วานนี้ (31 ส.ค.) “สวนดุสิตโพล”เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,446 คน ระหว่างวันที่ 28-30 ส.ค.57 ในหัวข้อ “ครม.ประยุทธ์1ในสายตาของประชาชน”โดยพบว่า ข้อดีที่มีทหารจำนวนมากเข้ามาเป็นรัฐมนตรีใน“ครม.ประยุทธ์ 1” นั้น อันดับ 1 ประชาชนเห็นว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบเป็นระเบียบเรียบร้อย 85.48% อันดับ 2 การทำงานเป็นระบบมีประสิทธิภาพ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 81.12% และอันดับ 3 สามารถควบคุมดูแลสั่งการได้ง่าย ทำให้งานต่าง ๆ เดินหน้าได้รวดเร็ว 75.10 %
ส่วนข้อเสีย อันดับ1 เห็นว่าไม่มีการคานอำนาจถ่วงดุล หรือการตรวจสอบที่ชัดเจน 84.02% อันดับ 2 อาจขาดประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้รับในกระทรวงนั้น ๆ 82.43 % และอันดับ 3 กระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในสายตาต่างชาติ 78.42%
ส่วนในหัวข้อประชาชนคิดอย่างไร กรณีที่ไม่มีนักการเมืองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีใน “ครม.ประยุทธ์ 1 ” พบว่า ข้อดี อันดับ 1 คือ ทำให้การทุจริตคอร์รัปชันน้อยลง 81.95 % อันดับ 2ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก 80.57% และอันดับ 3 เป็นการเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆเข้ามาทำงาน ไม่ยึดติดการทำงานแบบเดิม 77.59 %
ส่วนข้อเสียอันดับ 1 ขาดบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานไม่ต่อเนื่อง 81.19% อันดับ 2ไม่มีนักการเมืองทำให้ขาดสีสันครม. ไม่มีความหลากหลาย 76.49% และอันดับ 3 อาจเข้าถึงประชาชนยากขึ้น ไม่มีความคุ้นเคยกับพื้นที่ไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง 71.09%
เมื่อถามว่า กรณีที่รัฐมนตรีบางกระทรวงไม่มีความรอบรู้ และไม่มีความชำนาญของกระทรวงนั้นๆ ควรมีวิธีแก้ไขอย่างไร
อันดับ1 ประชาชนคิดว่า ควรแต่งตั้งที่ปรึกษาและหาทีมงานที่มีประสบการณ์มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วย 46.77% อันดับ 2 ต้องศึกษาเรียนรู้หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบ 31.70 % และ อันดับ 3ให้โอกาสรัฐมนตรีได้ทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงานให้ประชาชนได้เห็น 21.53%
เมื่อถามอีกว่า เนื่องจากครม.ชุดนี้จะทำงานเพียง 1ปีกว่าๆ เพื่อรอร่าง รธน.ให้แล้วเสร็จ การที่จะทำให้งานของกระทรวงต่างๆ ดำเนินไปได้ด้วยดี ประชาชนมีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีอย่างไร อันดับ 1 เห็นว่า ต้องมุ่งมั่นตั้งใจยึดหลักการทำงานที่ดีซื่อสัตย์ สุจริต 39.51% อันดับ 2 ฟังเสียงประชาชนเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นและนำไปใช้ในการบริหาร 28.09% และอันดับ 3 เห็นว่า ควรวางรากฐานการทำงานอย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอน นำไปใช้ได้ในระยะยาว16.24 %
** แกนนำชุมชนพอใจ"ประยุทธ์"
วานนี้ (31ส.ค.) รศ.ดร.เชษฐ รัชดาพรรณาธิกุล รองประธานชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน(Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA)เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ มาสเตอร์โพล(Master Poll)เรื่อง สำรวจแนวโน้มจุดยืนของแกนนำชุมชนต่อ คสช. หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี กรณีศึกษาตัวอย่างแกนนำชุมชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 622 ชุมชน ดำเนินโครงการในวันที่ 29 - 30 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ผลการสำรวจพบว่า
แนวโน้มจุดยืนของแกนนำชุมชนในการสนับสนุนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพิ่มสูงขึ้น ภายหลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จากร้อยละ 70.1 เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ร้อยละ 75.4 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ร้อยละ 68.6 เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ร้อยละ 76.8 เมื่อวันที่ 8 ส.ค. และล่าสุด ขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 85.5 เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมานี้
เมื่อถามถึงความพึงพอใจของแกนนำชุมชน ต่อการปฏิบัติงานของคสช. ด้านต่างๆ ล่าสุด พบ 10 อันดับแรกของการปฏิบัติงานโดย คสช. ที่แกนนำชุมชนพอใจในแนวทางที่ออกมาได้แก่ อันดับที่ 1 คือ การสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของประชาชน ได้ 8.51 คะแนน อันดับที่ 2 คือ การบริหารราชการแผ่นดินของคสช. ทั้งในระบบกฎหมายและระเบียบปกติ ได้ 8.50 คะแนน อันดับที่ 3 ได้แก่ การป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า ได้ 8.46 คะแนน อันดับที่ 4 ได้แก่ การปรับปรุงการศึกษาทั้งระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงหลักสูตร ครูผู้สอน และการใช้จ่ายงบประมาณ ได้ 8.45 คะแนน และ อันดับที่ 5 ได้แก่ การพัฒนาด้านการสาธารณสุขของประเทศให้ทั่วถึง ได้ 8.43 คะแนน และรองๆ ลงไปคือ ความคืบหน้าการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในประเทศ การแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน การตรวจสอบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน การปฏิรูประบบขนส่งมวลชนทั้งคุณภาพและการให้บริการประชาชน การตรวจสอบคุณภาพข้าว การระบายข้าว การสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศเรื่องคุณภาพข้าว และการจัดระเบียบเรื่อง อุ้มบุญ การปรับปรุงข้อกฎหมายเรื่องการอุ้มบุญให้ชัดเจน ตามลำดับ
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.8 ระบุ มีความจำเป็นที่เร่งด่วนในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ผิดหลักมนุษยธรรม และต่างชาติจะกีดกันทางการค้าในสินค้าที่ใช้แรงงานและส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เป็นต้น และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.5 ระบุมีความจำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาการค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการส่งเสริมให้คนทำผิดหลักศีลธรรมและต่างชาติจะกีดกันทางการค้าในสินค้าประเภทพืชและสัตว์ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งประเทศ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 86.3 ระบุ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการทำลายทรัพยากรทางทะเลและธรรมชาติของประเทศไทย และทำให้ต่างชาติจะกีดกันสินค้าทางทะเลของประเทศไทย สร้างความเสียหายต่อการจ้างงานด้านการประมงและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เป็นต้น
ที่น่าพิจารณาคือ แนวโน้มความพึงพอใจของแกนนำชุมชน ต่อการทำงานที่ผ่านมาของ คสช. พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากการสำรวจครั้งก่อนที่อยู่ที่ 8.64 คะแนน เมื่อคะแนนเต็ม10 มาอยู่ที่ 8.83 คะแนนในการสำรวจครั้งล่าสุด และผลสำรวจยังพบด้วยว่า ความสุขของแกนนำชุมชน เพิ่มขึ้นเมื่อน้ำมันลดราคา ตามแผนบริหารจัดการพลังงานโดย คสช. คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.1 มีความสุขเพิ่มขึ้น เมื่อน้ำมันราคาลดลง
ส่วนข้อเสีย อันดับ1 เห็นว่าไม่มีการคานอำนาจถ่วงดุล หรือการตรวจสอบที่ชัดเจน 84.02% อันดับ 2 อาจขาดประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้รับในกระทรวงนั้น ๆ 82.43 % และอันดับ 3 กระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในสายตาต่างชาติ 78.42%
ส่วนในหัวข้อประชาชนคิดอย่างไร กรณีที่ไม่มีนักการเมืองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีใน “ครม.ประยุทธ์ 1 ” พบว่า ข้อดี อันดับ 1 คือ ทำให้การทุจริตคอร์รัปชันน้อยลง 81.95 % อันดับ 2ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก 80.57% และอันดับ 3 เป็นการเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆเข้ามาทำงาน ไม่ยึดติดการทำงานแบบเดิม 77.59 %
ส่วนข้อเสียอันดับ 1 ขาดบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานไม่ต่อเนื่อง 81.19% อันดับ 2ไม่มีนักการเมืองทำให้ขาดสีสันครม. ไม่มีความหลากหลาย 76.49% และอันดับ 3 อาจเข้าถึงประชาชนยากขึ้น ไม่มีความคุ้นเคยกับพื้นที่ไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง 71.09%
เมื่อถามว่า กรณีที่รัฐมนตรีบางกระทรวงไม่มีความรอบรู้ และไม่มีความชำนาญของกระทรวงนั้นๆ ควรมีวิธีแก้ไขอย่างไร
อันดับ1 ประชาชนคิดว่า ควรแต่งตั้งที่ปรึกษาและหาทีมงานที่มีประสบการณ์มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วย 46.77% อันดับ 2 ต้องศึกษาเรียนรู้หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบ 31.70 % และ อันดับ 3ให้โอกาสรัฐมนตรีได้ทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงานให้ประชาชนได้เห็น 21.53%
เมื่อถามอีกว่า เนื่องจากครม.ชุดนี้จะทำงานเพียง 1ปีกว่าๆ เพื่อรอร่าง รธน.ให้แล้วเสร็จ การที่จะทำให้งานของกระทรวงต่างๆ ดำเนินไปได้ด้วยดี ประชาชนมีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีอย่างไร อันดับ 1 เห็นว่า ต้องมุ่งมั่นตั้งใจยึดหลักการทำงานที่ดีซื่อสัตย์ สุจริต 39.51% อันดับ 2 ฟังเสียงประชาชนเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นและนำไปใช้ในการบริหาร 28.09% และอันดับ 3 เห็นว่า ควรวางรากฐานการทำงานอย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอน นำไปใช้ได้ในระยะยาว16.24 %
** แกนนำชุมชนพอใจ"ประยุทธ์"
วานนี้ (31ส.ค.) รศ.ดร.เชษฐ รัชดาพรรณาธิกุล รองประธานชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน(Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA)เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ มาสเตอร์โพล(Master Poll)เรื่อง สำรวจแนวโน้มจุดยืนของแกนนำชุมชนต่อ คสช. หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี กรณีศึกษาตัวอย่างแกนนำชุมชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 622 ชุมชน ดำเนินโครงการในวันที่ 29 - 30 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ผลการสำรวจพบว่า
แนวโน้มจุดยืนของแกนนำชุมชนในการสนับสนุนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพิ่มสูงขึ้น ภายหลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จากร้อยละ 70.1 เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ร้อยละ 75.4 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ร้อยละ 68.6 เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ร้อยละ 76.8 เมื่อวันที่ 8 ส.ค. และล่าสุด ขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 85.5 เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมานี้
เมื่อถามถึงความพึงพอใจของแกนนำชุมชน ต่อการปฏิบัติงานของคสช. ด้านต่างๆ ล่าสุด พบ 10 อันดับแรกของการปฏิบัติงานโดย คสช. ที่แกนนำชุมชนพอใจในแนวทางที่ออกมาได้แก่ อันดับที่ 1 คือ การสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของประชาชน ได้ 8.51 คะแนน อันดับที่ 2 คือ การบริหารราชการแผ่นดินของคสช. ทั้งในระบบกฎหมายและระเบียบปกติ ได้ 8.50 คะแนน อันดับที่ 3 ได้แก่ การป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า ได้ 8.46 คะแนน อันดับที่ 4 ได้แก่ การปรับปรุงการศึกษาทั้งระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงหลักสูตร ครูผู้สอน และการใช้จ่ายงบประมาณ ได้ 8.45 คะแนน และ อันดับที่ 5 ได้แก่ การพัฒนาด้านการสาธารณสุขของประเทศให้ทั่วถึง ได้ 8.43 คะแนน และรองๆ ลงไปคือ ความคืบหน้าการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในประเทศ การแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน การตรวจสอบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน การปฏิรูประบบขนส่งมวลชนทั้งคุณภาพและการให้บริการประชาชน การตรวจสอบคุณภาพข้าว การระบายข้าว การสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศเรื่องคุณภาพข้าว และการจัดระเบียบเรื่อง อุ้มบุญ การปรับปรุงข้อกฎหมายเรื่องการอุ้มบุญให้ชัดเจน ตามลำดับ
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.8 ระบุ มีความจำเป็นที่เร่งด่วนในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ผิดหลักมนุษยธรรม และต่างชาติจะกีดกันทางการค้าในสินค้าที่ใช้แรงงานและส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เป็นต้น และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.5 ระบุมีความจำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาการค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการส่งเสริมให้คนทำผิดหลักศีลธรรมและต่างชาติจะกีดกันทางการค้าในสินค้าประเภทพืชและสัตว์ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งประเทศ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 86.3 ระบุ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการทำลายทรัพยากรทางทะเลและธรรมชาติของประเทศไทย และทำให้ต่างชาติจะกีดกันสินค้าทางทะเลของประเทศไทย สร้างความเสียหายต่อการจ้างงานด้านการประมงและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เป็นต้น
ที่น่าพิจารณาคือ แนวโน้มความพึงพอใจของแกนนำชุมชน ต่อการทำงานที่ผ่านมาของ คสช. พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากการสำรวจครั้งก่อนที่อยู่ที่ 8.64 คะแนน เมื่อคะแนนเต็ม10 มาอยู่ที่ 8.83 คะแนนในการสำรวจครั้งล่าสุด และผลสำรวจยังพบด้วยว่า ความสุขของแกนนำชุมชน เพิ่มขึ้นเมื่อน้ำมันลดราคา ตามแผนบริหารจัดการพลังงานโดย คสช. คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.1 มีความสุขเพิ่มขึ้น เมื่อน้ำมันราคาลดลง