กสทช.หนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล ประกาศยกเว้นผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุน USO 2% 5 ปี พร้อมให้เลื่อนการนำส่งค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ หรือ เงินประมูลคลื่นความถี่งวดที่ 2 จำนวน 8,124.20 ล้านบาท ออกไปได้อีก 1 ปี ส่วนกรณีช่อง 3 เรียกเจรจาวันที่ 23 ก.ย.นี้ ตรวจสอบความเป็นเจ้าของเพื่อหาทางออกอากาศคู่ขนาน หลังกสท.มีมติให้งดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกับค่า USO รวม 4% สำหรับช่องที่ออกอากาศคู่ขนาน ด้านผู้จัดรายการ/ละคร ครวญขาดทุน 40% ฟากเคเบิลเตรียมยื่นอุทรณ์ ฟ้องศาลปกครอง ปล่อยหมัดเด็ด เตรียมเร่ขายเสาอากาศรับอะนาล็อกพ่วง
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. เวลา 14.00 น. พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า มติที่ประชุมกสท. เห็นชอบในหลักการแนวทางสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล ด้วยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ที่นำระบบอนาล็อกมาออกอากาศคู่ขนานในระบบดิจิตอล ด้วยการยกเว้นการจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ที่ต้องจ่าย 2% และค่าธรรมเนียมรายปีเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (USO) 2% โดยที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการออกคู่ขนานก่อนวันที่ 10 ตุลาคม 2557 หลังจากนั้นคณะกรรมการจะพิจารณาตามความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ดิจิตอลก็จะได้รับการลดหย่อนค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับการส่งเงินเข้ากองทุน USO โดยไม่ต้องจ่าย 2% เป็นเวลา 5 ปี แต่ยังคงต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ที่ต้องจ่าย 2%
นอกจากนี้ คณะกรรมการยังมีมติให้ผู้ประมูลโทรทัศน์ดิจิตอลทุกรายเลื่อนการนำส่งค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ หรือ เงินประมูลคลื่นความถี่ งวดที่ 2 จำนวน 8,124.20 ล้านบาท ออกไปได้อีก 1 ปี โดยคณะกรรมการต้องทำหนังสือหารือกับกระทรวงการคลังก่อนว่าสามารถทำได้หรือไม่
'แนวทางนี้เป็นเรื่องการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิตอลเท่านั้น ส่วนจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้ช่อง 3 มาออกคู่ขนานหรือไม่นั้นมันเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น'
ด้านนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกสท.กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาเรื่องที่เครือข่ายภาคประชาชนเฝ้าระวังสื่อ วิทยุและโทรทัศน์ เข้ามายื่นหนังสือให้เพิกถอนสัมปทานและใบอนุญาตของ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด (ช่อง 3 อนาล็อก) โดยมีมติให้ส่งเรื่องให้อนุกรรมการที่ดูแลสัญญาสัมปทานไปตรวจสอบ ซึ่งในวันที่ 23 ก.ย. เวลา 14.00 น. ช่อง 3 จะมาเข้าพบเพื่อหารือเรื่องทางออกในการออกคู่ขนานรวมถึงต้องตอบคำถามให้ได้ว่าทั้ง 3 บริษัท อันประกอบไปด้วย บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด และบริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด มีผู้บริหารที่เป็นเจ้าของเดียวกันสามารถตัดสินใจได้เหมือนกันหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ กสท.ก็พร้อมจะสนับสนุนให้ช่อง 3 ออกอากาศคู่ขนานแต่หากคำตอบคือไม่ใช่ โดยบอกว่าเป็นคนละเจ้าของกัน ก็จะกลายเป็นปัญหาในเรื่องของสัญญาสัมปทาน ซึ่งคณะอนุกรรมการที่ดูแลเรื่องสัญญาสัมปทานต้องนำเรื่องนี้ไปพิจารณาใหม่
"เรื่องข้อเสนอในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมตอนนี้มีผลเฉพาะกับช่อง 7 และช่อง 9 เท่านั้นไม่ได้หมายถึงช่อง 3 แต่นี่เป็นความพยายามสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิตอลอย่างถึงที่สุดแล้ว ท้ายสุดแล้วถ้าเรื่องช่อง 3 ต้องไปถึงศาล เราก็สามารถนำมติในวันนี้มายืนยันได้ว่าเรามีความพยายามในหน้าที่ที่เรามีอำนาจจะทำได้ ส่วนเรื่องการลดหย่อนดังกล่าว เรายืนยันว่าสามารถทำได้เพราะเป็นเรื่องของการลดรายได้ของกสทช.เองซึ่งเท่ากับว่ารายได้ที่กสท.ควรจะได้ก็ยังไม่ได้ เราก็คงต้องใช้เงินของฝั่งโทรคม ดังนั้นก็คงต้องถามทางฝั่งบอร์ดโทรคมด้วยว่าเห็นด้วยหรือไม่แต่เราเชื่อว่าน่าจะเห็นด้วย"
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กรรมการ กสท.กล่าวว่า สำหรับเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมรายปีเข้ากองทุน USO ให้กับผู้ประกอบการโทรทัศน์ดิจิตอลเป็นเวลา 5 ปีนั้น คิดจากเวลาที่คาดว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิตอลจะประสบความสำเร็จซึ่งเป็นช่วงที่สัญญาสัมปทานของอนาล็อก เช่น บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด จะยุติลงพอดี
ด้านพลโท ดร. พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสท.กล่าวว่า ต้องรอดูวันที่ 23 ก.ย.หลังจากที่ช่อง 3 เข้ามาพบ กสท.จะมีความเห็นอย่างไรจะยอมรับเงื่อนไขหรือว่าจะเสนออะไรมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่
ทั้งนี้มติดังกล่าวเป็นการนำเสนอของกรรมการ 3 คนคือ พลโท ดร. พีระพงษ์ มานะกิจ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ และ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ซึ่งแม้ว่ามติที่ประชุมมีความเห็นชอบทั้ง 5 คนก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องแถลงข่าวทั้ง 3 คนกลับเป็นผู้แถลงข่าวเอง โดย พลโท ดร. พีระพงษ์ ให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ทั้ง 3 คนนำวาระเข้าที่ประชุมดังนั้นจึงขอแถลงกัน 3 คน ในเวลา 13.30 น.ทั้งที่ในเวลา 14.00 น.พ.อ.นทีต้องออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอยู่แล้ว
ทว่าก่อนที่จะมีการแถลงข่าวกลับพบว่าห้องประชุมสำหรับการแถลงข่าวไม่ว่าง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องจัดเตรียมสถานที่บริเวณหน้าอาคารหอประชุมชั้น 1 ซึ่งเป็นห้องใต้บันได ทำให้พลโท ดร. พีระพงษ์ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบไล่ผู้ประชุมเดิมที่อยู่ในห้องประชุมออกไปด้านนอกและดำเนินการจัดสถานที่ใหม่ พร้อมกันนั้นยังเร่งให้ นางสาวสุภิญญา ซึ่งอยู่ ที่อาคารเอ็กซิมแบงค์ มาแถลงข่าวพร้อมกัน ทำให้เริ่มแถลงข่าวได้ในเวลา 14.00 น. และเป็นเวลาเดียวกับที่พ.อ.นทีมาถึงห้องประชุม ทำให้กรรมการทั้ง 3 คนถึงกับตกใจเล็กน้อย แต่การดำเนินการแถลงข่าวก็ยังคงดำเนินการต่อไป 4 คน
หลังจากกรรมการทั้ง 3 คน แถลงมติที่ประชุมเสร็จ พ.อ.นทีก็ได้แถลงถึงมติดังกล่าวอีกรอบหนึ่ง โดยได้กล่าวต่อสื่อมวลชนหลังจากแถลงข่าวเสร็จสั้นๆว่า "พวกคุณเข้าใจใช่ไหมว่าผมต้องเจอกับอะไร ความเห็นของกรรมการเป็นเอกฉันท์ แต่กลับไม่สามารถควบคุมกรรมการได้"
***ผู้จัดรายการคราวญหวั่นจอดำขาดทุน40%
วานนี้ (22 ก.ย.) สมาพันธ์สมาคมดิจิตอล ได้จัดสัมมนาขึ้นในหัวข้อ “ก้าวต่อไป ดิจิตอลทีวีไทย” โดยมีวิทยากรให้ความรู้หลายราย โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาช่อง3อะนาล็อกกำลังเข้าสู่ภาวะจอดำในระบบเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมในช่วงปลายเดือนก.ย.นี้ ซึ่งเนื้อหาภายในงาน จะเป็นการสร้างเข้าใจในปัญหาทีวีดิจิตอลที่กำลังเกิดขึ้น รวมถึงปัญหาว่าทำไมช่อง3อะนาล็อกจึงต้องจอดำ
นายวิบูลย์ ลีรัตนขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในฐานะที่เป็นคอนเท้นท์โพไวเดอร์ และมีรายการที่บริหารเวลาอยู่ในช่อง3อะนาล็อก และในช่อง3ดิจิตอล ยอมรับว่า ปัญหาช่อง3อะนาล็อกที่จะจอดำนั้น คนดูบนแพลทฟอร์มเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมจะเดือดร้อนมากสุด ส่วนในแง่ของผู้จัดรายการเองจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากให้ทางกสทช. 1.ขยายเวลาในกรณีจะเกิดจอดำให้ยืดออกไปอีก หรือจนกว่าจะแก้ไขปัญหาได้ 2. มีการเยียวยาให้กับช่อง3 HD หรือช่อง 33 ในกรณีที่รายการจะถูกระงับออกอากาศ หากช่อง3อะนาล็อกต้องออกคู่ขนานกับช่อง3HD เนื่องจากการที่ช่อง3อะนาล็อกและช่อง3HD เป็นคนละนิติบุคคลกัน แต่ละช่องจึงมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจวางไว้อยู่แล้ว การที่ช่อง3อะนาล็อกจะต้องออกคู่ขนานกับช่อง3HD จะทำให้รายการต่างๆที่วางไว้ในช่อง3HDจะถูกระงับออกไป
ส่วนปัญหาช่อง3อะนาล็อกที่อาจจะจอดำในสิ้นเดือนก.ย.นี้ เบื้องต้นเป็นไปตามที่นายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการ ผู้บริหารช่อง3ได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วคือ จะคืนเงินเอเจนซี่ในอัตราส่วน 70% ตามฐานผู้ชมที่หายไป“สำหรับเซิร์ช ปัจจุบันมีรายการที่บริหารเวลาในช่อง3อะนาล็อก อยู่ 1 รายการ คือ รายการ เรื่องเด่นเย็นนี้ เบื้องต้นมีลูกค้ายกเลิกลงโฆษณาไปกว่า 10% ส่วนใหญ่ลงโฆษณาระยะสั้นแบบเดือนต่อเดือน และจากการแก้ปัญหาเบื้องต้นของช่อง3อะนาล็อกที่จะคืนเงินแก่ลูกค้าในสัดส่วน 70% นั้น จะทำให้ต่อรายการต้องอยู่ในภาวะการขาดทุน 30-40% ในการออกอากาศแต่ละครั้ง จากปกติที่ต่อรายการจะมีต้นทุนอยู่ที่ 60% และมีกำไรอยู่ที่ 10-20% จากรายได้รวมทั้งหมด”
ด้านนางอรุโณชา ภาณุพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ผู้ผลิตรายการและละคร รายหลักทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 มากกว่า 20 ปี กล่าวว่าปัจจุบันมีละครที่กำลังเริ่มออกอากาศทางช่อง3 อยู่ 1 เรื่อง คือ ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ที่อยู่ในช่วงปัญหาช่อง3 จอดำ แต่ไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นการรับจ้างผลิต แต่นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีรายการและละครที่ออกอากาศทางช่อง3อะนาล็อกอยู่อีก 3 รายการ ในลักษณะเช่าเวลา คือ 1. ละครน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ 2.ซิทคอม รักจัดเต็ม และ3. ละครสัมผัสพิศวง ที่รายได้อาจจะกระทบจากการที่จะต้องคืนเงินแก่เอเจนซี่โฆษณาในอัตรา 70% หรือต้องแบกรับการขาดทุนในอัตราใกล้เคียงที่ 30- 40% ต่อเทปเช่นรายการอื่นๆในที่ออกอากาศทางช่อง3อะนาล็อก
ด้านนายวิชิต เอื้ออารียวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท เจริญ เคเบิลทีวี จำกัด ดำเนินธุรกิจเคเบิลทีวีในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล กล่าวว่า บริษัทเตรียมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไว้แล้ว คือ 1. จะมีการยื่นหนังสืออุทรณ์ไป ขอผ่อนผันไปยังกสทช. ถ้าไม่ผ่าน 2.จะฟ้องศาลปกครอง และสุดท้ายคือ 3.จะมีการขายพ่วงเสาอากาศ เพื่อรับชมฟรีทีวีระบบอะนาล็อก ในราคา 500 บาทพร้อมติดตั้ง