**รูดม่านปิดฉากไปแล้ว สำหรับมหกรรมกีฬาแห่งภูมิภาคเอเชีย หรือเอเชี่ยนเกมส์ 2014 “อินชอนเกมส์”ที่ประเทศเกาหลีใต้
เจ้าเหรียญทองครั้งนี้ ยังคงเป็นเจ้าเก่าหน้าเดิม อภิมหาอำนาจทางกีฬาอย่างมังกรจีน ยากที่ใครจะเทียบเทียมได้อีกหลายทศวรรษ หลังสามารถโกยเหรียญกลับบ้านได้เป็นกอบเป็นกำ 342 เหรียญ ทอง 151 เหรียญ เงิน 108 เหรียญ และ ทองแดง 83 เหรียญ
ขณะที่เจ้าภาพอย่างโสมขาว แม้จะได้เปรียบเรื่องสถานที่ ความคุ้นชิน และปัจจัยต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์มากกว่า แต่ยังเป็นรองจีนอยู่หลายช่วงตัว โดยสามารถคว้าเหรียญรางวัลไปได้แค่ 234 เหรียญ ทอง 79 เงิน 71 และทองแดง 84 จบเพียงลำดับที่ 2
** สำหรับประเทศไทยเอง ถ้าดูจากจำนวนเหรียญที่ได้ ถือว่าอยู่ในระดับประสบความสำเร็จ ให้คะแนนจัดว่า “ใช้ได้”สามารถเอากลับมาเป็นของขวัญให้กองเชียร์ไทย ที่เกาะติดอยู่หน้าจอ และที่ข้ามฟ้าไปตะโกนเชียร์ถึงขอบสนามถึง 47 เหรียญ ทอง 12 เหรียญ เงิน 7 เหรียญ ทองแดง 28 เหรียญ
กีฬาที่ไทยสามารถประกาศศักดา คว้าเหรียญทองมาได้ ส่วนใหญ่เป็นไปตามเป้า เช่น ตระกร้อ มวย เทควันโด และ ที่มีแบบเซอร์ไพร์ส อย่าง โบลิ่ง จักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ จักรยาน เรือใบ หรือแม้แต่ เทนนิสหญิงคู่
ขณะที่กีฬามหาชน อย่างวอลเลย์บอลหญิง และฟุตบอลชาย แม้จะไม่ผงาดถึงขั้นคว้าเหรียญทอง แต่ก็สร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะทีมลูกยางสาวไทย ที่คว้าเหรียญรางวัลได้เป็นครั้งแรก ขณะที่ทีมลูกหนังชาย แม้จะไร้เหรียญติดมือกลับมา แต่รายการอินชอนเกมส์ครั้งนี้ ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ ที่คืนความสุขให้กับแฟนช้างศึกอย่างแท้จริง เพราะเล่นด้วยลีลาเอนเตอร์เทนคนดู ไม่น่าเบื่อ ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ทั้งที่ช่วงที่ผ่านมา เจอสารพัดปัญหามากมาย ทั้งภายในสมาคมเอง หรือจำนวนแฟนบอลที่ลดลงจากอันดับโลกของไทยที่หล่นกราวรูด จบรายการนี้ วงการ ฟุตบอลไทย น่าจะมีแฟนตามไปเชียร์กันเยอะขึ้นแน่
อย่างไรก็ดี แม้จำนวนเหรียญในอินชอนเกมส์ครั้งนี้ เมื่อเทียบกับเอเชี่ยนเกมส์ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ประเทศจีน ที่โกยเหรียญได้ทั้งหมด 52 เหรียญ จะมากกว่าครั้งนี้ แต่หากวัดจากจำนวนเหรียญทองที่เราคว้าได้ 12 เหรียญ ในขณะที่ครั้งก่อนได้ 11 เหรียญ และจะเห็นได้ว่า วงการกีฬาไทยยังขยับไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง มีความหลากหลายด้านกีฬา แล้วดีกว่าเก่าตามลำดับ โดยที่ กวางโจว ประเทศจีน เราจบเพียงอันดับ 9 แต่ครั้งนี้เราเขยิบขึ้นมาเป็น อันดับ 6
กีฬาที่เราเคยประสบความสำเร็จจากครั้งก่อนๆ แม้รอบนี้บางรายการจะผิดหวัง แต่ก็มีรายการอื่นที่แทรกเข้ามาอย่างเหนือความคาดหมายทุกครั้ง ดังจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นกีฬาโอลิมปิกเกมส์ หรือเอเชี่ยนเกมส์ เราจะมีเหรียญเซอร์ไพร์สมาให้คนไทยดีใจเสมอๆ ไม่ผูกติดกับชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป แล้วพอกลับมา กีฬาเซอร์ไพร์สชนิดนั้นก็จะกลับมาบูมในประเทศไทยอย่างมาก
ดูจากกระแสก่อนหน้านี้อย่างเทควันโดเป็นกรณีศึกษา เที่ยวนี้แทบจะฟันธงไปเลยว่า กีฬาจักรยาน จะกลายเป็นกีฬายอดนิยมอีกชนิด ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บ้านเราเริ่มนิยมกันมาสักพักแล้วด้วย แต่ยังไม่แพร่หลายขนาดฟีเวอร์
**ที่สำคัญอินชอนเกมส์ครั้งนี้ เรายังสามารถประกาศศักดาการเป็นเบอร์หนึ่งในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ทางด้านกีฬา ด้วยการเป็น 1 เดียวจากอาเซียน ที่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของประเทศที่คว้าเหรียญรางวัลมากที่สุดในครั้งนี้ โดยได้อันดับ 6 อยู่เหนือชาติมหาอำนาจทางกีฬาในเอเชียหลายประเทศ ในขณะที่เพื่อนบ้านเราอย่าง มาเลเซีย จบอันดับ 14 สิงคโปร์จบอันดับ 15 อินโดนีเซียจบอันดับ 17 เมียนมาร์จบอันดับ 20 และเวียดนาม จบอันดับ 21
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จในกีฬาอินชอนเกมส์ครั้งนี้ มีความน่าสนใจและสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติทางการเมือง เพราะทั้งที่ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น สถานการณ์ในบ้านเราประสบปัญหาความขัดแย้งมาเป็นเวลาเกือบแรมปี มีผู้ชุมนุมหลักล้านมาปักหลักขับไล่รัฐบาลอยู่กลางใจเมืองหลวง มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นหลายจุด การท่องเที่ยวหล่นลงเหว หลายสิ่งหลายอย่างหยุดชะงักลง และเพิ่งจะค่อยๆ เริ่มสู่ระยะฟื้นตัวเมื่อไม่นานมานี้ แต่เราสามารถโกยเหรียญกลับบ้านมาได้อย่างมากมาย
อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ประชากรในประเทศเราแท้จริงนั้นมีศักยภาพที่ดีอยู่แล้ว ขาดแต่เพียงการพัฒนาอย่างจริงจังเท่านั้นที่อาจทำให้เราประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้
กระนั้นก็ดี อีกจุดที่น่าสนใจคือ ในขณะที่กีฬาของเราประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ กีฬาหลายอย่างพัฒนาอย่างน่าใจหาย ไม่จำกัดอยู่แค่กีฬาบางประเภท ที่เราเคยครองความยิ่งใหญ่ แต่ในมิติที่ใกล้เคียงกันอย่างการศึกษา เรากลับถอยหลังลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับชาติอาเซียนที่มีเราเหนือกว่าทางด้านกีฬา เราหยุดอยู่กับที่ บางอย่างโดนแซงหน้า ไม่มีความหลากหลาย ยังคงยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ไม่มีการพัฒนา หรือประยุกต์อะไรใหม่ๆ เข้ามา
เราติดกรอบแบบเดิมมากเกินไป นี่เป็นปัญหาที่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในยุคนี้ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่จะเข้ามารื้อระบบใหม่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไร โดยอาจนำเอาเรื่องกีฬาในช่วงหลายปีที่ผ่านมามาเป็นกรณีศึกษาว่า ทำไมเยาวชนเราจึงชอบ จึงสนุก และมีพัฒนาการที่ดี ในขณะที่เรื่องการศึกษา ไม่ว่าเราจะจับยัดหลักสูตรอะไรเข้าไปก็ดูไม่ตรงจุดเอาเสียเลย
อย่าคิดว่า ไทยด้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในทุกๆ ด้าน และไม่มีวันพัฒนาได้แบบต่างประเทศ อย่ายึดติดภาพเดิมๆว่า จะต้องเดินตามเขา ยึดเอาอย่างเขา คิดว่าเขาดีเด่นที่สุด แต่ต้องคิดแบบบูรณาการอย่างไทย งัดเอาหลายสิ่งที่สอดคล้องมาใช้ว่า อะไรเหมาะกับคนไทย บางอย่างไม่ต้องเลียนแบบทุกเรื่องก็ได้
**อย่างกรณีเกาหลีใต้ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก
โดยรอบนี้ถูกด่าระงมว่า เป็น “โกงหลีใต้”ทั้งที่ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ปราศจากคอร์รัปชัน นักการเมืองมีความรับผิดชอบสูง แต่ในวงการกีฬาแล้ว โสมขาวกลับถูกตราหน้าว่า เป็นชาติที่โกงลำดับต้นๆ ตั้งแต่ฟุตบอลโลก ที่เป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่น มาถึงกีฬาแห่งภูมิภาคเอเชียครั้งนี้
นั่นแสดงให้เห็นว่า เกาหลีใต้ไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรีไปทุกอย่าง อย่างที่คนไทยชอบให้ภาพลักษณ์แบบนั้น แต่ก็มีมุมมืดในวงการกีฬาที่ยังต้องพัฒนาอยู่เหมือนกัน
**จากการแข่งขันในครั้งนี้มันพิสูจน์ให้เห็นว่า การโกงแม้แต่นิดเดียว ก็ยากที่จะยอมรับได้ หลายประเทศรุมประณามเจ้าภาพจนทุกคนลืมความโปร่งใสในแวดวงการเมืองของเขา
**เพราะขึ้นชื่อว่า “โกง”แม้จะมีแค่เพียงนิด แต่ก็กลบภาพใหญ่เรื่องความดีได้หมดเหมือนกัน
เจ้าเหรียญทองครั้งนี้ ยังคงเป็นเจ้าเก่าหน้าเดิม อภิมหาอำนาจทางกีฬาอย่างมังกรจีน ยากที่ใครจะเทียบเทียมได้อีกหลายทศวรรษ หลังสามารถโกยเหรียญกลับบ้านได้เป็นกอบเป็นกำ 342 เหรียญ ทอง 151 เหรียญ เงิน 108 เหรียญ และ ทองแดง 83 เหรียญ
ขณะที่เจ้าภาพอย่างโสมขาว แม้จะได้เปรียบเรื่องสถานที่ ความคุ้นชิน และปัจจัยต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์มากกว่า แต่ยังเป็นรองจีนอยู่หลายช่วงตัว โดยสามารถคว้าเหรียญรางวัลไปได้แค่ 234 เหรียญ ทอง 79 เงิน 71 และทองแดง 84 จบเพียงลำดับที่ 2
** สำหรับประเทศไทยเอง ถ้าดูจากจำนวนเหรียญที่ได้ ถือว่าอยู่ในระดับประสบความสำเร็จ ให้คะแนนจัดว่า “ใช้ได้”สามารถเอากลับมาเป็นของขวัญให้กองเชียร์ไทย ที่เกาะติดอยู่หน้าจอ และที่ข้ามฟ้าไปตะโกนเชียร์ถึงขอบสนามถึง 47 เหรียญ ทอง 12 เหรียญ เงิน 7 เหรียญ ทองแดง 28 เหรียญ
กีฬาที่ไทยสามารถประกาศศักดา คว้าเหรียญทองมาได้ ส่วนใหญ่เป็นไปตามเป้า เช่น ตระกร้อ มวย เทควันโด และ ที่มีแบบเซอร์ไพร์ส อย่าง โบลิ่ง จักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ จักรยาน เรือใบ หรือแม้แต่ เทนนิสหญิงคู่
ขณะที่กีฬามหาชน อย่างวอลเลย์บอลหญิง และฟุตบอลชาย แม้จะไม่ผงาดถึงขั้นคว้าเหรียญทอง แต่ก็สร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะทีมลูกยางสาวไทย ที่คว้าเหรียญรางวัลได้เป็นครั้งแรก ขณะที่ทีมลูกหนังชาย แม้จะไร้เหรียญติดมือกลับมา แต่รายการอินชอนเกมส์ครั้งนี้ ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ ที่คืนความสุขให้กับแฟนช้างศึกอย่างแท้จริง เพราะเล่นด้วยลีลาเอนเตอร์เทนคนดู ไม่น่าเบื่อ ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ทั้งที่ช่วงที่ผ่านมา เจอสารพัดปัญหามากมาย ทั้งภายในสมาคมเอง หรือจำนวนแฟนบอลที่ลดลงจากอันดับโลกของไทยที่หล่นกราวรูด จบรายการนี้ วงการ ฟุตบอลไทย น่าจะมีแฟนตามไปเชียร์กันเยอะขึ้นแน่
อย่างไรก็ดี แม้จำนวนเหรียญในอินชอนเกมส์ครั้งนี้ เมื่อเทียบกับเอเชี่ยนเกมส์ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ประเทศจีน ที่โกยเหรียญได้ทั้งหมด 52 เหรียญ จะมากกว่าครั้งนี้ แต่หากวัดจากจำนวนเหรียญทองที่เราคว้าได้ 12 เหรียญ ในขณะที่ครั้งก่อนได้ 11 เหรียญ และจะเห็นได้ว่า วงการกีฬาไทยยังขยับไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง มีความหลากหลายด้านกีฬา แล้วดีกว่าเก่าตามลำดับ โดยที่ กวางโจว ประเทศจีน เราจบเพียงอันดับ 9 แต่ครั้งนี้เราเขยิบขึ้นมาเป็น อันดับ 6
กีฬาที่เราเคยประสบความสำเร็จจากครั้งก่อนๆ แม้รอบนี้บางรายการจะผิดหวัง แต่ก็มีรายการอื่นที่แทรกเข้ามาอย่างเหนือความคาดหมายทุกครั้ง ดังจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นกีฬาโอลิมปิกเกมส์ หรือเอเชี่ยนเกมส์ เราจะมีเหรียญเซอร์ไพร์สมาให้คนไทยดีใจเสมอๆ ไม่ผูกติดกับชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป แล้วพอกลับมา กีฬาเซอร์ไพร์สชนิดนั้นก็จะกลับมาบูมในประเทศไทยอย่างมาก
ดูจากกระแสก่อนหน้านี้อย่างเทควันโดเป็นกรณีศึกษา เที่ยวนี้แทบจะฟันธงไปเลยว่า กีฬาจักรยาน จะกลายเป็นกีฬายอดนิยมอีกชนิด ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บ้านเราเริ่มนิยมกันมาสักพักแล้วด้วย แต่ยังไม่แพร่หลายขนาดฟีเวอร์
**ที่สำคัญอินชอนเกมส์ครั้งนี้ เรายังสามารถประกาศศักดาการเป็นเบอร์หนึ่งในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ทางด้านกีฬา ด้วยการเป็น 1 เดียวจากอาเซียน ที่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของประเทศที่คว้าเหรียญรางวัลมากที่สุดในครั้งนี้ โดยได้อันดับ 6 อยู่เหนือชาติมหาอำนาจทางกีฬาในเอเชียหลายประเทศ ในขณะที่เพื่อนบ้านเราอย่าง มาเลเซีย จบอันดับ 14 สิงคโปร์จบอันดับ 15 อินโดนีเซียจบอันดับ 17 เมียนมาร์จบอันดับ 20 และเวียดนาม จบอันดับ 21
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จในกีฬาอินชอนเกมส์ครั้งนี้ มีความน่าสนใจและสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติทางการเมือง เพราะทั้งที่ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น สถานการณ์ในบ้านเราประสบปัญหาความขัดแย้งมาเป็นเวลาเกือบแรมปี มีผู้ชุมนุมหลักล้านมาปักหลักขับไล่รัฐบาลอยู่กลางใจเมืองหลวง มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นหลายจุด การท่องเที่ยวหล่นลงเหว หลายสิ่งหลายอย่างหยุดชะงักลง และเพิ่งจะค่อยๆ เริ่มสู่ระยะฟื้นตัวเมื่อไม่นานมานี้ แต่เราสามารถโกยเหรียญกลับบ้านมาได้อย่างมากมาย
อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ประชากรในประเทศเราแท้จริงนั้นมีศักยภาพที่ดีอยู่แล้ว ขาดแต่เพียงการพัฒนาอย่างจริงจังเท่านั้นที่อาจทำให้เราประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้
กระนั้นก็ดี อีกจุดที่น่าสนใจคือ ในขณะที่กีฬาของเราประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ กีฬาหลายอย่างพัฒนาอย่างน่าใจหาย ไม่จำกัดอยู่แค่กีฬาบางประเภท ที่เราเคยครองความยิ่งใหญ่ แต่ในมิติที่ใกล้เคียงกันอย่างการศึกษา เรากลับถอยหลังลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับชาติอาเซียนที่มีเราเหนือกว่าทางด้านกีฬา เราหยุดอยู่กับที่ บางอย่างโดนแซงหน้า ไม่มีความหลากหลาย ยังคงยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ไม่มีการพัฒนา หรือประยุกต์อะไรใหม่ๆ เข้ามา
เราติดกรอบแบบเดิมมากเกินไป นี่เป็นปัญหาที่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในยุคนี้ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่จะเข้ามารื้อระบบใหม่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไร โดยอาจนำเอาเรื่องกีฬาในช่วงหลายปีที่ผ่านมามาเป็นกรณีศึกษาว่า ทำไมเยาวชนเราจึงชอบ จึงสนุก และมีพัฒนาการที่ดี ในขณะที่เรื่องการศึกษา ไม่ว่าเราจะจับยัดหลักสูตรอะไรเข้าไปก็ดูไม่ตรงจุดเอาเสียเลย
อย่าคิดว่า ไทยด้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในทุกๆ ด้าน และไม่มีวันพัฒนาได้แบบต่างประเทศ อย่ายึดติดภาพเดิมๆว่า จะต้องเดินตามเขา ยึดเอาอย่างเขา คิดว่าเขาดีเด่นที่สุด แต่ต้องคิดแบบบูรณาการอย่างไทย งัดเอาหลายสิ่งที่สอดคล้องมาใช้ว่า อะไรเหมาะกับคนไทย บางอย่างไม่ต้องเลียนแบบทุกเรื่องก็ได้
**อย่างกรณีเกาหลีใต้ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก
โดยรอบนี้ถูกด่าระงมว่า เป็น “โกงหลีใต้”ทั้งที่ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ปราศจากคอร์รัปชัน นักการเมืองมีความรับผิดชอบสูง แต่ในวงการกีฬาแล้ว โสมขาวกลับถูกตราหน้าว่า เป็นชาติที่โกงลำดับต้นๆ ตั้งแต่ฟุตบอลโลก ที่เป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่น มาถึงกีฬาแห่งภูมิภาคเอเชียครั้งนี้
นั่นแสดงให้เห็นว่า เกาหลีใต้ไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรีไปทุกอย่าง อย่างที่คนไทยชอบให้ภาพลักษณ์แบบนั้น แต่ก็มีมุมมืดในวงการกีฬาที่ยังต้องพัฒนาอยู่เหมือนกัน
**จากการแข่งขันในครั้งนี้มันพิสูจน์ให้เห็นว่า การโกงแม้แต่นิดเดียว ก็ยากที่จะยอมรับได้ หลายประเทศรุมประณามเจ้าภาพจนทุกคนลืมความโปร่งใสในแวดวงการเมืองของเขา
**เพราะขึ้นชื่อว่า “โกง”แม้จะมีแค่เพียงนิด แต่ก็กลบภาพใหญ่เรื่องความดีได้หมดเหมือนกัน