ธรรมพร่ำสอน-สรรพสิ่งมิมีด้านเดียว ทุกสรรพสิ่งล้วนมีสองด้านคู่กัน ปราชญ์ “เล่าจื๊อ” บอกว่า
“...ใต้ฟ้านี้ทุกคนรู้ว่า ความงามเป็นความงาม ก็เพราะมีความน่าเกลียดอยู่ ทุกคนรู้ว่า ความดีเป็นความดี ก็เพราะมีความไม่ดีอยู่...”
ทุกศาสนาล้วนสอนให้ “ทำความดี” ละเลิก “ทำความชั่ว” ทั้งสิ้น!
“รัฐบาลดี” ในโลกใบนี้ จะอภิบาลคนดีและลงโทษคนชั่ว กฎหมายจึงเป็นแกนกลางแห่งนิติรัฐ เกิดหน่วยงานยุติธรรมกำกับให้คนทำตามกฎหมาย ทั้งตำรวจ-อัยการ-ศาล-ราชทัณฑ์ ฯลฯ คนดีจะไม่ทำผิดกฎหมาย แต่คนชั่วชอบละเมิดกฎหมาย
แถมคนดียังทำในสิ่งเหนือกฎหมาย นั่นคือ ยึดมั่นในคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรมอีกด้วย!
“ความรัก” นั้น...ทุกคนต้องเริ่มที่ความพอใจกันก่อน จากนั้นดูนิสัยใจคอกันต่อว่า...เป็นคนดีอ๊ะป่าว? จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอ๊ะป่าว? จะรักดูดดื่มจน “ถือไม้เท้ายอดทอง-กระบองยอดเพชร” อ๊ะป่าว? ถ้าใช่เลยก็ “ร่วมหอลงโลง” แต่งงานกัน เพราะยุค “คลุมถุงชน” ชนิดไม่สนใจเหตุผลที่ไปที่มานั้น-บ่มี๊..บ่มี...
ดุจดั่ง..จู่ๆ จะให้ตำรวจกับโจร “รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย” นั้น..ไม่ได้นะจ๊ะ!
“เล่าจื๊อ” มีหลายถ้อยคำกว่า 2 พันปี ที่ผู้มีอำนาจยุคนี้ต้องนำไปไตร่ตรองต่อการบริหารชาติ เช่น
“ไม่อวดความเห็น-จึงรู้ชัด ไม่เห็นว่าตนเองถูกต้อง-จึงกระจ่าง ไม่ยกย่องตนเองว่ามีคุณงามความดี จึงมีคุณค่าความดี...”
“ผู้ที่เขย่งเท้าให้ตัวเองสูงขึ้นนั้น-ยืนไม่นาน ผู้ที่ก้าวยาวนั้น-เดินไม่ไกล ผู้ที่คิดว่าตัวเองเห็นแล้ว-ไม่เข้าใจ ผู้ที่คิดว่าตัวเองถูกต้องแล้ว-ไม่กระจ่าง ผู้ที่เห็นว่าตัวเองมีคุณงามความดีนั้น-ไม่มีคุณงาม ผู้ที่เย่อหยิ่งนั้น-ไม่ก้าวหน้า...”
“ผู้มีความดีอันสูงส่งเปรียบเหมือนน้ำ น้ำทำประโยชน์ให้กับสรรพสิ่ง โดยไม่แก่งแย่งอยู่บนตำแหน่งที่ผู้คนรังเกียจ...”
“เอามาให้เต็มๆ-ไม่ดีเท่าหยุดมือ ลับมีดให้คม-ไม่สามารถรักษาความคมไว้ได้นาน ทองหยกเต็มห้อง-ก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ร่ำรวยสูงส่งแล้วเย่อหยิ่ง-เหลือภัยไว้ให้ตนเอง เมื่อได้รับความสำเร็จแล้วถอนตัว-เป็นเต๋าของฟ้า”
“ชนะแล้วไม่อวดใหญ่ ชนะแล้วไม่อวดแสนยานุภาพ ชนะแล้วไม่เย่อหยิ่ง ชนะด้วยความจำเป็น ชนะแล้วไม่แสดงความแข็งแกร่ง สรรพสิ่งเข้มแข็งแล้วแก่ลง...”
“ผู้ที่เข้าใจผู้อื่นเป็นผู้ที่มีสติปัญญา ผู้ที่เข้าใจตนเองเป็นผู้รู้แจ้ง...”
“ชื่อเสียงกับร่างกาย อย่างไหนยิ่งสนิทสนม ร่างกายกับสิ่งของ อย่างไหนยิ่งสำคัญ ได้กับเสีย อย่างไหนมีโทษ ดังนั้นยิ่งรักมาก ก็ยิ่งเสียมาก ยิ่งสะสมมาก ก็ยิ่งเสียหายมาก รู้จักเพียงพอไม่อดสู รู้จักหยุดยั้งไม่อันตราย สามารถอยู่ได้ยาวนาน”
“...ไม่มีโทษอะไรใหญ่เท่ากับความอยาก ไม่มีภัยอะไรใหญ่เท่าความไม่รู้จักเพียงพอ ไม่มีความผิดอะไรเท่ากับความอยากได้...”
“...ให้กำเนิด แต่ไม่ยึดครอง ให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่เอาความดี เป็นผู้นำ แต่ไม่ครอบงำ...”
“ฟ้าดินอยู่ได้ยาวนาน สาเหตุที่ฟ้าดินอยู่ได้ยาวนาน ก็เพราะพวกเขาไม่กำเนิดมาเพื่อตนเอง ดังนั้นจึงสามารถอยู่ได้ยาวนาน”
นั่นเป็นแค่บางส่วนของถ้อยคำปราชญ์ “เล่าจื๊อ” ที่เกิดในยุคเดียวกับปราชญ์ “ขงจื๊อ” ในประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลก ความยากจนทำให้ชาวจีนจำนวนไม่น้อย ต้องพากันอพยพไปต่อสู้ดิ้นรน เพื่อความอยู่รอดไปทั่วทุกมุมโลก คนจีนเสื่อผืนหมอนใบที่มาอยู่ประเทศไทย หลายคนกลายเป็นมหาเศรษฐี
ชาวจีนวันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นพอสมควร มีมหาเศรษฐีระดับโลกนับร้อยจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของอเมริกา จีนเป็นประเทศเติบโตทางเศรษฐกิจ อันดับ 2 ของโลก และกำลังเดินขึ้นสู่อันดับ 1 ในอีกไม่นาน
ชีวิตที่เปลี่ยนไปของคนกว่าพันล้านในจีน เกิดขึ้นได้เพราะมีผู้นำและรัฐบาลรักชาติรักประชาชน เป็นประเทศที่จัดการกับคนชั่ว หรือคนคอร์รัปชันโกงชาติ ด้วยกฎหมายที่เด็ดขาดถึงขั้นประหารชีวิต!
ปราชญ์ “ขงจื๊อ” ได้กล่าวไว้นานกว่า 2 พันปีมาแล้วว่า
“ผู้ปกครองหากปฏิบัติตรงไปตรงมา ถึงแม้จะไม่ออกคำสั่ง ประชาชนยังปฏิบัติตาม หากผู้ปกครองปฏิบัติตนไม่ซื่อตรง ชาวประชาย่อมไม่เชื่อฟัง”
“ความร่ำรวยที่ได้มาด้วยความไม่ถูกต้อง สำหรับฉันแล้ว เหมือนกับก้อนเมฆลอย”
“ฉลาด” แต่เข้าข้างคนผิด ชีวิตก็บัดซบ “ฉลาด” แต่เข้ากับใครไม่ได้ ก็ไร้ประโยชน์ “ฉลาด” แต่ขาดคุณธรรม ไม่ทำให้ใครเจริญ
“เงินทองและตำแหน่งที่ใหญ่โต ต่างเป็นที่อยากได้ของผู้คน แต่สุภาพชนต้องไม่ใช้วิธีไม่ถูกต้องได้มา”
“สิ่งที่สุจริตชนเป็นห่วงว่าทั่วฟ้าแผ่นดินมีคุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่ห่วงความยากจนและความเป็นอยู่”
“รู้ผู้อื่นนั้น-ฉลาด รู้ตนเองนั้น-เป็นอัจฉริยะ ชนะผู้อื่นนั้น-เป็นผู้เข้มแข็ง ชนะตนเองนั้น-คือผู้ยิ่งใหญ่”
ผู้รู้ต้องรู้ว่า-บัวมี 4 เหล่า ธรรมสอนว่า-จงอย่าเสียเวลากับบัวใต้น้ำที่โดนหินทับ แต่จงใส่ใจกับ “บัว” ที่มีโอกาสจะขึ้นเหนือน้ำ และจงเชื่อมั่นและศรัทธาว่า
“ผู้ที่มีคุณธรรมจะไม่โดดเดี่ยว จะต้องมีผู้คนแบบเดียวกันสนับสนุน”
ขอปิดท้ายด้วยปราชญ์แห่ง “พ่อของแผ่นดิน” หรือ “ในหลวง” ของผองชนชาวไทยที่ว่า
“การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ “ความชั่ว” ซึ่งทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่แล้วจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันรู้สึกตัว”
“...ใต้ฟ้านี้ทุกคนรู้ว่า ความงามเป็นความงาม ก็เพราะมีความน่าเกลียดอยู่ ทุกคนรู้ว่า ความดีเป็นความดี ก็เพราะมีความไม่ดีอยู่...”
ทุกศาสนาล้วนสอนให้ “ทำความดี” ละเลิก “ทำความชั่ว” ทั้งสิ้น!
“รัฐบาลดี” ในโลกใบนี้ จะอภิบาลคนดีและลงโทษคนชั่ว กฎหมายจึงเป็นแกนกลางแห่งนิติรัฐ เกิดหน่วยงานยุติธรรมกำกับให้คนทำตามกฎหมาย ทั้งตำรวจ-อัยการ-ศาล-ราชทัณฑ์ ฯลฯ คนดีจะไม่ทำผิดกฎหมาย แต่คนชั่วชอบละเมิดกฎหมาย
แถมคนดียังทำในสิ่งเหนือกฎหมาย นั่นคือ ยึดมั่นในคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรมอีกด้วย!
“ความรัก” นั้น...ทุกคนต้องเริ่มที่ความพอใจกันก่อน จากนั้นดูนิสัยใจคอกันต่อว่า...เป็นคนดีอ๊ะป่าว? จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอ๊ะป่าว? จะรักดูดดื่มจน “ถือไม้เท้ายอดทอง-กระบองยอดเพชร” อ๊ะป่าว? ถ้าใช่เลยก็ “ร่วมหอลงโลง” แต่งงานกัน เพราะยุค “คลุมถุงชน” ชนิดไม่สนใจเหตุผลที่ไปที่มานั้น-บ่มี๊..บ่มี...
ดุจดั่ง..จู่ๆ จะให้ตำรวจกับโจร “รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย” นั้น..ไม่ได้นะจ๊ะ!
“เล่าจื๊อ” มีหลายถ้อยคำกว่า 2 พันปี ที่ผู้มีอำนาจยุคนี้ต้องนำไปไตร่ตรองต่อการบริหารชาติ เช่น
“ไม่อวดความเห็น-จึงรู้ชัด ไม่เห็นว่าตนเองถูกต้อง-จึงกระจ่าง ไม่ยกย่องตนเองว่ามีคุณงามความดี จึงมีคุณค่าความดี...”
“ผู้ที่เขย่งเท้าให้ตัวเองสูงขึ้นนั้น-ยืนไม่นาน ผู้ที่ก้าวยาวนั้น-เดินไม่ไกล ผู้ที่คิดว่าตัวเองเห็นแล้ว-ไม่เข้าใจ ผู้ที่คิดว่าตัวเองถูกต้องแล้ว-ไม่กระจ่าง ผู้ที่เห็นว่าตัวเองมีคุณงามความดีนั้น-ไม่มีคุณงาม ผู้ที่เย่อหยิ่งนั้น-ไม่ก้าวหน้า...”
“ผู้มีความดีอันสูงส่งเปรียบเหมือนน้ำ น้ำทำประโยชน์ให้กับสรรพสิ่ง โดยไม่แก่งแย่งอยู่บนตำแหน่งที่ผู้คนรังเกียจ...”
“เอามาให้เต็มๆ-ไม่ดีเท่าหยุดมือ ลับมีดให้คม-ไม่สามารถรักษาความคมไว้ได้นาน ทองหยกเต็มห้อง-ก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ร่ำรวยสูงส่งแล้วเย่อหยิ่ง-เหลือภัยไว้ให้ตนเอง เมื่อได้รับความสำเร็จแล้วถอนตัว-เป็นเต๋าของฟ้า”
“ชนะแล้วไม่อวดใหญ่ ชนะแล้วไม่อวดแสนยานุภาพ ชนะแล้วไม่เย่อหยิ่ง ชนะด้วยความจำเป็น ชนะแล้วไม่แสดงความแข็งแกร่ง สรรพสิ่งเข้มแข็งแล้วแก่ลง...”
“ผู้ที่เข้าใจผู้อื่นเป็นผู้ที่มีสติปัญญา ผู้ที่เข้าใจตนเองเป็นผู้รู้แจ้ง...”
“ชื่อเสียงกับร่างกาย อย่างไหนยิ่งสนิทสนม ร่างกายกับสิ่งของ อย่างไหนยิ่งสำคัญ ได้กับเสีย อย่างไหนมีโทษ ดังนั้นยิ่งรักมาก ก็ยิ่งเสียมาก ยิ่งสะสมมาก ก็ยิ่งเสียหายมาก รู้จักเพียงพอไม่อดสู รู้จักหยุดยั้งไม่อันตราย สามารถอยู่ได้ยาวนาน”
“...ไม่มีโทษอะไรใหญ่เท่ากับความอยาก ไม่มีภัยอะไรใหญ่เท่าความไม่รู้จักเพียงพอ ไม่มีความผิดอะไรเท่ากับความอยากได้...”
“...ให้กำเนิด แต่ไม่ยึดครอง ให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่เอาความดี เป็นผู้นำ แต่ไม่ครอบงำ...”
“ฟ้าดินอยู่ได้ยาวนาน สาเหตุที่ฟ้าดินอยู่ได้ยาวนาน ก็เพราะพวกเขาไม่กำเนิดมาเพื่อตนเอง ดังนั้นจึงสามารถอยู่ได้ยาวนาน”
นั่นเป็นแค่บางส่วนของถ้อยคำปราชญ์ “เล่าจื๊อ” ที่เกิดในยุคเดียวกับปราชญ์ “ขงจื๊อ” ในประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลก ความยากจนทำให้ชาวจีนจำนวนไม่น้อย ต้องพากันอพยพไปต่อสู้ดิ้นรน เพื่อความอยู่รอดไปทั่วทุกมุมโลก คนจีนเสื่อผืนหมอนใบที่มาอยู่ประเทศไทย หลายคนกลายเป็นมหาเศรษฐี
ชาวจีนวันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นพอสมควร มีมหาเศรษฐีระดับโลกนับร้อยจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของอเมริกา จีนเป็นประเทศเติบโตทางเศรษฐกิจ อันดับ 2 ของโลก และกำลังเดินขึ้นสู่อันดับ 1 ในอีกไม่นาน
ชีวิตที่เปลี่ยนไปของคนกว่าพันล้านในจีน เกิดขึ้นได้เพราะมีผู้นำและรัฐบาลรักชาติรักประชาชน เป็นประเทศที่จัดการกับคนชั่ว หรือคนคอร์รัปชันโกงชาติ ด้วยกฎหมายที่เด็ดขาดถึงขั้นประหารชีวิต!
ปราชญ์ “ขงจื๊อ” ได้กล่าวไว้นานกว่า 2 พันปีมาแล้วว่า
“ผู้ปกครองหากปฏิบัติตรงไปตรงมา ถึงแม้จะไม่ออกคำสั่ง ประชาชนยังปฏิบัติตาม หากผู้ปกครองปฏิบัติตนไม่ซื่อตรง ชาวประชาย่อมไม่เชื่อฟัง”
“ความร่ำรวยที่ได้มาด้วยความไม่ถูกต้อง สำหรับฉันแล้ว เหมือนกับก้อนเมฆลอย”
“ฉลาด” แต่เข้าข้างคนผิด ชีวิตก็บัดซบ “ฉลาด” แต่เข้ากับใครไม่ได้ ก็ไร้ประโยชน์ “ฉลาด” แต่ขาดคุณธรรม ไม่ทำให้ใครเจริญ
“เงินทองและตำแหน่งที่ใหญ่โต ต่างเป็นที่อยากได้ของผู้คน แต่สุภาพชนต้องไม่ใช้วิธีไม่ถูกต้องได้มา”
“สิ่งที่สุจริตชนเป็นห่วงว่าทั่วฟ้าแผ่นดินมีคุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่ห่วงความยากจนและความเป็นอยู่”
“รู้ผู้อื่นนั้น-ฉลาด รู้ตนเองนั้น-เป็นอัจฉริยะ ชนะผู้อื่นนั้น-เป็นผู้เข้มแข็ง ชนะตนเองนั้น-คือผู้ยิ่งใหญ่”
ผู้รู้ต้องรู้ว่า-บัวมี 4 เหล่า ธรรมสอนว่า-จงอย่าเสียเวลากับบัวใต้น้ำที่โดนหินทับ แต่จงใส่ใจกับ “บัว” ที่มีโอกาสจะขึ้นเหนือน้ำ และจงเชื่อมั่นและศรัทธาว่า
“ผู้ที่มีคุณธรรมจะไม่โดดเดี่ยว จะต้องมีผู้คนแบบเดียวกันสนับสนุน”
ขอปิดท้ายด้วยปราชญ์แห่ง “พ่อของแผ่นดิน” หรือ “ในหลวง” ของผองชนชาวไทยที่ว่า
“การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ “ความชั่ว” ซึ่งทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่แล้วจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันรู้สึกตัว”