xs
xsm
sm
md
lg

คดีฆ่าหั่นศพชาวญี่ปุ่น : สะท้อนค่านิยมในทางลบ

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ค่านิยมในการแสวงหาสามีต่างชาติของหญิงไทย ได้เกิดขึ้นและแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว นับจากสงครามเวียดนามเป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงกับมีการเรียกขายหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งมีคนต่างชาติมาแต่งงานอยู่กินกับหญิงสาวชาวบ้านมากว่าหมู่บ้านเขยฝรั่ง และการที่ค่านิยมในเรื่องนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว น่าจะมีเหตุปัจจัยมาเกื้อหนุนดังต่อไปนี้

1. โดยปกติหญิงไทยโดยเฉพาะสาวชาวชนบท ซึ่งเติบโตขึ้นในภาวะแวดล้อมแบบไทยโบราณ จะได้รับการสอนให้เป็นคนขยันหมั่นเพียร เอาใจใส่ต่องานบ้านการเรือน และที่สำคัญคือให้เคารพเชื่อฟังสามี

ด้วยคุณสมบัติที่ว่านี้ จึงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตก เนื่องจากคุณสมบัติในลักษณะนี้ไม่มีในวัฒนธรรมตะวันตก

2. ผู้ชายต่างชาติที่มาแต่งงานอยู่กินกับหญิงไทยในชนบท ส่วนใหญ่เป็นคนสูงวัยและมักจะเคยมีครอบครัวมาแล้ว ดังนั้น การแต่งงานอยู่กินกับหญิงไทยก็เป็นการหาคนเอาใจใส่เลี้ยงดูในบั้นปลายชีวิต

3. ผู้หญิงไทยที่แต่งงานกับต่างชาติ ซึ่งมีวัยแตกต่างกันเช่นนี้ ก็น่าจะด้วยเหตุผลเดียวคือเพื่อยกฐานะให้ตนเองดีขึ้นจากการที่เคยเป็นลูกจ้างร้านอาหาร สาวเสิร์ฟในบาร์ หรือแม้กระทั่งเป็นสาวขายบริการ

4. เท่าที่ปรากฏ เมื่อมีการแต่งงานแล้วหญิงไทยเหล่านี้มีฐานะดีขึ้นในด้านการเงิน แต่อาจจะด้อยในทางสังคมในสายตาของคนไทยบางกลุ่มซึ่งยึดถือในเรื่องประเพณี

แต่อย่างไรก็ตาม ข้อด้อยในเรื่องดังกล่าวเริ่มจะหมดไปคือ ครอบครัวของหญิงที่มีสามีเป็นต่างชาติดีขึ้น และที่สำคัญยิ่งกว่านี้ก็คือลูกที่เกิดขึ้นมาได้รับการศึกษา และอาชีพมั่นคงบางรายได้ดิบได้ดีในวงการบันเทิง

จากปัจจัย 4 ประการนี้เอง ที่ทำให้ค่านิยมในการมีสามีเป็นต่างชาติของหญิงไทยได้แพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว และได้รับการยอมรับจากสังคมโดยรวมมากขึ้น เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่เห็นหญิงไทยเดินคู่กับต่างชาติครั้งใด คนมักจะมองไปว่าเป็นประเภทเมียเช่าหรือไม่ก็คู่ซ้อม

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อคดีหญิงไทยตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าชาวญี่ปุ่นด้วยการฆ่าหั่นศพไปทิ้งดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ น่าจะทำให้ชาวต่างชาติที่นิยมแต่งงานกับหญิงไทยหวาดผวาไปอย่างน้อยชั่วระยะหนึ่ง และที่สำคัญต่อจากนี้ไป ต่างชาติคนไหนคิดจะหาหญิงไทยคงจะต้องคิดให้รอบคอบสอบดูภูมิหลังก่อนตัดสินใจแน่นอน ทั้งนี้ควรจะได้ศึกษากรณีของนายโยชิโนริ ชิมาโตะ ซึ่งถูกฆ่าหั่นศพไปนี้ จนกลายเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้เป็นอุทาหรณ์

เพื่อให้มองเห็นประเด็นอันควรค่าแก่การศึกษา และจดจำสำหรับชาวต่างชาติ หรือแม้กระทั่งคนไทยซึ่งอยู่ในวัยชราแต่ยังอยากที่จะมีภรรยสาว ผู้เขียนจึงใคร่ขอนำข่าวนี้มาเสนอโดยสรุปเป็นประเด็นดังต่อไปนี้

1. นายโยชิโนริ ชิมาโตะ อายุ 79 ปี เข้ามาอยู่ในประเทศไทย และเป็นครูสอนภาษาญี่ปุ่นได้หายตัวไปตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ต่อมานายเทสซึโอะ ชิมาโตะ ได้มาตามหาและได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ห้วยขวาง

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจห้องพักของนายโยชิโนริ และได้พบนางพรชนก ไชยะปะ อายุ 47 ปีซึ่งเป็นคนสนิทกับนายโยชิโนริ กำลังเก็บของอยู่ในห้องจึงควบคุมตัวมาสอบปากคำ พบว่านางพรชนกได้นำบัตรเอทีเอ็มของนายโยชิโนริไปกดเงินจำนวน 720,000 บาท โดยอ้างว่ารู้จักกัน แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาลักทรัพย์ และส่งตัวดำเนินคดี แต่ได้ประกันตัวในชั้นศาล จากนั้นได้หลบหนีไป

2. จากการตรวจสอบประวัติเบื้องต้นพบว่า นางพรชนกมีประวัติยักยอกทรัพย์และเคยมีสามีเป็นชาวญี่ปุ่นมาก่อน แต่ได้ประสบอุบัติเหตุตกบันไดเสียชีวิต หลังทำประกันชีวิตได้ไม่นาน

อนึ่ง ก่อนจะมีสามีเป็นชาวญี่ปุ่น นางพรชนกได้เคยมีสามีชื่อว่า นายสมชาย แก้วบางยาง ซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่ ตำรวจจึงได้ออกตามล่าตัว และในที่สุดได้พบนายสมชาย และนางพรชนกที่สนามกีฬาแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง พร้อมรถแท็กซี่จึงได้ควบคุมตัวมาสอบสวน

3. จากการสอบสวนล่าสุดนางพรชนก ยอมรับสารภาพแล้วว่าเป็นคนฆ่านายโยชิโนริ หลังไปรับกลับจากโรงพยาบาลบางนา 2 ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา โดยหั่นศพแยกออกเป็นชิ้นใส่ถุงปุ๋ย และเททรายลงไปเพื่อถ่วงให้จม นำไปทิ้งในคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ย่านบางเสาธง

นอกจากนางพรชนกได้รับสารภาพแล้ว นายสมชายเองก็ได้รับสารภาพว่าร่วมก่อเหตุฆ่านายโยชิโนริด้วย เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวมาสอบสวนขยายผล

4. ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดค้นหาและนักประดาน้ำได้ลงค้นหาศพในคลองอย่างละเอียดตามคำให้การของนางพรชนกที่ระบุว่าหั่นศพแยกเป็น 4 ถุง และล่าสุดได้พบแล้ว 2 ถุง แต่ต้องรอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานมาพิสูจน์ และตรวจสอบอีกครั้ง

ทั้งหมดคือข่าวเกี่ยวกับหญิงไทยร่วมกับอดีตสามีฆ่าชาวญี่ปุ่น ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างสอบสวนดำเนินคดี ส่วนผลจะจบลงอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม

แต่อย่างไรก็ตาม ในขั้นนี้เรื่องที่เกิดขึ้นพอจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับหญิงไทย และชาวต่างชาติที่ยึดค่านิยมแสวงหาคู่เป็นชาวต่างชาติว่า ถ้าการแต่งงานมิได้เริ่มด้วยความรัก และตัดสินใจแต่งด้วยความพอใจที่แต่ละฝ่ายมี แต่ละฝ่ายเป็นแล้วต่อไปจะอยู่ด้วยความรับผิดชอบ และเห็นอกเห็นใจคงจะยาก แต่เป็นไปได้ที่จะอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน หรือแยกกันไป หรืออาจรุนแรงถึงขั้นก่อเหตุร้ายแรงก็เกิดขึ้นได้

ยิ่งกว่านี้ ถ้าการแต่งงานเกิดขึ้นด้วยเจตนาแอบแฝง เช่น หวังทรัพย์หรือใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังในกรณีของนางพรชนกเป็นต้น ก็อาจจบลงด้วยความรุนแรงได้

ด้วยเหตุนี้ เพื่อป้องกันมิให้ค่านิยมในทำนองนี้แพร่หลายออกไปมากกว่านี้

หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในการดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคม และรับผิดชอบเกี่ยวกับการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทย ควรจะได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับครอบครัวคนไทยที่แต่งงานกับต่างชาติ และยากที่จะปกป้องมิให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง และอันเกิดจากความแตกต่างของสองวัฒนธรรมที่มาอยู่ร่วมกัน และในขณะเดียวกัน เผยแพร่ความดีงามของครอบครัวที่แต่งงานกับต่างชาติเพื่อเป็นแบบอย่างให้คนไทย และต่างชาติที่ต้องการเข้ามาแต่งงาน และใช้ชีวิตในประเทศไทยได้เรียนรู้ว่าควรทำอย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น