เหมือนเช่นเคย
00 เพราะอย่างที่รู้ว่า ทั้งสองประเทศมีปัญหาที่ต้องร่วมกันแก้ไข เนื่องจากทั้งสองประเทศอยู่ติดกัน ไม่อาจยกแผ่นดินหนีกันได้ เหมือนที่นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเอ่ยวาทะออกมา เรื่องปัญหาเขตแดน ปัญหาเข้าเมืองผิดกม. สินค้าหนีภาษี ที่สำคัญคือ ปัญหาเขตแดนทั้งบนบกต่อเนื่องลงไปในทะเล และแน่นอนว่าย่อมพันไปถึงเรื่อง "พลังงาน" ที่มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง โดยมีเรื่องของผลประโยชน์ของเอกชน บริษัทข้ามชาติที่มีมหาอำนาจหนุนหลังอยู่ จะมีการเจรจาหาข้อยุติภายในรัฐบาลนี้หรือไม่ ที่ต้องจับตาก็คือ การเดินทางไปเที่ยวนี้จะหนีบเอา รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี และผู้บริหารของปตท. ติดมือไปด้วยหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ รมว.พลังงาน เคยหลุดปากออกมาแล้วว่า จะต้องแก้ปัญหาเรื่องเขตทับซ้อนในทะเลให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายก็มีการตั้งคณะกรรมการร่วมปักปันเขตแดนกันไปแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปคราวนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นการลงนามอะไร หรือไม่ นอกเหนือจากวาระที่เปิดเผยสองสามเรื่อง อย่าได้ละสายตาเป็นอันขาด
00 กรณีเร่งรัดให้เปิดสัมปทานรอบที่ 21 ทำให้รัฐบาล "ชั่วคราว" ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกตั้งคำถามตัวโตๆ ว่าทำไมถึง "รีบร้อน"กันนัก ในเมื่อความหมายก็บอกอยู่แล้วว่า รัฐบาลชั่วคราว เข้ามาแบบเฉพาะกิจ ขัดตาทัพ เข้ามาวางรากฐานเป็น "แม่งาน" อำนวยความสะดวกเพื่อการปฏิรูปในวันหน้า บางเรื่องที่ยังเถียงกันไม่เสร็จ ยังไม่ตกผลึก ที่สำคัญทำไม่รอให้มีผลสรุปในด้านปฏิรูปพลังงานจากสภาปฏิรูปฯ เสียก่อนล่ะ จะรีบผูกมัดตัวเองทำไมไปถึง 36 ปี แบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ ที่จะต้องสงสัยว่า "มีนอกมีใน" อะไรหรือเปล่า !!
00 กลายเป็นว่าการแต่งตั้งบุคคลที่มีความคิดแตกต่างในเรื่องการปฏิรูปพลังงาน อย่างเช่น รสนา โตสิตระกูล เข้าไปเป็น สปช.ด้านปฏิรูปพลังงาน มันก็เป็นเพียง"ภาพหลอก" ทำให้เห็นว่ามีความคิดหลากหลาย แต่ความหมายก็คือ ฝ่ายภาคประชาชนมีแค่หยิบมือ ต่อให้พูดเถียงให้คอแตก มีข้อมูลมาแบให้เห็นแค่ไหน แต่เมื่อโหวต มันก็แพ้วันยังค่ำ และที่สำคัญมันไม่มีความหมาย เพราะโครงสร้างด้านพลังงานได้ถูกปรับเปลี่ยนไปโดยรัฐบาลชั่วคราวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนดังที่ รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี ได้เคยเปิดเผยว่า ต้องเดินหน้าปรับโครงสร้างให้เสร็จสิ้นในรัฐบาลนี้ ทะยอยขึ้นราคาพลังงานทั้งแก๊สภาคขนส่ง และครัวเรือนไปทุกเดือน แล้วบอกว่า นี่คือการ "คืนความสุข" ให้ประชาชน !!
00 ทำท่าไม่เป็นที่สบอารมณ์ของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สำหรับการมี "สถาบันปฏิรูปประเทศ" หรือ สปท. เพื่อทำหน้าที่เหมือนกับ "สภากระจก" เคียงคู่ไปกับ สปช. ที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของ คสช. และรัฐบาล อ้างอยู่อย่างเดิมว่า เกรงจะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาแล้วจะเดินไปไม่ได้ ถึงได้มอบหมายให้ รองนายกฯฝ่ายกม. วิษณุ เครืองาม ไปตรวจดูว่า "ตั้งได้หรือไม่" ความหมายก็คือ "จะผิดกฎหมาย" หรือไม่ จะไม่ให้ใคร "ขัดคอ" ว่างั้นเถอะ ถ้าลองคิดกันแบบนี้ก็เอวังละพี่น้อง ปฏิรูปกันแบบ ตัวกู พวกกู ล่ะทีนี้ !!
00 เพราะอย่างที่รู้ว่า ทั้งสองประเทศมีปัญหาที่ต้องร่วมกันแก้ไข เนื่องจากทั้งสองประเทศอยู่ติดกัน ไม่อาจยกแผ่นดินหนีกันได้ เหมือนที่นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเอ่ยวาทะออกมา เรื่องปัญหาเขตแดน ปัญหาเข้าเมืองผิดกม. สินค้าหนีภาษี ที่สำคัญคือ ปัญหาเขตแดนทั้งบนบกต่อเนื่องลงไปในทะเล และแน่นอนว่าย่อมพันไปถึงเรื่อง "พลังงาน" ที่มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง โดยมีเรื่องของผลประโยชน์ของเอกชน บริษัทข้ามชาติที่มีมหาอำนาจหนุนหลังอยู่ จะมีการเจรจาหาข้อยุติภายในรัฐบาลนี้หรือไม่ ที่ต้องจับตาก็คือ การเดินทางไปเที่ยวนี้จะหนีบเอา รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี และผู้บริหารของปตท. ติดมือไปด้วยหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ รมว.พลังงาน เคยหลุดปากออกมาแล้วว่า จะต้องแก้ปัญหาเรื่องเขตทับซ้อนในทะเลให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายก็มีการตั้งคณะกรรมการร่วมปักปันเขตแดนกันไปแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปคราวนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นการลงนามอะไร หรือไม่ นอกเหนือจากวาระที่เปิดเผยสองสามเรื่อง อย่าได้ละสายตาเป็นอันขาด
00 กรณีเร่งรัดให้เปิดสัมปทานรอบที่ 21 ทำให้รัฐบาล "ชั่วคราว" ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกตั้งคำถามตัวโตๆ ว่าทำไมถึง "รีบร้อน"กันนัก ในเมื่อความหมายก็บอกอยู่แล้วว่า รัฐบาลชั่วคราว เข้ามาแบบเฉพาะกิจ ขัดตาทัพ เข้ามาวางรากฐานเป็น "แม่งาน" อำนวยความสะดวกเพื่อการปฏิรูปในวันหน้า บางเรื่องที่ยังเถียงกันไม่เสร็จ ยังไม่ตกผลึก ที่สำคัญทำไม่รอให้มีผลสรุปในด้านปฏิรูปพลังงานจากสภาปฏิรูปฯ เสียก่อนล่ะ จะรีบผูกมัดตัวเองทำไมไปถึง 36 ปี แบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ ที่จะต้องสงสัยว่า "มีนอกมีใน" อะไรหรือเปล่า !!
00 กลายเป็นว่าการแต่งตั้งบุคคลที่มีความคิดแตกต่างในเรื่องการปฏิรูปพลังงาน อย่างเช่น รสนา โตสิตระกูล เข้าไปเป็น สปช.ด้านปฏิรูปพลังงาน มันก็เป็นเพียง"ภาพหลอก" ทำให้เห็นว่ามีความคิดหลากหลาย แต่ความหมายก็คือ ฝ่ายภาคประชาชนมีแค่หยิบมือ ต่อให้พูดเถียงให้คอแตก มีข้อมูลมาแบให้เห็นแค่ไหน แต่เมื่อโหวต มันก็แพ้วันยังค่ำ และที่สำคัญมันไม่มีความหมาย เพราะโครงสร้างด้านพลังงานได้ถูกปรับเปลี่ยนไปโดยรัฐบาลชั่วคราวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนดังที่ รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี ได้เคยเปิดเผยว่า ต้องเดินหน้าปรับโครงสร้างให้เสร็จสิ้นในรัฐบาลนี้ ทะยอยขึ้นราคาพลังงานทั้งแก๊สภาคขนส่ง และครัวเรือนไปทุกเดือน แล้วบอกว่า นี่คือการ "คืนความสุข" ให้ประชาชน !!
00 ทำท่าไม่เป็นที่สบอารมณ์ของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สำหรับการมี "สถาบันปฏิรูปประเทศ" หรือ สปท. เพื่อทำหน้าที่เหมือนกับ "สภากระจก" เคียงคู่ไปกับ สปช. ที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของ คสช. และรัฐบาล อ้างอยู่อย่างเดิมว่า เกรงจะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาแล้วจะเดินไปไม่ได้ ถึงได้มอบหมายให้ รองนายกฯฝ่ายกม. วิษณุ เครืองาม ไปตรวจดูว่า "ตั้งได้หรือไม่" ความหมายก็คือ "จะผิดกฎหมาย" หรือไม่ จะไม่ให้ใคร "ขัดคอ" ว่างั้นเถอะ ถ้าลองคิดกันแบบนี้ก็เอวังละพี่น้อง ปฏิรูปกันแบบ ตัวกู พวกกู ล่ะทีนี้ !!
