ASTVผู้จัดการรายวัน-ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งหนังสือถึง "ประจิน" จี้ทบทวนการคืนท่อก๊าซ ชี้ไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แฉ "คลัง พลังงาน ปตท." บิดข้อกฎหมาย ฮุบสมบัติชาติ ย้ำทรัพย์สินก่อนแปรรูปทั้งหมดต้องคืนคลัง รวมมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท "เครือข่ายขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน" ประกาศไว้อาลัยต่อการลุแก่อำนาจของทหาร หลังถูกสั่งให้หยุดเดิน ลั่นจะกลับมาเดินต่อจนถึงกรุงเทพฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 4 ก.ย.2557 ถึง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ เสนอความเห็นให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ทบทวนการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใหม่
ทั้งนี้ นายศรีราชา เห็นว่า กระบวนการแบ่งแยกทรัพย์สินของ ปตท. ให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2550 ยังไม่ครบถ้วน และระบุด้วยว่า พฤติการณ์ของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ ปตท. เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายฉบับ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตาม มติ ครม. 18 ธ.ค.2550 ที่ให้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหน้าที่ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องในการแบ่งแยกทรัพย์สิน แต่กลับมีการรายงานข้อมูลเท็จต่อศาลปกครองสูงสุดว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินครบถ้วนแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ และรับรองความถูกต้องจาก สตง. ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
ในหนังสือมีรายละเอียดดังนี้ ระบบท่อส่งก๊าซบนบกและในทะเลที่ยังไม่คืนให้กระทรวงการคลัง มีมูลค่า 32,613.45 ล้านบาท แต่บริษัท ปตท. กลับยื่นคำร้องรายงานสรุปการดำเนินการตามคำพิพากษา และมติครม. 18 ธ.ค.2550 ต่อศาลว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ และรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอน และลัดขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญในการแบ่งแยกทรัพย์สิน จึงเป็นกรณีที่กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ ปตท. ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องเป็นไปตามมติ ครม. แม้ต่อมา สตง. จะทำหนังสือแจ้งให้กระทรวงการคลัง ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษา แต่ก็ไม่ดำเนินการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยรวม จึงถือว่าไม่ปฏิบัติตามมติครม. อาจมีผลเป็นความผิดวินัยตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 เป็นความรับผิดทางแพ่ง (ละเมิด) ตามพ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เป็นความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา หรือเป็นความผิดในคดีปกครองที่อาจถูกฟ้องต่อศาลปกครองให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการกระทำที่ไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. ได้
นอกจากนี้ การรายงานผลการดำเนินการตามคำพิพากษาของ ปตท. ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 25ธ.ค.2551 ที่อ้างว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดครบถ้วนแล้ว เป็นการรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จต่อศาลปกครองสูงสุด เพราะไม่เป็นไปตามมติครม.วันที่ 18 ธ.ค.2550 ที่ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบ และรับรองความถูกต้อง อีกทั้งการตีความว่า ระบบท่อก๊าซที่ไม่ได้คืนให้กระทรวงการคลัง เป็นเพราะ ปตท. เป็นผู้จ่ายเงินค่าก่อสร้างทำให้ทรัพย์สินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามมาตรา 1304 (3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น ไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายเพราะทรัพย์สินดังกล่าวได้มาและใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการก่อนที่จะมีการเปลี่ยนสภาพไปเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
ดังนั้น มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 ธ.ค.2544 มีมูลค่าสุทธิ 68,569.69 ล้านบาท ที่ต้องแบ่งแยกและคืนให้กับกระทรวงการคลัง ก่อนที่จะมีการแปรสภาพไปเป็นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในปี 2550 แต่ไม่ปรากฏว่า กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน ได้ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินของ ปตท. ให้กลับมาเป็นของแผ่นดิน หรือกระทรวงการคลังอย่างครบถ้วนแต่อย่างใด จึงถือว่าพฤติการณ์ของกระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อันเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏบัติตามมาตรา 9 (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 จึงถือเป็นกรณีที่กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ ปตท. ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่เป็นธรรมตามมาตรา 13 (1) (ก) (ข) แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552
นายศรีราชาระบุว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีความเห็นและข้อเสนอต่อรองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ ขอให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ ปตท. ดำเนินการดังต่อไปนี้
1.ทบทวนการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ด้วยการหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษา ตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในประเด็นทรัพย์สินที่ยังไม่ได้แบ่งแยกเนื่องจากการใช้อำนาจมหาชนตามพ.ร.บ.การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2521 และประเด็นเรื่องความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของท่อก๊าซทั้งบนบกและในทะเล และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับรองความถูกต้องการแบ่งแยกทรัพย์สินให้เป็นไปตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2550 ต่อไป
2.ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินและโอนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศให้กระทรวงการคลัง ตามมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 ก.ย.2544 จำนวน 68,569,690,569.82 บาท ทั้งจำนวน รวมทั้งค่าตอบแทน ผลประโยชน์อื่นใดจากการใช้ทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศ ได้แก่ ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร อุปกรณ์และทรัพย์สินอื่น และสิทธิหรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนที่บริษัท ปตท. ได้อาศัยใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการ พร้อมดอกบั้ยตามกฎหมายให้ครบถ้วนต่อไป
3.พิจารณานำข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน ความเห็นและข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดินดังกล่าว ไปเป็นข้อมูลประกอบในการปฏิรูปพลังงานต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อเสนอของนายศรีราชาในครั้งนี้ เป็นไปตามข้อสรุปของคณะทำงานด้านพลังงานที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี พ.ท.พ.ญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี และคณะ ร้องเรียนข้อโต้แย้งของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ระบุว่า การส่งคืนระบบท่อก๊าซตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในปี 2550 ยังไม่ครบถ้วน
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า วานนี้ (10 ก.ย.) เครือข่ายขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน ได้อ่านคำแถลงการณ์ หลังจากต้องหยุดเดินในพื้นที่ อ.ปะทิว จ.ชุมพร เนื่องจากทหารจังหวัดทหารบกชุมพร ส่งทหารพระธรรมนูญ มาเจรจาให้หยุดเดินในพื้นที่รับผิดชอบทันที
นายอัครเดช จักรจินดา ตัวแทนขาหุ้นฯ กลุ่มเซฟกระบี่ ได้อ่านแถลงการณ์โดยระบุว่า เจตนารมณ์ปฏิรูปพลังงานของขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศชาติ ภายใต้การปฏิรูปประเทศ เราหวังให้ประเทศได้อธิปไตยด้านพลังงานคืนมา เพื่อการจัดสรรให้แก่ประชาชนในชาติได้ใช้ในราคาที่เป็นธรรม ตลอดระยะเวลา 20 วัน ขาหุ้นปฏิรูปพลังงานได้เลือกวิธีการที่อ่อนโยนที่สุด คือ การเดินเท้าภายใต้สถานการณ์เผด็จการทหาร เพื่อไม่ให้ถูกตีความเจตนารมณ์ว่าเป็นการก่อความวุ่นวายต่อประเทศชาติ
"เราเรียกร้องให้ คสช. รอสภาปฏิรูปก่อนการอนุมัติเรื่องพลังงานในหลายวาระสำคัญเหมือนที่ฝ่ายทหารมักจะบอกกับขาหุ้นว่าให้หยุดเดินเพื่อรอสภาปฏิรูป เมื่อฝ่าย คสช. ไม่รอเราจึงจำเป็นต้องออกเดิน ให้ข้อมูลกับประชาชนว่าภายใต้ขุมทรัพย์ด้านพลังงานของประเทศ เราได้เสียอธิปไตยให้กับบริษัทพลังงานมานานแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องเอาอธิปไตยด้านพลังงานคืนมา ด้านพลังงานไฟฟ้าเราต้องกระจายผู้ผลิตและกระจายที่มาของไฟฟ้า เพื่อก่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน ไม่นำเชื้อเพลิงที่เป็นมลพิษเข้ามาสู่ประเทศ"
สำหรับข้อเรียกร้อง มี 5 ข้อ ได้แก่ 1.เพื่อประเทศได้ประโยชน์สูงสุดขอให้เปลี่ยนระบบสัมปทานปิโตรเลียมเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตซึ่งได้พิสูจน์จากนานาประเทศว่าจะทำให้ประเทศได้ความเป็นเจ้าของปิโตรเลียมคืนมา 2.ขอให้จัดตั้งบริษัทแห่งชาติเพื่อควบคุมปิโตรเลียมให้ประชาชนใช้ก่อนในราคาที่เป็นธรรม 3.ขอให้มีการแบ่งพื้นที่ปิโตรเลียมและพื้นที่ผลิตอาหาร/การท่องเที่ยวอย่างชัดเจนเพื่อการพัฒนาที่สมดุล 4.เพื่อความปลอดภัยทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพขอให้ปลดโรงไฟฟ้าถ่านหินจากแผนผลิตพลังงานไฟฟ้าดังที่นานาประเทศกำลังปฏิบัติ 5.เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าและประชาชนทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของการผลิตไฟฟ้าได้ขอให้ผลักดันกฎหมาย พรบ.พลังงานหมุนเวียนโดยเร็ว
นายอัครเดชกล่าวว่า ขณะนี้เราเดินมาถึงจังหวัดชุมพรตามเจตนารมณ์ที่จะไปให้ถึงกรุงเทพฯ ตลอดระยะเวลาการเดินได้รักษากติกาตามกฎอัยการศึกนั่นคือเดินไม่เกิน 5 คน และได้มีการสื่อสารกันตลอดเวลาเพื่อรักษากติกา โดยฝ่ายทหารยืนยันตลอดเวลาว่าการเดินแบบนี้สามารถทำได้ไม่ผิดกฎอัยการศึกแต่อย่างไร โดยเช้าของวันที่ 10 ก.ย. ขาหุ้นจังหวัดชุมพร ยังคงรักษาการเดิน 2 คนตามรูปแบบเดิม แต่เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ฝ่ายทหารบอกว่าแม้ว่าเดินไม่เกิน 5 คนก็จะจับ การสื่อสารระหว่างกันถูกฉีกทิ้งด้วยการอ้างว่ามีการแจกเอกสารระหว่างการเดิน
ทั้งนี้ เอกสารที่กล่าวถึง คือ พิมพ์เขียวปฏิรูปพลังงาน ซึ่งสามารถอ่านได้ในสื่อออนไลน์ทั่วไป แต่ถูกตีความว่าเป็นการแจกเอกสารที่ผิดกฎอัยการศึก
"เราจึงขอไว้อาลัยต่อการลุแก่อำนาจในการบังคับใช้กฎอัยการศึกของทหาร โดยการหยุดเดินเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สังคมทบทวนต่อการใช้อำนาจเผด็จการของทหารในครั้งนี้ ส่วนเจตนารมณ์การเดินเท้าถึงกรุงเทพฯ นั้น จะปฏิบัติสานต่อจนลุล่วงอย่างแน่นอนตามเวลาที่กำหนดไว้"นายอัครเดชกล่าว