xs
xsm
sm
md
lg

บึ้มมาเลย์ไม่เกี่ยว"คุยสันติสุข" วางตัว"อักษรา เกิดผล"หน.ทีม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (9 ต.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงเหตุระเบิดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ (9 ต.ค.) ว่า ได้รับรายงานแล้ว และได้เรียนกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ซึ่งรัฐบาลได้แสดงความห่วงใยต่อรัฐบาลมาเลเซีย ส่วนหญิงไทยที่ได้รับบาดเจ็บนั้น เราจะติดตามดูแลต่อไป ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ พร้อมจะเกิดได้ทุกที่ เราต้องให้กำลังใจกัน เพราะเป็นปัญหาด้านความมั่นคง เราต้องมีประชาธิปไตยที่ดูแลคนทุกฝ่ายได้ ไม่ทะเลาะขัดแย้งกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุมาจากการก่อการร้าย ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่าเรียกว่าก่อการร้าย เรียกว่าการใช้ยุทธวิธีความรุนแรง ใช้อาวุธสงคราม การที่จะไประบุว่า ก่อการร้าย บางครั้งจะไปเข้ากับเงื่อนไขของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆได้ จึงต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนก่อน ในฐานะที่เราไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรง มันอาจจะเป็นการชักนำให้คนเหล่านี้เข้ามาในประเทศเรา
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ลักษณะนี้ ในประเทศไทยก็มี อย่างเช่น สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บางครั้งไม่ใช่เรื่องของผู้เห็นต่างอย่างเดียว แต่มีการทำทุจริตผิดกฎหมายด้วย ทำให้เกิดเหตุรุนแรงขึ้น ทั้งหมดต้องพิสูจน์ทราบก่อน จึงอยากฝากสื่อมวลชนไว้ด้วย
"ผมคิดว่าวันนี้ ถ้าประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้ ต้องไม่มีอคติกับใคร เราต้องช่วยกัน ว่าทำอย่างไรปัญหาภายในประเทศเราถึงจะลดลงไป ทำให้ชื่อเสียงประเทศดีขึ้น ปัญหาในบ้านเราอย่าทำให้ออกไปข้างนอกมากนัก สื่อต่างชาติเขาตามดูอยู่ อาจส่งผลต่อการค้าการท่องเที่ยว" นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศมาเลเซีย ถือว่าน่าเป็นห่วงที่จะส่งผลต่อสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้มีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าเขาจะเปิดเผยตัวเมื่อไร เราเองก็ร่วมมือกับมาเลเซียมาตลอด อะไรที่เป็นปัญหา
ระหว่าง 2 ประเทศ ต้องพูดคุยกัน กับผู้ที่ความเห็นต่าง ในหลายๆประเทศที่เป็นประชาธิปไตย การที่จะเราจะจำกัดสิทธิ หรือการเข้าตรวจค้นนั้นเป็นไปได้อย่างลำบาก เพราะว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าในประเทศที่เจริญแล้ว คงไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม เราก็เฝ้าระวังสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้อยู่แล้ว แต่เหตุก็ต้องเกิดขึ้นสักวัน ต้องดูว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป อย่าบอกว่าเราไม่ระวัง ระวังอย่างไรมันก็เกิด เมื่อยังมีคนคิดจะก่อเหตุอยู่ จะให้เฝ้าระวังทุกวินาทีก็คงไม่ได้ ซึ่งมี 2 วิธีคือ ป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุ จะดีกว่าเกิดเหตุแล้วไปสอบสวน แก้ไขทีหลัง ฉะนั้นเราทำทุกอย่างในเรื่องของการป้องกันป้องปราม ส่วนการสืบสวนก็ว่ากันด้วยหลักฐาน เราจะไปวิเคราะห์คดีกันเองว่าใช่หรือไม่ ก็ไปเสียหายกับประเทศ

** ไม่เกี่ยวแผนพูดคุยสันติสุข

เมื่อถามว่า เหตุระเบิดที่มาเลเซีย จะส่งผลกับการพูดคุยสันติสุข หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยว เป็นคนละเรื่องกัน การพูดคุยสันติสุขนั้นเป็นปัญหาของประเทศเรา และมาเลเซียก็ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งจะเห็นว่าการพูดคุยสันติสุขนั้น คู่ขัดแย้งคือคนไทยด้วยกัน โดยมาเลเซียไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายใน เพียงแต่เป็นการแสวงหาความร่วมมือซึ่งกันและกัน และมาเลเซียอยู่ในฐานะผู้อำนวยความสะดวก ซึ่งเราเตรียมคณะในการพูดคุยไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องรอให้ตนพูดคุยกับ นาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ถึงความพร้อมระหว่างรัฐบาล เพื่อให้ความสมบูรณ์ในทุกมิติ โดยคณะพูดคุยนั้นจะแยกเป็นในแต่ละกลุ่มปัญหา
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยระหว่างกันกับมาเลเซียมาโดยตลอด แต่ไม่ได้เปิดเผย ทั้งในนาม ครม. และกองทัพ โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ได้มีการพูดคุยในทางลับ กำลังทำเรื่องดังกล่าวอยู่ เพื่อไม่ให้บานปลายและเป็นผลให้ผู้ก่อความไม่สงบกลับมา แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่มั่นใจ ถ้าเราดึงคนเหล่านี้มาได้มากขึ้น บุคคลในระดับแกนนำจะลดลง สำหรับหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข ขณะนี้กำลังเตรียมการอยู่ ทั้งฝ่ายกองทัพและพลเรือน ฝ่ายทหารคือ พล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานที่ปรึกษากองทัพบก ส่วนฝ่ายพลเรือนนั้นกำลังคิดอยู่ ทั้งนี้การแก้ปัญหาระหว่างไทยกับมาเลเซีย เป็นไปคนละแบบ ถ้าเป็นความมั่นคงของไทยต้องเป็นกอ.รมน. ใช้ทหารเป็นหลัก แต่ทางมาเลเซีย จะให้ทหารดูแลพื้นที่ชายแดน แต่ในประเทศจะเป็นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทั้งหมดต้องคุยรายละเอียดกับนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย อีกครั้ง

**ผบ.ทบ.ลั่น1ปีความรุนแรงลด 50 %

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการดูแลความสงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงเดือนตุลาคม ที่มีวันเชิงสัญลักษณ์ว่า การปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นวันใด แต่ตนได้กำชับกับเจ้าหน้าที่ทุกครั้งว่า ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการผลัดเปลี่ยนกำลังพล และการปฏิบัติงานต้องจริงจังที่สามารถจับต้องเป็นรูปธรรมได้
อย่างไรก็ตามจากสถิติที่ผ่านมา เหตุการณ์ในพื้นที่ก็สามารถควบคุมได้มากขึ้น โดยเฉพาะในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยอมรับว่ายังมีเหตุการณ์อยู่ ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้มอบนโยบายว่า 1 ปีต่อจากนี้ไป การควบคุมสถานการณ์ต้องดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตนได้นำเอานโยบายดังกล่าวนำไปสู่การปฏิบัติของกำลังพลในพื้นที่ โดยให้ควบคุมเหตุการณ์ให้ได้ 50 % อย่างไรก็ตาม ต้องอยู่ที่ความร่วมมือของทุกภาคส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ด้วย
นอกจากนี้ ทางพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) เพื่อติดตามความคืบหน้าของงานในทุกกระทรวง ทบวง กรม ตามแผนงานประจำปีที่กำหนดว่า แต่ละไตรมาสจะต้องทำแผนงานการช่วยเหลือประชาชน เพื่อเสริมสร้างงานในทุกด้าน รวมถึงการดูแลความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน หากทำได้ตามนี้ ตนเชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า ตนได้เน้นย้ำการพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ โดยได้จัดตั้งเจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินงานเรื่องมวลชน ในส่วนของการปฏิบัติก็จะเน้นงานทั้งเชิงรุก และเชิงรับ โดยการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ ตลอดจนการทำความเข้าใจกับผู้ที่มีความเห็นต่าง หรือผู้ที่ก่อเหตุในพื้นที่ ในเรื่องนี้ตนได้กำชับเจ้าหน้าที่ไปว่า การทำความเข้าใจต้องทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่พูดปากเปล่า ซึ่งตนได้จัดตั้งคณะทำงานที่จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบว่า การพูดคุยกับผู้ที่เห็นต่างนั้น ต้องเข้าถึงจริงๆ และสามารถจับต้องได้
"ผมยอรับว่า ผู้ที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่เป็นกลุ่มที่มีความคิด และอุดมการณ์ เป็นเรื่องยากที่จะไปเปลี่ยนความคิดของเขา แต่เราก็จะพยายาม ทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ส่วนความคืบหน้าการพูดคุยสันติสุขในพื้นที่ภาคใต้ ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้มองตัวบุคคลไว้แล้ว แต่จะเป็นพล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานที่ปรึกษากองทัพบก หรือไม่นั้น ผมยังไม่ขอเปิดเผยชื่อ เพราะเรื่องดังกล่าวต้องรอให้ท่านนายกฯ เซ็นอนุมัติก่อน แต่ทราบว่าท่านได้มีการหารือกับ พล.อ.ประวิตร แล้ว ซึ่งทราบว่าจะสามารถเปิดเผยชื่อคนที่จะเป็นหัวหน้าชุดพูดคุยสันติสุขได้เร็วๆ นี้ โดยคณะพูดคุยจะมีทั้งหมด 10 คน จากเดิมที่มี 15 คน เป็นการปรับลดจำนวนลงเพื่อให้เกิดความเหมาะสม" พล.อ.อุดมเดช กล่าว
พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อ ว่า นอกจากนี้ยังได้กำหนดตัวบุคลที่จะมาเป็นทีมงานไว้แล้ว ซึ่งถ้าทุกอย่างชัดเจน ก็จะเดินตามแผนงานที่กำหนดไว้ ทั้งนี้การพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุข ไม่ใช่พวกเราฝ่ายเดียว แต่ต้องดูที่ผู้อำนวยความสะดวก อย่างประเทศมาเลเซีย ว่าสามารถติดต่อกับกลุ่มต่างๆ ให้มีความพร้อมในการพูดคุยกับเราหรือไม่ และถ้ามีความชัดเจน และลงตัว ต่อไปก็น่าจะมีการพบปะกัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวนายกฯไม่ได้นิ่งนอนใจ ทว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน และกระบวนการ

** เตรียมประเมินผลงานทุก 3 เดือน

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในภาพรวมดีขึ้นตามลำดับ แม้ว่าในเดือนต.ค.นี้ จะมีวันเชิงสัญลักษณ์หลายวัน แต่ทางการข่าวพบว่า มีความเคลื่อนไหวเบาบางกว่าทุกปี แม้ว่าผู้ก่อเหตุความไม่สงบยังจ้องฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ตามโอกาส ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลในการเปิดพื้นที่พูดคุยกับกลุ่มที่เห็นต่าง
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มี 7 กลุ่มงาน ซึ่งถือว่าครบทุกมิติ และได้ครอบคลุมทั้งเรื่องทางการเมือง การทหาร การพัฒนา คุณภาพชีวิต และการให้ความเป็นธรรม โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. ได้ประกาศตั้งเป้าลดระดับสถิติความรุนแรงให้ลดลงร้อยละ 50 ต่อปี โดยทางเจ้าหน้าที่จะประเมินผลการดำเนินงานทุก 3 เดือน หลังจากนี้จะมีการปรับรูปแบบการใช้กำลังทหารในพื้นที่จากเดิมที่มีการใช้กำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 1 จำนวน 1 กองร้อย กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 1กองร้อย กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 3 กองร้อย และกองทัพภาคที่ 4 จำนวน 11 กองร้อย
สำหรับโครงสร้างของ กอ.รมน. ในขณะนี้ มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เป็น ผอ.รมน. พล.อ.อุดมเดช เป็น รอง ผอ.รมน. พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เสนาธิการทหารบก เป็นเลขาธิการ กอ.รมน. พร้อมกันนี้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 ได้มีการแก้อัตราของกองทัพบกทำให้ส่วนบริหารในตำแหน่งรองเลขาธิการกอ.รมน. มี 3 อัตรา ในส่วนของรองเสนาธิการทหารบก ได้แก่ พล.ท.ภาณุวัชร นาควงษม์ พล.ท.พิสิทธิ์ สิทธิสาร และ พล.ท.วิวรรธน์ สุชาติ
กำลังโหลดความคิดเห็น