นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปร่วมการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2557 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 9-12 ตุลาคม 2557 ณ สำนักงานใหญ่ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา และก่อนหน้านั้น รมว.คลัง จะเข้าร่วมงาน THAI-Forum เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยต่อนักลงทุนสหรัฐฯ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 8 ตุลาคม 2557
การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศปีนี้จะเป็นการประชุมร่วมระหว่างผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศของสมาชิก 188 ประเทศ โดยแนวคิดหลักของการประชุมในปีนี้ ได้แก่ การส่งเสริมการสร้างความมั่งคั่งร่วมกันในโลกที่ไม่เท่าเทียมกัน : ความท้าทายหลักและบทบาทของธนาคารโลก ที่มีเป้าหมายสำคัญในการลดความยากจน และสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก 2 ประการ ของธนาคารโลกที่ได้ประกาศไว้ โดย รมว.คลัง จะกล่าวสุนทรพจน์ เกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจไทยและและมุมมองต่อการดำเนินงานของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ รมว.คลัง มีกำหนดเข้าร่วมการประชุมของ รมต.คลังอาเซียน 10 ประเทศ และกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับพัฒนาการของเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน และความร่วมมือกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศในภูมิภาค และในโอกาสนี้ รมว.คลัง จะเข้าร่วมในพิธีลงนามในความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาค (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office:AMRO) ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ได้แก่
ประเทศกลุ่มอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้ร่วมกันจัดทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับ AMRO จากสถานะบริษัทจำกัดขึ้นเป็นองค์การระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในการเป็นหน่วยงานติดตาม ประเมิน และเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+3 และสนับสนุนการดำเนินงานของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี(Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ซึ่งเป็นกลไกการให้ความช่วยเหลือที่สำคัญในภูมิภาค
ทั้งนี้ คณะผู้แทนไทยมีกำหนดหารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือและสถาบันการเงินระหว่างประเทศชั้นนำต่างๆ อาทิ Standard Chartered Bank, Barclays Bank, HSBC เป็นต้น ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้ให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาคมโลกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของไทย ตลอดจนนำเสนอแนวนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลที่จะมุ่งพัฒนาประเทศในระยะต่อไป
การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศปีนี้จะเป็นการประชุมร่วมระหว่างผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศของสมาชิก 188 ประเทศ โดยแนวคิดหลักของการประชุมในปีนี้ ได้แก่ การส่งเสริมการสร้างความมั่งคั่งร่วมกันในโลกที่ไม่เท่าเทียมกัน : ความท้าทายหลักและบทบาทของธนาคารโลก ที่มีเป้าหมายสำคัญในการลดความยากจน และสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก 2 ประการ ของธนาคารโลกที่ได้ประกาศไว้ โดย รมว.คลัง จะกล่าวสุนทรพจน์ เกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจไทยและและมุมมองต่อการดำเนินงานของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ รมว.คลัง มีกำหนดเข้าร่วมการประชุมของ รมต.คลังอาเซียน 10 ประเทศ และกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับพัฒนาการของเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน และความร่วมมือกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศในภูมิภาค และในโอกาสนี้ รมว.คลัง จะเข้าร่วมในพิธีลงนามในความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาค (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office:AMRO) ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ได้แก่
ประเทศกลุ่มอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้ร่วมกันจัดทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับ AMRO จากสถานะบริษัทจำกัดขึ้นเป็นองค์การระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในการเป็นหน่วยงานติดตาม ประเมิน และเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+3 และสนับสนุนการดำเนินงานของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี(Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ซึ่งเป็นกลไกการให้ความช่วยเหลือที่สำคัญในภูมิภาค
ทั้งนี้ คณะผู้แทนไทยมีกำหนดหารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือและสถาบันการเงินระหว่างประเทศชั้นนำต่างๆ อาทิ Standard Chartered Bank, Barclays Bank, HSBC เป็นต้น ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้ให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาคมโลกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของไทย ตลอดจนนำเสนอแนวนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลที่จะมุ่งพัฒนาประเทศในระยะต่อไป