ศูนย์ข่าวขอนแก่น-"หลวงปู่พิมพ์" ไม่ละสังขาร ยอมออกจากโลงศพไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้ว หลัง ผบก.ชัยภูมิ นำเจ้าหน้าที่บุกขึ้นไปนิมนต์ถึงโลงขอให้ดำรงธาตุขันธุ์บำรุงศาสนวัตถุ สืบพระศาสนาต่อไป คณะกรรมการวัดประกาศให้ศิษย์กลับบ้าน ยกเลิกกำหนดการเผาทั้งหมด เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิชี้การประกาศละสังขารของหลวงปู่พิมพ์ เป็นเจตนาทางใจ มิได้อวดอ้าง เผยวิญญาณออกจากร่างแล้ว แต่เทพเทวาให้กลับมา
เมื่อเวลา 10.00 น.วานนี้ (10 ก.ย.) นายสุนันท์ ศรีสุข เจ้าพนักงานชำนาญงานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ พ.ต.อ.พงษ์ศักดิ์ สุขอิ่ม ผกก.สภ.คอนสาร พระครูปริยัติเขตคณารักษ์ เจ้าอาวาสวัดป่าเรไร ในฐานะเจ้าคณะอำเภอคอนสาร ได้เดินทางมาที่วัดป่าเวฬุวัน ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เพื่อพบและพูดคุยกับพระมหาบัว ปิยวณฺโณ พระลูกวัดป่าเวฬุวัน ซึ่งเป็นน้องชายหลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือหลวงปู่พิมพ์ เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน อายุ 65 ปี ที่ได้เข้าไปนอนเจริญภาวนาในโลงที่จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เวลา 21.00 น.คืนวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อละสังขวาร พร้อมย้ำไม่ให้ญาติโยมและลูกศิษย์ ขึ้นไปรบกวนจนกว่าจะถึงเวลา 21.00 น.คืนวันที่ 11 ก.ย. จนกลายเป็นประเด็นร้อนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย
โดยได้รับความร่วมมือจากพระมหาบัว พร้อมนำทั้ง 3 คน ขึ้นไปสังเกตการณ์ อยู่ห่างจากโลงประมาณ 5 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงลงมาด้านล่าง
นายสุนันท์กล่าวว่า สาเหตุที่มาในครั้งนี้เพื่อมาตรวจดูความเรียบร้อยว่าเข้าข่ายเป็นการหลอกลวงเป็นกลุ่มมิจฉาชีพหรือไม่ ส่วนที่ขึ้นไปที่กุฏิหลวงปู่พิมพ์ ทำได้แค่มองผ่านช่องโลงศพด้านข้างเท่านั้น พบว่ามีคนนอนอยู่ภายในท่านอนตะแคง แต่ไม่ได้เข้าไปเปิดฝาโลงดูหรือรบกวนหลวงปู่ แต่อย่างใด
"จากการเข้าสังเกตการณ์ในระยะห่างจากกุฏิที่ตั้งโลงหลวงปู่ประมาณ 5 เมตร ถือว่าเป็นปกติ เห็นฝาโลงปิดไว้ โดยไม่มีการตอกฝาโลงตามที่เป็นข่าว จากการสอบถามทราบว่าหลวงปู่ เตรียมโลงไว้ตั้งแต่ปี 2540 แล้ว เป็นแผ่นไม้ที่นำมาประกอบเป็นโลง มีช่องระบายอากาศ บริเวณที่ยืนอยู่นั้นห่างจากโลง 10 เมตร จึงพอจะมองเห็นผ้าที่มีลักษณะคล้ายจีวรพระที่นุ่งห่มอยู่ เมื่อปรึกษากับทางตำรวจก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้ เนื่องจากเป็นเจตนาของหลวงปู่ ที่ปฏิเสธการเข้าดูแลการรักษาทางการแพทย์"
นายสุนันท์กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบจะเข้ามาร่วมเป็นสักขีพยานตามวัน เวลาที่หลวงปู่กำหนดให้ลูกศิษย์เข้าไปนำร่างมาประกอบพิธีเผาศพ คือ วันที่ 11 ก.ย. หากมรณภาพจริงต้องให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพว่ามรณภาพจากสาเหตุใด แต่คงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงปู่ที่สั่งเสียไว้ก่อนมรณภาพ
ด้านพระมหาบัว ปิยวณุโณ พระลูกวัด น้องชายของหลวงปู่พิมพ์ เผยทั้งน้ำตาว่า หลวงปู่ป่วยเป็นโรคเก๊า และลำไส้ มานาน หมอให้ยามารับประทานก็ไม่หาย หลวงปู่เลยเลิกทานยาและตั้งใจปฏิบัติฌาญสมาบัติ 4 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ผ่านมาหลวงปู่ เคยทำลักษณะนี้มาแล้ว คือ นอนในโลงศพแบบไม่ฉันท์อะไรเลยนอกจากน้ำมาแล้ว 7 วัน โดยห้ามคนไปยุ่ง เหมือนกับครั้งนี้และหลวงปู่ก็ไม่ตาย อาการป่วยต่างๆ ก็ดีขึ้น
ในครั้งนี้ก็เช่นกันหลวงปู่ตั้งใจจะทำแบบเดิมโดยจะนอนอยู่ภายในโลง 3 วันแบบลักษณะปลงสังขารและจะไม่ฉันท์อะไรเลย ไม่ให้ใครเข้าไปใกล้หรือรบกวนใดๆ จากนั้นในวันที่ 11 ก.ย.นี้ เวลา 16.00 น.ให้ขึ้นไปดู หากมรณภาพก็ให้นำร่างไปเผาเวลา 21.00 น. แต่ถ้าไม่มรณภาพก็จะดำเนินกิจของสงฆ์ต่อไป
"ที่เป็นข่าวว่าหลวงปู่จะมรณภาพนั้น อาตมาว่ามันยังไม่เกิดขึ้น ไม่อยากให้คิด เพราะมันสามารถเป็นไปได้ทั้งสองแนวทางคือ มรณภาพและไม่มรณภาพ แต่ถ้ามรณภาพ หลวงปู่ก็ได้ทำพินัยกรรมไว้และจะนำมาเปิดเผยหลังจากที่เผาศพหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อย ส่วนถ้ายังไม่มรณภาพ หลวงพ่อก็จะลงมาที่ศาลาการเปรียญและชี้แจงอธิบายถึงสาเหตุให้ญาติโยมได้รับทราบ ส่วนเงินบริจาคในช่วงวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมาประมาณ 2 แสนบาทนั้น อาตมาได้นำไปฝากไว้ที่ธนาคารแล้ว โดยตั้งใจจะนำไปสร้างสะพานคอนกรีตเข้าหมู่บ้านให้เสร็จตามเจตนาของหลวงปู่"
อย่างไรก็ตาม จากการให้สัมภาษณ์ของพระมหาบัวครั้งนี้สังเกตได้ว่ามีท่าทีคำพูดต่างไปจากการให้สัมภาษณ์ของคณะลูกศิษย์ในวันแรกๆ ก่อนที่จะเป็นข่าวครึกโครมที่ว่าหลวงปู่พิมพ์รู้วันละสังขารและจะมรณภาพแน่นอนและเมื่อนำโลงศพไปตั้งที่โขดหินไฟจะติดเอง
ส่วนบรรยากาศโดยรวมภายในวัดมีประชาชนนุ่งขาวห่มขาวมาปฏิบัติธรรมเหมือนปกติ และมีญาติโยมส่วนมาพักค้างแรมเพื่อรอดูศพของหลวงปู่พิม ที่ต่างเชื่อว่ามรณภาพ อยู่ภายในโลงศพ ซึ่งทุกคนจะทราบโดยพร้อมกันคือเวลา 16.00 น.ของวันที่ 11 ก.ย.นี้
ต่อมาเวลา 15.30 น. พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิ พร้อมกำลังตำรวจ เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล รพ.คอนสาร ได้ขึ้นไปเจรจากับหลวงปู่พิมพ์ ที่นอนอยู่ในโลงศพข้างกุฏิให้ล้มเลิกความคิดที่จะละสังขารและขอให้อยู่ดำรงธาตุขันธุ์ บำรุงศาสนวัตถุสืบพระศาสนาต่อไป ปรากฏว่าหลวงปู่ ได้ยินยอมตามที่ พล.ต.ต.พินิต ขอ จากนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่พยาบาลตรวจร่างกายเบื้องต้น พบว่าความดันและสุขภาพปกติดีทุกอย่าง จากนั้นจึงได้นำส่ง รพ.คอนสาร ก่อนที่จะนำไปพักรักษาที่ รพ.ศรีนครินทร์ อ.เมืองขอนแก่น ขณะที่ทางวัดได้ประกาศให้บรรดาลูกศิษย์เดินทางกลับภูมิลำเนา ส่วนกำหนดการที่จะเผาศพนั้นให้ยกเลิกหมด
พล.ต.ต.พินิตกล่าวว่า การเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้หลวงปู่ ยกเลิกการละสังขารครั้งนี้ เพราะต้องคำนึงถึงหลักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องการให้ใครมาเสียชีวิต และมีใครมีส่วนร่วมในการทำให้มรณภาพหรือไม่ โดยประเด็นการหลอกลวงประชาชนนั้น เจ้าหน้าที่จะสอบสวนขยายผลต่อว่าเข้าข่ายการหลอกลวงหรือไม่และมีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความหรือไม่
"ใจจริงไม่อยากให้ท่านมรณภาพ เพราะปัจจุบันเหลือพระเกจิอาจารย์ที่สำคัญไม่กี่รูปแล้ว อยากให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพระพุทธศาสนาสืบไป ขณะเดียวกันท่านก็ป่วยเป็นโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน และโรคเก๋า ซึ่งทรมานร่างกายมาก โดยพระน้องชายของท่านก็ไม่อยากให้มรณภาพ อยากให้ท่านอยู่ดูแลวัดบำรุงพระศาสนาสืบไป จึงได้เข้าไปเกลี้ยกล่อมให้ท่านยอมลงมารักษาอาการอาพาธดังกล่าว"
ด้านหลวงปู่สี เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า การประกาศละสังขารของหลวงปู่พิมพ์ เป็นเจตนาทางใจมิได้มีเจตนาอวดอ้าง การละสังขารของหลวงปู่พิมพ์ เหมือนกับเข้านิโรธสมาบัติ มิใช่การตายจริง โดยวิญญาณหลวงปู่พิมพ์ ได้ออกจากร่างไปแล้ว แต่เทพเทวาได้บอกให้กลับมาก่อนเพื่อให้ประชาชนได้บูชากราบไหว้ ซึ่งหลวงปู่พิมพ์เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง
ทางด้าน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องฐานความเชื่อทางสังคม โดยแต่ละสังคมจะมีกรอบความคิด ความเชื่อไม่เหมือนกัน เรื่องการละสังขารเป็นเรื่องที่เคยได้ยินมาโดยตลอด โดยเฉพาะความเชื่อในทางศาสนาพุทธ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นมิติแนวคิดความเชื่อหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ในทางสังคม จึงไม่สามารถใช้ประเด็นทางการแพทย์มาตัดสินได้ทันที เพราะเป็นความทับซ้อนที่ไม่สามารถตีความได้ตรงตัวเช่นนั้น ไม่สามารถนำสิ่งที่ท่านทำมาวิเคราะห์ได้ว่าผิดหรือถูก เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อ
"หากจะเปรียบเทียบจะคล้ายกรณีที่เด็กเลียนแบบละครหรือหนัง เช่น กระโดดจากที่สูง หรือลองมัดคอ ผูกคอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กที่ไม่ได้เจตนาฆ่าตัวเองให้ถึงแก่ชีวิต แต่การกระทำหลายรูปแบบนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ การฆ่าตัวตายในทางการแพทย์ หมายถึง ผู้ที่มีพฤติกรรมมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตของตนเอง โดยมีกระบวนการทำร้ายตัวเองวิธีต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องจนถึงแก่ชีวิต โดยต้องไปพิจารณาแรงผลักดันที่นำมาสู่การฆ่าตายตัวอีกครั้งว่าเกิดจากอะไร เช่น โรคซึมเศร้า ความหุนหันพลันแล่น เป็นต้น" รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศานสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ทราบมาว่าได้มีการนำนิมนต์หลวงพ่อพิมพ์ออกจากโลงศพและนำส่งโรงพยาบาลแล้ว เพราะทางเจ้าคณะจ.ชัยภูมิ ได้แจ้งกับตนว่า หลวงพ่อพิมพ์ อาพาธหลายโรค อาจจะทำให้ตัดสินใจพูดอะไรออกไปด้วยการขาดความยั้งคิด จึงให้ออกมาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อให้อาการอาพาธดีขึ้นก่อน และเมื่ออาการดีขึ้นทางเจ้าคณะจ.ชัยภูมิ จะมีการพิจารณาอีกครั้ง โดยอาจจะมีการว่ากล่าวตักเตือน เพื่อปรามหลวงพ่อพิมพ์ ไม่ให้มีพฤติกรรมในลักษณะนี้ขึ้นมาอีก ส่วนจะมีการพิจารณาโทษถึงขั้นอวดอุตริหรือไม่นั้น ทางเจ้าคณะจ.ชัยภูมิแจ้งว่า คงไม่ถึงขั้นนั้น เนื่องจากสิ่งที่หลวงพ่อพิมพ์ทำลงไปเป็นผลมาจากการที่อาพาธหลายโรค
เมื่อเวลา 10.00 น.วานนี้ (10 ก.ย.) นายสุนันท์ ศรีสุข เจ้าพนักงานชำนาญงานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ พ.ต.อ.พงษ์ศักดิ์ สุขอิ่ม ผกก.สภ.คอนสาร พระครูปริยัติเขตคณารักษ์ เจ้าอาวาสวัดป่าเรไร ในฐานะเจ้าคณะอำเภอคอนสาร ได้เดินทางมาที่วัดป่าเวฬุวัน ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เพื่อพบและพูดคุยกับพระมหาบัว ปิยวณฺโณ พระลูกวัดป่าเวฬุวัน ซึ่งเป็นน้องชายหลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือหลวงปู่พิมพ์ เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน อายุ 65 ปี ที่ได้เข้าไปนอนเจริญภาวนาในโลงที่จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เวลา 21.00 น.คืนวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อละสังขวาร พร้อมย้ำไม่ให้ญาติโยมและลูกศิษย์ ขึ้นไปรบกวนจนกว่าจะถึงเวลา 21.00 น.คืนวันที่ 11 ก.ย. จนกลายเป็นประเด็นร้อนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย
โดยได้รับความร่วมมือจากพระมหาบัว พร้อมนำทั้ง 3 คน ขึ้นไปสังเกตการณ์ อยู่ห่างจากโลงประมาณ 5 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงลงมาด้านล่าง
นายสุนันท์กล่าวว่า สาเหตุที่มาในครั้งนี้เพื่อมาตรวจดูความเรียบร้อยว่าเข้าข่ายเป็นการหลอกลวงเป็นกลุ่มมิจฉาชีพหรือไม่ ส่วนที่ขึ้นไปที่กุฏิหลวงปู่พิมพ์ ทำได้แค่มองผ่านช่องโลงศพด้านข้างเท่านั้น พบว่ามีคนนอนอยู่ภายในท่านอนตะแคง แต่ไม่ได้เข้าไปเปิดฝาโลงดูหรือรบกวนหลวงปู่ แต่อย่างใด
"จากการเข้าสังเกตการณ์ในระยะห่างจากกุฏิที่ตั้งโลงหลวงปู่ประมาณ 5 เมตร ถือว่าเป็นปกติ เห็นฝาโลงปิดไว้ โดยไม่มีการตอกฝาโลงตามที่เป็นข่าว จากการสอบถามทราบว่าหลวงปู่ เตรียมโลงไว้ตั้งแต่ปี 2540 แล้ว เป็นแผ่นไม้ที่นำมาประกอบเป็นโลง มีช่องระบายอากาศ บริเวณที่ยืนอยู่นั้นห่างจากโลง 10 เมตร จึงพอจะมองเห็นผ้าที่มีลักษณะคล้ายจีวรพระที่นุ่งห่มอยู่ เมื่อปรึกษากับทางตำรวจก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้ เนื่องจากเป็นเจตนาของหลวงปู่ ที่ปฏิเสธการเข้าดูแลการรักษาทางการแพทย์"
นายสุนันท์กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบจะเข้ามาร่วมเป็นสักขีพยานตามวัน เวลาที่หลวงปู่กำหนดให้ลูกศิษย์เข้าไปนำร่างมาประกอบพิธีเผาศพ คือ วันที่ 11 ก.ย. หากมรณภาพจริงต้องให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพว่ามรณภาพจากสาเหตุใด แต่คงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงปู่ที่สั่งเสียไว้ก่อนมรณภาพ
ด้านพระมหาบัว ปิยวณุโณ พระลูกวัด น้องชายของหลวงปู่พิมพ์ เผยทั้งน้ำตาว่า หลวงปู่ป่วยเป็นโรคเก๊า และลำไส้ มานาน หมอให้ยามารับประทานก็ไม่หาย หลวงปู่เลยเลิกทานยาและตั้งใจปฏิบัติฌาญสมาบัติ 4 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ผ่านมาหลวงปู่ เคยทำลักษณะนี้มาแล้ว คือ นอนในโลงศพแบบไม่ฉันท์อะไรเลยนอกจากน้ำมาแล้ว 7 วัน โดยห้ามคนไปยุ่ง เหมือนกับครั้งนี้และหลวงปู่ก็ไม่ตาย อาการป่วยต่างๆ ก็ดีขึ้น
ในครั้งนี้ก็เช่นกันหลวงปู่ตั้งใจจะทำแบบเดิมโดยจะนอนอยู่ภายในโลง 3 วันแบบลักษณะปลงสังขารและจะไม่ฉันท์อะไรเลย ไม่ให้ใครเข้าไปใกล้หรือรบกวนใดๆ จากนั้นในวันที่ 11 ก.ย.นี้ เวลา 16.00 น.ให้ขึ้นไปดู หากมรณภาพก็ให้นำร่างไปเผาเวลา 21.00 น. แต่ถ้าไม่มรณภาพก็จะดำเนินกิจของสงฆ์ต่อไป
"ที่เป็นข่าวว่าหลวงปู่จะมรณภาพนั้น อาตมาว่ามันยังไม่เกิดขึ้น ไม่อยากให้คิด เพราะมันสามารถเป็นไปได้ทั้งสองแนวทางคือ มรณภาพและไม่มรณภาพ แต่ถ้ามรณภาพ หลวงปู่ก็ได้ทำพินัยกรรมไว้และจะนำมาเปิดเผยหลังจากที่เผาศพหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อย ส่วนถ้ายังไม่มรณภาพ หลวงพ่อก็จะลงมาที่ศาลาการเปรียญและชี้แจงอธิบายถึงสาเหตุให้ญาติโยมได้รับทราบ ส่วนเงินบริจาคในช่วงวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมาประมาณ 2 แสนบาทนั้น อาตมาได้นำไปฝากไว้ที่ธนาคารแล้ว โดยตั้งใจจะนำไปสร้างสะพานคอนกรีตเข้าหมู่บ้านให้เสร็จตามเจตนาของหลวงปู่"
อย่างไรก็ตาม จากการให้สัมภาษณ์ของพระมหาบัวครั้งนี้สังเกตได้ว่ามีท่าทีคำพูดต่างไปจากการให้สัมภาษณ์ของคณะลูกศิษย์ในวันแรกๆ ก่อนที่จะเป็นข่าวครึกโครมที่ว่าหลวงปู่พิมพ์รู้วันละสังขารและจะมรณภาพแน่นอนและเมื่อนำโลงศพไปตั้งที่โขดหินไฟจะติดเอง
ส่วนบรรยากาศโดยรวมภายในวัดมีประชาชนนุ่งขาวห่มขาวมาปฏิบัติธรรมเหมือนปกติ และมีญาติโยมส่วนมาพักค้างแรมเพื่อรอดูศพของหลวงปู่พิม ที่ต่างเชื่อว่ามรณภาพ อยู่ภายในโลงศพ ซึ่งทุกคนจะทราบโดยพร้อมกันคือเวลา 16.00 น.ของวันที่ 11 ก.ย.นี้
ต่อมาเวลา 15.30 น. พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิ พร้อมกำลังตำรวจ เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล รพ.คอนสาร ได้ขึ้นไปเจรจากับหลวงปู่พิมพ์ ที่นอนอยู่ในโลงศพข้างกุฏิให้ล้มเลิกความคิดที่จะละสังขารและขอให้อยู่ดำรงธาตุขันธุ์ บำรุงศาสนวัตถุสืบพระศาสนาต่อไป ปรากฏว่าหลวงปู่ ได้ยินยอมตามที่ พล.ต.ต.พินิต ขอ จากนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่พยาบาลตรวจร่างกายเบื้องต้น พบว่าความดันและสุขภาพปกติดีทุกอย่าง จากนั้นจึงได้นำส่ง รพ.คอนสาร ก่อนที่จะนำไปพักรักษาที่ รพ.ศรีนครินทร์ อ.เมืองขอนแก่น ขณะที่ทางวัดได้ประกาศให้บรรดาลูกศิษย์เดินทางกลับภูมิลำเนา ส่วนกำหนดการที่จะเผาศพนั้นให้ยกเลิกหมด
พล.ต.ต.พินิตกล่าวว่า การเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้หลวงปู่ ยกเลิกการละสังขารครั้งนี้ เพราะต้องคำนึงถึงหลักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องการให้ใครมาเสียชีวิต และมีใครมีส่วนร่วมในการทำให้มรณภาพหรือไม่ โดยประเด็นการหลอกลวงประชาชนนั้น เจ้าหน้าที่จะสอบสวนขยายผลต่อว่าเข้าข่ายการหลอกลวงหรือไม่และมีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความหรือไม่
"ใจจริงไม่อยากให้ท่านมรณภาพ เพราะปัจจุบันเหลือพระเกจิอาจารย์ที่สำคัญไม่กี่รูปแล้ว อยากให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพระพุทธศาสนาสืบไป ขณะเดียวกันท่านก็ป่วยเป็นโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน และโรคเก๋า ซึ่งทรมานร่างกายมาก โดยพระน้องชายของท่านก็ไม่อยากให้มรณภาพ อยากให้ท่านอยู่ดูแลวัดบำรุงพระศาสนาสืบไป จึงได้เข้าไปเกลี้ยกล่อมให้ท่านยอมลงมารักษาอาการอาพาธดังกล่าว"
ด้านหลวงปู่สี เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า การประกาศละสังขารของหลวงปู่พิมพ์ เป็นเจตนาทางใจมิได้มีเจตนาอวดอ้าง การละสังขารของหลวงปู่พิมพ์ เหมือนกับเข้านิโรธสมาบัติ มิใช่การตายจริง โดยวิญญาณหลวงปู่พิมพ์ ได้ออกจากร่างไปแล้ว แต่เทพเทวาได้บอกให้กลับมาก่อนเพื่อให้ประชาชนได้บูชากราบไหว้ ซึ่งหลวงปู่พิมพ์เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง
ทางด้าน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องฐานความเชื่อทางสังคม โดยแต่ละสังคมจะมีกรอบความคิด ความเชื่อไม่เหมือนกัน เรื่องการละสังขารเป็นเรื่องที่เคยได้ยินมาโดยตลอด โดยเฉพาะความเชื่อในทางศาสนาพุทธ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นมิติแนวคิดความเชื่อหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ในทางสังคม จึงไม่สามารถใช้ประเด็นทางการแพทย์มาตัดสินได้ทันที เพราะเป็นความทับซ้อนที่ไม่สามารถตีความได้ตรงตัวเช่นนั้น ไม่สามารถนำสิ่งที่ท่านทำมาวิเคราะห์ได้ว่าผิดหรือถูก เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อ
"หากจะเปรียบเทียบจะคล้ายกรณีที่เด็กเลียนแบบละครหรือหนัง เช่น กระโดดจากที่สูง หรือลองมัดคอ ผูกคอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กที่ไม่ได้เจตนาฆ่าตัวเองให้ถึงแก่ชีวิต แต่การกระทำหลายรูปแบบนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ การฆ่าตัวตายในทางการแพทย์ หมายถึง ผู้ที่มีพฤติกรรมมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตของตนเอง โดยมีกระบวนการทำร้ายตัวเองวิธีต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องจนถึงแก่ชีวิต โดยต้องไปพิจารณาแรงผลักดันที่นำมาสู่การฆ่าตายตัวอีกครั้งว่าเกิดจากอะไร เช่น โรคซึมเศร้า ความหุนหันพลันแล่น เป็นต้น" รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศานสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ทราบมาว่าได้มีการนำนิมนต์หลวงพ่อพิมพ์ออกจากโลงศพและนำส่งโรงพยาบาลแล้ว เพราะทางเจ้าคณะจ.ชัยภูมิ ได้แจ้งกับตนว่า หลวงพ่อพิมพ์ อาพาธหลายโรค อาจจะทำให้ตัดสินใจพูดอะไรออกไปด้วยการขาดความยั้งคิด จึงให้ออกมาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อให้อาการอาพาธดีขึ้นก่อน และเมื่ออาการดีขึ้นทางเจ้าคณะจ.ชัยภูมิ จะมีการพิจารณาอีกครั้ง โดยอาจจะมีการว่ากล่าวตักเตือน เพื่อปรามหลวงพ่อพิมพ์ ไม่ให้มีพฤติกรรมในลักษณะนี้ขึ้นมาอีก ส่วนจะมีการพิจารณาโทษถึงขั้นอวดอุตริหรือไม่นั้น ทางเจ้าคณะจ.ชัยภูมิแจ้งว่า คงไม่ถึงขั้นนั้น เนื่องจากสิ่งที่หลวงพ่อพิมพ์ทำลงไปเป็นผลมาจากการที่อาพาธหลายโรค