xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รัฐธรรมนูญสีชมพู พิสูจน์กึ๋น“เนติบริกร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่มีพลิกล็อก "จุฬาฯคอนเนกชั่น"ผงาดกุมบังเหียนสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไปตามที่วางตัวกันเอาไว้ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการผลักดันสุดลิ่มทิ่มประตูจาก “เนติบริกรผู้น้อง” นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ที่รู้กันทั่วว่า มีอิทธิพลใน สปช. ครั้งนี้ขนาดไหน ให้ไปเป็นประธานสปช. ดูแลการปฏิรูปประเทศครั้งนี้

จากความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นตั้งแต่สมัย นายเทียนฉาย เป็นอธิการบดี และมี นายบวรศักดิ์ เป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ ในยุคเดียวกัน หนำซ้ำทั้งคู่ยังทำงานด้วยกันในสถาบันพระปกเกล้า โดยนายเทียนฉายรับหน้าที่เป็นประธานหลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจ สำหรับนักบริหารระดับสูงอีกด้วย

ขณะที่รองประธานสปช.คนที่ 1 ก็ไม่ผิดฝาผิดตัว นายบวรศักดิ์ จับตัวเองไปนั่งเพื่อคุมงานด้านกฎหมาย โดยเฉพาะการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ “เนติบริกรผู้น้อง”จ่อถ่างขาไปนั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอีกตำแหน่ง

ส่วนรองประธาน สปช. คนที่ 2 เป็นดอกไม้ประดับ เพิ่มความหลากหลาย ได้ นางทัศนา บุญทอง อดีตรองประธานวุฒิสภา อีกหนึ่งผลผลิตจากคณะครุศาสตร์ รั้วสีชมพู เข้ามาทำหน้าที่

เบ็ดเสร็จ 3 บุคคลผู้กุมบังเหียนเวทีปฏิรูปเป็นยุคของ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”ทั้งสิ้น

นอกจากตัวประธาน และรองประธานสปช. จะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจากการเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง จากรั้วสถาบันเดียวกัน หากไปไล่ดูปูมประวัติการศึกษาจากสมาชิกสปช. คนอื่นๆ ในจำนวน 247 คนที่เหลือ บอกได้คำเดียวว่า “จุฬาฯคอนเนกชั่น”ยั้วเยี้ยะเต็มสปช. เอาตัวเป้งๆ ที่รู้จัก นายจรัส สุวรรณมาลา อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ นายชัยอนันต์ สมุทวณิช คณะรัฐศาสตร์ และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
ยุคนี้ ถือเป็นยุคเฟื่องฟูของ“ชาวรั้วจามจุรี”ของแท้ เพราะนอกจากจะได้กุมบังเหียน สปช. แบบเบ็ดเสร็จหมดจด หากไปดูบรรดาหัวๆ ของแม่น้ำแต่ละสายที่ “เนติบริกรผู้พี่”นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย เปรียบเปรยอพคาพยพตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้เอาไว้ เป็นเชื้อสายถิ่นฐานย่านปทุมวันแทบทั้งสิ้น ตั้งแต่มือกฎหมายข้างกาย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่าง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งก็เป็นศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มาถึง สปช.หัวขบวนก็พะยี่ห้อจามจุรีหมด รวมถึงประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่นายบวรศักดิ์จ่อนั่งเต็มแก่ แม้แต่นายวิษณุเอง แม้จะเป็นลูกเหลือง-แดง จบจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ก็ไปใช้ชีวิตเป็นอาจารย์อยู่ที่รั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่นานหลายปี ความผูกพันนั้นมีเยอะ

ดังนั้น ก็อย่าแปลกใจหากอะไรๆ จะเป็นสีชมพูไปหมด

โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่จะยกร่างกันอยู่ไม่อีกกี่วันข้างหน้า ก็ถูกนำลักษณะของหัวขบวนอย่าง นายบวรศักดิ์ และหลายๆ คนที่จะมีพะยี่ห้อจุฬาฯ เข้าไปนั่งเป็นกรรมาธิการกันเยอะว่า จะเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับสีชมพู”คล้ายๆ กับฉบับที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 เคยร่าง และถูกล้อกันต่อมาว่า เป็น “รัฐธรรมนูญฉบับ หน้าแหลมฟันดำ”

แต่จะใครยกร่าง ใครจะยี่ห้อไหน สถาบันใด คงไม่สำคัญอะไรเท่ากับ เนื้อหาที่จะไปเขียนกันขึ้นมาว่า จะออกมาอย่างไร และคุ้มค่าแก่การแก้ไขปัญหาประเทศที่มะรุมมะตุ้มกันมาหลายปีหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ ต่อให้เขียนดีแค่ไหน สุดท้ายมิวายต้องถูกฉีกจากการรัฐประหารทุกที

บทเรียนมีแล้ว ทั้งจากรัฐธรรมนูญปี 2540 และรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่พยายามตบทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง เหมาะแก่สภาพสังคมไทย แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่อาจสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เลย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ขนทีมงานจากหลายภาคส่วน เข้ามาช่วยกันยกกติกาประเทศ แต่ในเมื่อหัวขบวนผู้ยกร่างถูกมองว่า เลือกข้างเสียแล้ว เปรียบเหมือนต้นไม้พิษ ลูกออกมามันจึงถูกมองว่า เป็นผลไม้พิษ

เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้การรับยอมรับ พลันที่คณะรัฐประหารคืนอำนาจจัดให้มีการเลือกตั้ง นักการเมืองฝั่งที่ไม่ชอบใจ ก็จ้องจะแก้ไขกันจนไม่เป็นอันทำอะไร เหมือนกับยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่วันๆ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนสุดท้ายต้องตายไปพร้อมกับรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่กำลังจะร่างกันก็เหมือนกัน หัวขบวนถูกตั้งแง่เสียแล้วว่า เป็นพรรคพวกของอีกฝ่าย ดังนั้น เนื้อหาจึงถูกจ้องตาไม่กระพริบว่า จะออกมาเพื่อกีดกันอีกฟากฝั่ง หรืออาจทำให้สูญพันธุ์ไปเลย โดยใช้ยาขนานแรงสุด ซึ่งไม่ใช่ไม่มีความเป็นไปได้ เพราะหากพลิกดูมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่กำหนดให้กลั่นกรองนักการเมืองขี้ฉ้อไม่ให้เข้าสู่วังวนการเมืองแบบเข้มข้น สกัดกั้นผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้หลุดวงโคจรไป การล้างบางนักการเมืองซีก น.ช.ทักษิณจึงเกิดขึ้นได้เสมอ

โดยเฉพาะหากเปิดไปดูบัญชีหนังหมา กางตำรากฎแห่งกรรมแต่ละหน่อ ในกรณีหากทีมงานยกร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ ใส่สาระสำคัญป้องกันนักการเมืองชั่ว บรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 ที่เพิ่งจะพ้นโทษทัณฑ์ เว้นวรรคทางการเมืองกันมาไม่นาน มีสิทธิ์ปิดเทอมยาวซ้ำสอง ส่อแววนั่งเคี้ยวหมากเลี้ยงหลานอยู่บ้านไปจนแก่หัวหงอกแน่

แต่ต่อให้บล็อกบรรดานักการเมืองลายครามได้ แต่อย่าลืมว่า มันไม่ใช่วิธีกำจัดระบอบทักษิณ ที่ได้ผล เพราะสามารถกำจัดได้เพียงตัวบุคคลเท่านั้น ดูอุทาหรณ์ก่อนหน้านี้เป็นตัวอย่าง ต่อให้ยุบพรรคไทยรักไทย ยุบพรรคพลังประชาชน มันก็มีพรรคเพื่อไทย งอกขึ้นมา เพราะประเทศไทย มีระบบตัวแทน หรือที่รู้จักกันในนามนอมินี ดังนั้นถ้าคิดจะปราบ จะต้องเพิ่มระบบคัดกรองที่หนาแน่น ไม่ใช่เจาะจงตัวบุคคล มิเช่นนั้น จะมีทักษิณ 2 ทักษิณ 3 ทักษิณ 4 ไปไม่หยุดหย่อน

นอกจากนี้ เรื่องกลไกป้องกันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็สำคัญ เพราะในช่วงของรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราสำคัญหลายมาตราที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายอำนาจของระบอบทักษิณ จนเกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างสูง รอบนี้จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพป้องกัน ไม่ใช่ใครจ้องจะรื้อก็รื้อได้หากมีคะแนนเสียงเยอะกว่าในสภา

ยังไม่นับรวมเนื้อหาอื่นๆ ที่สำคัญ จึงเป็นงานท้าทายของทีมงาน “จุฬาฯคอนเนกชั่น”โดยเฉพาะ นายบวรศักดิ์ ว่าที่ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า จะดีไซน์ออกมาได้ดีแค่ไหน เพราะมีประสบการณ์ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับชั่วคราว และฉบับถาวรมาแล้วไม่รู้ต่อกี่ฉบับ

อย่าให้อายขายขี้หน้าว่า รัฐธรรมนูญที่"แก๊งเนติบริกร"ร่างมาโดนฉีกอีกแล้ว !!!
กำลังโหลดความคิดเห็น