ASTVผู้จัดการรายวัน - 2 ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้งและเอนเตอร์เทนเมนต์ ชี้ชัดไตรมาสสุดท้ายเงินสะพัดเข้าระบบมากขึ้น ส่งผลตลาดเติบโตประมาณ 15% รักษายอด 1.5 หมื่นล้านบาท เผย “รถยนต์ - เครื่องดื่ม - สื่อสาร - การเงิน - บันเทิง” โหมใช้งบฯ เดินหน้าทำยอดขาย ส่งผล “Index” เพิ่มพอร์ตงานรับมือทำรายได้โตขึ้น 10-15% ด้าน “CMO” ประกาศตัวเป็น Trendsetter พร้อมสร้างแบรนด์ของตัวเอง เดินหน้ารุกตลาดคอนเสิร์ตทั้งในและต่างประเทศ
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งในปี 2557 ว่า หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจทำให้การเติบโตลดลง 20% ช่วง 3 ไตรมาสแรก แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปรกติและเชื่อว่าจะตลาดจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง อาจจะเติบโตประมาณ 15% คิดเป็นมูลค่า 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทได้
ธุรกิจต่างๆเร่งอัดงบ
สัญญาณดังกล่าวเริ่มส่งผลดีตั้งแต่เดือนกันยายน ด้านกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นกลับคืนมา ทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ เร่งใช้งบประมาณที่ค้างมาตั้งแต่ต้นปีเพื่อรุกการตลาดและเร่งทำยอดขายกลับคืนมา โดยภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มดีคือกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภคคือ กลุ่มเครื่องดื่มที่แข่งขันรุนแรงและกลุ่มรถยนต์ที่เริ่มนำแคมเปญใหม่ๆมากระตุ้นผู้บริโภค โดยเฉพาะ “โตโยโต้า” ที่ออกแคมเปญผ่อน 0% นาน 4 ปี ถือเป็นปรากฏการณ์ทางการตลาดที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
ปัจจัยสำคัญอีกคือ นโยบายต่างๆของรัฐบาล “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2557 แตกต่างจากวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบคือกลุ่มนักธุรกิจ แต่ครั้งนี้ผู้ได้รับผลกระทบอยู่ในวงกว้างตั้งแต่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยขึ้นไปจนถึงผู้มีรายได้ปานกลาง ดังนั้นการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคให้เริ่มฟื้นกลับคืนมาจึงมีผลสำคัญที่จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยในปี 2558 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น
“ไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 เป็นช่วงสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องเร่งทำยอดขายเพื่อไม่ให้ผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้ามากนัก แต่การเลือกใช้สื่อเพื่อดำเนินกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้สื่อประเภทอื่นๆ มากขึ้นจากเดิมที่เน้นใช้สื่อโทรทัศน์เป็นหลัก เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มั่นใจเรื่องระบบทีวีดิจิตอล ธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง ช่วงนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงเป้าหมาย”
“อินเด็กซ์” คาดเติบโต 15%
ในส่วนของ “อินเด็กซ์” คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% จากรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาทในปี 2556 เพราะมีงานที่หลากหลาย ทั้งยังได้ปรับแผนงานโดยเน้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเมียนมาร์ ซึ่งประชาชนเริ่มมีกำลังซื้อสูงขึ้นและเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้มีธุรกิจจากประเทศไทยและระดับโลกเข้าไปทำตลาดมากขึ้น เช่น สินค้าประเภทต่างๆหลายแบรนด์ เช่น โทรทัศน์จอโค้ง สมาร์ทโฟน รถยนต์ และอื่นๆ เข้าไปเปิดตัวสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นหลังจากที่เปิดตัวในประเทศไทยไม่นาน
“ทุกวันนี้สินค้าหลายชนิดในเมียนมาร์เริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์จากเดิมที่เป็นตลาดมือสองเริ่มพัฒนาเป็นตลาดรถยนต์ใหม่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มเติบโตหลังจากที่รัฐบาลเพิ่งให้การอนุมัติก่อสร้างอาคารสูงประมาณ 450 แห่ง ธุรกิจผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือก็เริ่มมีการใช้งบประมาณทำการตลาดเป็นจำนวนมาก”
ทั้งนี้ “อินเด็กซ์” เริ่มดำเนินธุรกิจในเมียนมาร์ตั้งแต่ปี 2554 ใน 5 กลุ่มหลักคือ 1.อีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง 2. เฟสทีฟ อีเวนต์ 3.การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านงานวิจัย 4.การสร้างช่องทางการสื่อสารแบบผสมผสาน และ 5.การจัดงานแสดงสินค้า โดยที่ผ่านมาทำรายได้ประมาณ 4-5% จากรายได้รวม แต่คาดว่าในปี 2558 จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% หรือมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท
“ซีเอ็มโอ” ชี้เม็ดเงินไหลเข้าระบบ
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีนโยบายต่างๆ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจนส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งและเอนเตอร์เทนเมนต์ในปี 2557 อาจยังคงรักษาระดับการเติบโตประมาณ 12% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท
ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งและเอนเตอร์เทนเมนต์ได้รับความกดดันจากภาวะทางการเมืองสูงมาก จนต้องตกอยู่ในภาวะถดถอยและมียอดขายน้อยลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 15-20% ซึ่งถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ในช่วงไตรมาสที่สามและสี่เริ่มมีเม็ดเงินเข้าสู่ธุรกิจเป็นจำนวนมากกว่าช่วงเดียวกันกว่า 10% และคาดว่าจะส่งผลดีต่อเนื่องจนถึงปี 2558 โดยกลุ่มสินค้าที่มีการใช้งบประมาณด้านอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งและเอนเตอร์เทนเมนต์เป็นจำนวนมาก ได้แก่ รถยนต์ การสื่อสาร การเงิน และบันเทิง
“สำหรับธุรกิจเอนเตอร์เทนด้านการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินต่างๆทั้งในประเทศและจากต่างประเทศต้องถือว่าเริ่มมีบรรยากาศคึกคักมากจนเข้าสู่ภาวะปรกติแล้ว หลังจากช่วงที่ผ่านมาผู้จัดต้องประสบปัญหาเลื่อนและยกเลิกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีการผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ขณะที่ฝ่ายผู้จัดก็พยายามเร่งทำรายได้เพื่อชดเชยส่วนที่หายไปในช่วงครึ่งปีแรก”
คอนเสิร์ตไทยเทศคึกคัก
นายเสริมคุณ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการจัดคอนเสิร์ตในปี 2558 คาดว่าจะเริ่มมีการนำเข้าคอนเสิร์ตจากต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งคาดว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10 คอนเสิร์ต ส่วนคอนเสิร์ตของศิลปินในประเทศจะเริ่มเน้นงานด้านโปรดักชั่นขนาดใหญ่และมีศักยภาพเท่าประเทศเกาหลีใต้มากขึ้น
ล่าสุด CMO ร่วมมือกับบริษัท แซ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด จัดตั้ง “กิจการร่วมค้า ซีเอ็มโอ-แซ๊ป” (CMO-ZAAP Joint Venture) เพื่อให้บริการงานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์จัดกิจกรรมอีเวนต์คอนเสิร์ตและสเปเชียลอีเวนต์ โดยทำงานร่วมกันแล้ว 2 งานใหญ่คือ Single Festival ครั้งที่ 1 และ Full Moon Party Live in Bangkok ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.2 หมื่นคน ขณะนี้เตรียมจัดงาน Single Festival ครั้งที่ 2 วันที่ 15 พ.ย.57 ณ ไบเทค บางนา โดยใช้งบประมาณ 15 ล้านบาท
“จากความสำเร็จการจัดงาน 2 ครั้งที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าตลาดการจัดงานคอนเสิร์ตยังมีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตสูง เพราะกลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่น นักศึกษา และวัยทำงานตอนต้นที่มีอายุ 15-35 ปีที่ชอบปาร์ตี้และรักความสนุกสนาน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความรู้และกำลังซื้อ แต่ยังไม่มีภาระเรื่องครอบครัวจึงทำให้กล้าจับจ่ายใช้สอยเพื่อความบันเทิง”
ซีเอ็มโอวางเป้าเป็นผู้จัดมากขึ้น
นายเสริมคุณ กล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา CMO เป็นผู้ทำงานด้านโปรดักชั่นเบื้องหลังคอนเสิร์ตใหญ่ๆ รวมถึงรายการโทรทัศน์หลายรายการ แต่จากนี้ไปจะผันตัวมาเป็นผู้จัดเองมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายให้ CMO-ZAPP เป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์ (Trend Setter) ที่มีแบรนด์เป็นของตัวเองในอุตสาหกรรมดนตรีและการจัดคอนเสริ์ตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดตลาดต่างประเทศแห่งแรกที่ประเทศเมียนมาร์ในเร็วๆ นี้
สำหรับผลประกอบการของ CMO ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงไตรมาสที่สามเช่นเดียวภาพรวมของตลาด โดยคาดว่าจะทำรายได้ใกล้เคียงกับปี 2556 คือประมาณ 1.1 พันล้านบาท โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณ 5% แต่บริษัทฯ มีเป้าหมายว่าจะเพิ่มเป็น 20% พร้อมขึ้นเป็นผู้นำตลาดในประเทศภายใน 3 ปี
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งในปี 2557 ว่า หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจทำให้การเติบโตลดลง 20% ช่วง 3 ไตรมาสแรก แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปรกติและเชื่อว่าจะตลาดจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง อาจจะเติบโตประมาณ 15% คิดเป็นมูลค่า 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทได้
ธุรกิจต่างๆเร่งอัดงบ
สัญญาณดังกล่าวเริ่มส่งผลดีตั้งแต่เดือนกันยายน ด้านกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นกลับคืนมา ทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ เร่งใช้งบประมาณที่ค้างมาตั้งแต่ต้นปีเพื่อรุกการตลาดและเร่งทำยอดขายกลับคืนมา โดยภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มดีคือกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภคคือ กลุ่มเครื่องดื่มที่แข่งขันรุนแรงและกลุ่มรถยนต์ที่เริ่มนำแคมเปญใหม่ๆมากระตุ้นผู้บริโภค โดยเฉพาะ “โตโยโต้า” ที่ออกแคมเปญผ่อน 0% นาน 4 ปี ถือเป็นปรากฏการณ์ทางการตลาดที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
ปัจจัยสำคัญอีกคือ นโยบายต่างๆของรัฐบาล “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2557 แตกต่างจากวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบคือกลุ่มนักธุรกิจ แต่ครั้งนี้ผู้ได้รับผลกระทบอยู่ในวงกว้างตั้งแต่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยขึ้นไปจนถึงผู้มีรายได้ปานกลาง ดังนั้นการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคให้เริ่มฟื้นกลับคืนมาจึงมีผลสำคัญที่จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยในปี 2558 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น
“ไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 เป็นช่วงสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องเร่งทำยอดขายเพื่อไม่ให้ผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้ามากนัก แต่การเลือกใช้สื่อเพื่อดำเนินกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้สื่อประเภทอื่นๆ มากขึ้นจากเดิมที่เน้นใช้สื่อโทรทัศน์เป็นหลัก เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มั่นใจเรื่องระบบทีวีดิจิตอล ธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง ช่วงนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงเป้าหมาย”
“อินเด็กซ์” คาดเติบโต 15%
ในส่วนของ “อินเด็กซ์” คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% จากรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาทในปี 2556 เพราะมีงานที่หลากหลาย ทั้งยังได้ปรับแผนงานโดยเน้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเมียนมาร์ ซึ่งประชาชนเริ่มมีกำลังซื้อสูงขึ้นและเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้มีธุรกิจจากประเทศไทยและระดับโลกเข้าไปทำตลาดมากขึ้น เช่น สินค้าประเภทต่างๆหลายแบรนด์ เช่น โทรทัศน์จอโค้ง สมาร์ทโฟน รถยนต์ และอื่นๆ เข้าไปเปิดตัวสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นหลังจากที่เปิดตัวในประเทศไทยไม่นาน
“ทุกวันนี้สินค้าหลายชนิดในเมียนมาร์เริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์จากเดิมที่เป็นตลาดมือสองเริ่มพัฒนาเป็นตลาดรถยนต์ใหม่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มเติบโตหลังจากที่รัฐบาลเพิ่งให้การอนุมัติก่อสร้างอาคารสูงประมาณ 450 แห่ง ธุรกิจผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือก็เริ่มมีการใช้งบประมาณทำการตลาดเป็นจำนวนมาก”
ทั้งนี้ “อินเด็กซ์” เริ่มดำเนินธุรกิจในเมียนมาร์ตั้งแต่ปี 2554 ใน 5 กลุ่มหลักคือ 1.อีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง 2. เฟสทีฟ อีเวนต์ 3.การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านงานวิจัย 4.การสร้างช่องทางการสื่อสารแบบผสมผสาน และ 5.การจัดงานแสดงสินค้า โดยที่ผ่านมาทำรายได้ประมาณ 4-5% จากรายได้รวม แต่คาดว่าในปี 2558 จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% หรือมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท
“ซีเอ็มโอ” ชี้เม็ดเงินไหลเข้าระบบ
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีนโยบายต่างๆ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจนส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งและเอนเตอร์เทนเมนต์ในปี 2557 อาจยังคงรักษาระดับการเติบโตประมาณ 12% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท
ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาธุรกิจอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งและเอนเตอร์เทนเมนต์ได้รับความกดดันจากภาวะทางการเมืองสูงมาก จนต้องตกอยู่ในภาวะถดถอยและมียอดขายน้อยลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 15-20% ซึ่งถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ในช่วงไตรมาสที่สามและสี่เริ่มมีเม็ดเงินเข้าสู่ธุรกิจเป็นจำนวนมากกว่าช่วงเดียวกันกว่า 10% และคาดว่าจะส่งผลดีต่อเนื่องจนถึงปี 2558 โดยกลุ่มสินค้าที่มีการใช้งบประมาณด้านอีเวนต์มาร์เก็ตติ้งและเอนเตอร์เทนเมนต์เป็นจำนวนมาก ได้แก่ รถยนต์ การสื่อสาร การเงิน และบันเทิง
“สำหรับธุรกิจเอนเตอร์เทนด้านการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินต่างๆทั้งในประเทศและจากต่างประเทศต้องถือว่าเริ่มมีบรรยากาศคึกคักมากจนเข้าสู่ภาวะปรกติแล้ว หลังจากช่วงที่ผ่านมาผู้จัดต้องประสบปัญหาเลื่อนและยกเลิกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีการผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ขณะที่ฝ่ายผู้จัดก็พยายามเร่งทำรายได้เพื่อชดเชยส่วนที่หายไปในช่วงครึ่งปีแรก”
คอนเสิร์ตไทยเทศคึกคัก
นายเสริมคุณ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการจัดคอนเสิร์ตในปี 2558 คาดว่าจะเริ่มมีการนำเข้าคอนเสิร์ตจากต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งคาดว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10 คอนเสิร์ต ส่วนคอนเสิร์ตของศิลปินในประเทศจะเริ่มเน้นงานด้านโปรดักชั่นขนาดใหญ่และมีศักยภาพเท่าประเทศเกาหลีใต้มากขึ้น
ล่าสุด CMO ร่วมมือกับบริษัท แซ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด จัดตั้ง “กิจการร่วมค้า ซีเอ็มโอ-แซ๊ป” (CMO-ZAAP Joint Venture) เพื่อให้บริการงานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์จัดกิจกรรมอีเวนต์คอนเสิร์ตและสเปเชียลอีเวนต์ โดยทำงานร่วมกันแล้ว 2 งานใหญ่คือ Single Festival ครั้งที่ 1 และ Full Moon Party Live in Bangkok ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.2 หมื่นคน ขณะนี้เตรียมจัดงาน Single Festival ครั้งที่ 2 วันที่ 15 พ.ย.57 ณ ไบเทค บางนา โดยใช้งบประมาณ 15 ล้านบาท
“จากความสำเร็จการจัดงาน 2 ครั้งที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าตลาดการจัดงานคอนเสิร์ตยังมีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตสูง เพราะกลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่น นักศึกษา และวัยทำงานตอนต้นที่มีอายุ 15-35 ปีที่ชอบปาร์ตี้และรักความสนุกสนาน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความรู้และกำลังซื้อ แต่ยังไม่มีภาระเรื่องครอบครัวจึงทำให้กล้าจับจ่ายใช้สอยเพื่อความบันเทิง”
ซีเอ็มโอวางเป้าเป็นผู้จัดมากขึ้น
นายเสริมคุณ กล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา CMO เป็นผู้ทำงานด้านโปรดักชั่นเบื้องหลังคอนเสิร์ตใหญ่ๆ รวมถึงรายการโทรทัศน์หลายรายการ แต่จากนี้ไปจะผันตัวมาเป็นผู้จัดเองมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายให้ CMO-ZAPP เป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์ (Trend Setter) ที่มีแบรนด์เป็นของตัวเองในอุตสาหกรรมดนตรีและการจัดคอนเสริ์ตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดตลาดต่างประเทศแห่งแรกที่ประเทศเมียนมาร์ในเร็วๆ นี้
สำหรับผลประกอบการของ CMO ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงไตรมาสที่สามเช่นเดียวภาพรวมของตลาด โดยคาดว่าจะทำรายได้ใกล้เคียงกับปี 2556 คือประมาณ 1.1 พันล้านบาท โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณ 5% แต่บริษัทฯ มีเป้าหมายว่าจะเพิ่มเป็น 20% พร้อมขึ้นเป็นผู้นำตลาดในประเทศภายใน 3 ปี