ASTVผู้จัดการรายวัน-พบอีก! เด็กอุ้มบุญโผล่เชียงราย สำนักพัฒนาสังคมฯ ส่งหนังสือถึงโรงพยาบาลขอให้ดูแลเด็กไปก่อน เผยทนายแจ้งเกิดใส่ชื่อ "ชิเกตะ" เป็นพ่อเด็กแล้ว "ปวีณา"พา 2 แม่รับจ้างอุ้มบุญพบตำรวจช่วยเหลือ หลังขอเลิกสัญญา ถูกเอเย่นต์ส่งตำรวจประกบ "รองเอก" รับเป็นตำรวจจริง สั่งสอบข้อเท็จจริงทันควัน ศาลให้ผัดฟ้อง "หมอพิสิฐ" เจ้าของคลีนิกออลไอวีเอฟ แพทยสภาเล็งขอข้อมูลตำรวจประกอบพิจารณาสอบจริยธรรม คาด 1-2 เดือนรู้ผล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดกรณีของนายชิเกตะ มิตซึโตกิ ลูกเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ที่เป็นเจ้าของน้ำเชื้อเด็กอุ้มบุญถึง 9 คน จนเป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้ว ล่าสุด พบว่า ยังมีแม่อุ้มบุญที่เชียงราย อีก 1 ราย โดยแม่อุ้มบุญรายนี้ เป็นหญิงสาวอายุ 29 ปี ชื่อ น.ส.ป๋อง (นามสมมติ) ที่ได้ให้กำเนิดลูกเป็นเพศหญิง ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นทารกน้ำหนักแรกเกิดเพียงแค่ 1.68 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ามีน้ำหนักน้อยมาก รวมทั้งยังคลอดก่อนกำหนด ทำให้หลังการคลอดได้ให้เด็กหญิงนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลมาร่วม 1 สัปดาห์แล้ว ส่วน น.ส.ป๋อง ออกจากโรงพยาบาลไป แต่ก็กลับมาให้นมลูกวันละ 2 ครั้ง
รายงานข่าวแจ้งว่า น.ส.ป๋อง เคยทำงานที่โรงงานกางเกงยีนส์แห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ และได้รับจ้างอุ้มท้องเด็ก หรืออุ้มบุญ เป็นเงิน จำนวน 300,000 บาท โดยได้มีการฝังตัวอ่อนในครรภ์เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา หรือยังไม่ถึง 8 เดือนเต็ม ก็ให้กำเนิด โดยเมื่อคลอดด้วยการผ่าตัดได้เพียง 2 วัน ได้มีชายลักษณะเป็นนักกฎหมายเข้าไปติดต่อ พร้อมประสานเรื่องการฝากครรภ์ ทำคลอด จากนั้นได้พา น.ส.ป๋อง ออกไปพักนอกโรงพยาบาลโดยไม่ทราบจุดพักอาศัย ก่อนจะพาไปให้นมลูกอุ้มบุญดังกล่าว
ขณะที่มีรายงานว่า ทางพนักงานสอบสวนได้พยายามติดต่อกับ น.ส.ป๋อง เพื่อให้ปากคำ แต่มีการขอเลื่อนออกไป เพราะเพิ่งคลอด จึงขอพักรักษาตัว พร้อมทำธุระต่างๆ ให้แล้วเสร็จก่อน
***ขอโรงพยาบาลดูแลเด็กไปก่อน
นายปรีดา กุณามา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ในฐานะเลขานุการคณะคุ้มครองเด็กจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ทางสำนักงานฯ ได้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนแล้ว เพื่อขอให้เด็กอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลไปจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น โดยตนจะให้เจ้าหน้าที่จิตวิทยา และเจ้าหน้าที่นิติกรไปสอบถามผู้ให้กำเนิดถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เบื้องต้นทราบว่าเด็กทารกยังอยู่ในการดูแลของโรงพยาบาล
***แจ้งเกิดใส่ชื่อ“ชิเกตะ”เป็นพ่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดมีชายซึ่งอ้างตัวเป็นนักกฎหมายของนายชิเกตะ ได้พา น.ส.ป๋อง เดินทางจากโรงพยาบาลดังกล่าวไปยังสำนักงานเทศบาลนครเชียงราย เพื่อขอลงใบสูจิบัตรหรือแจ้งเกิดให้กับทารกที่คลอดออกมา กับเจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนราษฎร์ของเทศบาลแล้ว ซึ่งในช่วงแรกที่ไปขอลงสูจิบัตร มีการขอจะไม่ระบุชื่อบิดาของเด็ก แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่า หากประสงค์เช่นนั้น ต้องแจ้งสาเหตุให้ทราบด้วย จนท้ายที่สุดทั้งคู่ได้ยอมแจ้งว่า นายมิตสุโตกิ ชิเกตะ เป็นบิดาของเด็กทารกคนดังกล่าว และตั้งชื่อของทารกคนดังกล่าวแล้ว รวมทั้งระบุด้วยว่า คลอดด้วยวิธีผ่าตัดหน้าท้องเมื่อเวลา 14.40 น. ของวันที่ 4 ก.ย. ด้วยน้ำหนักแรกเกิด 1,740 กรัม พร้อมระบุชื่อนายแพทย์ผู้ทำคลอดและรายละเอียดอื่นๆ ครบถ้วน
***พาแม่อุ้มบุญพบตำรวจหลังถูกขู่
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นำตัวน.ส.ออน (นามสมมติ) อายุ 35 ปี และน.ส.ฉัตร (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นแม่รับจ้างอุ้มบุญ และนายแก้ว (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สามีของ น.ส.ออน เข้าพบ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร. เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีน.ส.ออน ซึ่งได้ยกเลิกสัญญาอุ้มบุญ และถูกเอเย่นต์ให้ชายฉกรรจ์ 3 คน ซึ่งอ้างตัวเป็นตำรวจติดตาม เกรงไม่ได้รับความปลอดภัย โดยนางปวีณา ได้มอบรูปถ่ายของตำรวจทั้ง 3 นายให้กับ พล.ต.อ.เอก ด้วย
นางปวีณากล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา นายแก้ว ได้พาน.ส.ออน ภรรยา เข้าพบตนเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากมีข่าวเรื่องอุ้มบุญ ปรากฏว่า น.ส.ออน ซึ่งรับจ้างอุ้มบุญ ถูกนายหน้าชายชาวต่างชาติติดตามตัวให้ไปคลอดลูกที่ต่างประเทศ แต่น.ส.ออน ขอยกเลิกสัญญาการรับอุ้มบุญที่ทำไว้ จึงถูกติดตามตัว และข่มขู่ โดยมีชายฉกรรจ์ 3 ตน อ้างตัวว่าเป็นตำรวจคอยติดตามน.ส.ออน ไปทุกหนทุกแห่ง จนเจ้าตัวเกรงว่าไม่ได้รับความปลอดภัย จึงอยากขอให้ พล.ต.อ.เอก หามาตรการช่วยเหลือ ดำเนินคดีกับเอเย่นต์และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมของชายฉกรรจ์ 3 คน ที่อ้างว่าเป็นตำรวจ
นอกจากนี้ ขอให้ทางตำรวจช่วยเหลือ น.ส.ฉัตร ที่รับจ้างอุ้มบุญ ให้กับคู่รักซึ่งเป็นชายรักชาย และได้คลอดเด็กแฝดก่อนกำหนด ที่รพ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี โดยมีอายุครรภ์เพียง 5 เดือน และพยาบาลระบุว่าเด็กเสียชีวิตทั้งคู่ แต่นายหน้ากลับนำร่างของเด็กไปทันที จึงอยากขอความเป็นธรรม
***"เอก"เผยพบตำรวจเข้าไปเอี่ยวจริง
พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ได้สั่งการให้พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบสอบสวนกรณีอุ้มบุญ ส่งพนักงานสอบสวนมาทำการสอบปากคำแม่รับจ้างอุ้มบุญทั้ง 2 รายในฐานะผู้กล่าวหา และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยในเบื้องต้นทราบว่าชายฉกรรจ์ที่ติดตามน.ส.ออน เป็นตำรวจชั้นประทวนสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ส่วนจะมีความผิดอาญาหรือผิดวินัยฐานใดหรือไม่ ต้องรอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดก่อนว่าตำรวจทั้ง 3 นายเข้าไปเกี่ยวข้องโดยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือไม่ หากพบว่ามีความผิดก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ขณะที่กรณีของน.ส.ฉัตร อยู่ในขั้นตอนของการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง ในชั้นนี้ยังไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเด็ก ต้องรอให้ตำรวจทำการสืบสวนสอบสวนให้แน่ชัดก่อน แต่หากเด็กเสียชีวิตและมีการนำศพเด็กไปจริงก็ถือว่าผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยดูแลให้คำปรึกษาทางกฎหมาย และให้ความคุ้มครองกรณีแม่รับจ้างอุ้มบุญที่เปลี่ยนใจขอยกเลิกสัญญา แล้วเกรงว่าจะถูกประทุษร้ายด้วย
เมื่อถามว่าหญิงอุ้มบุญทั้ง 2 ราย ได้ทำการฝังตัวอ่อนที่เดียวกันกับคลีนิกที่ทำอุ้มบุญให้นายชิเกตะ มัสซึโตกิ หรือไม่ พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ตำรวจมีรายชื่อสถานพยาบาลทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับทำอุ้มบุญ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเฉียบขาดให้ถึงต้นตอ และจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งสถานพยาบาล แพทย์ เอเย่นต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตำรวจทั้ง 3 นาย ที่ถูกอ้างว่าติดตามน.ส.ออน แม่รับจ้างอุ้มบุญ ได้แก่ ด.ต.ชัยยุทธ จำนงการ ด.ต.จิระศักดิ์ โดยคำดี และ ด.ต.ศรุต กโนทร ทั้งหมดเป็นผบ.หมู่งานสืบสวน สน.ดินแดง
***ยื่นคำร้องผัดฟ้องคลีนิกออลไอวีเอฟ
ที่ศาลแขวงปทุมวัน ถ.พระราม 4 ร.ต.ท.ณัฐพล ล่อดงบัง พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ได้ยื่นคำร้องผัดฟ้อง นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล อายุ 40 ปี เจ้าของสถานพยาบาล “ออล ไอวีเอฟ” ย่านเพลินจิต ซึ่งทำอุ้มบุญให้นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ผู้ต้องหาคดีประกอบกิจการและดำเนินสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท และไม่ควบคุมและดูแลให้แพทย์ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในสถานพยาบาล ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม ที่มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 เป็นเวลา 6 วันตั้งแต่วันที่ 10-15 ก.ย.นี้ เนื่องจากการสอบสวนไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก
โดยคดีนี้ นพ.พิสิฐ ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน เมื่อกลางดึกวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขณะที่ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นสอบสวน จึงไม่ได้นำตัวมาแสดงต่อศาลในวันนี้
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาคำร้องแล้ว อนุญาตให้ผัดฟ้องได้ตามคำร้อง
ร.ต.ท.ณัฐพลกล่าวว่า นพ.พิสิฐ ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี โดยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนด ดังนั้น วันนี้ที่ยื่นคำร้องผัดฟ้อง จึงไม่จำเป็นต้องนำตัวมาศาลในวันนี้ และหลังจากนี้ จะนัดสอบปากคำ นพ.พิสิฐ ผู้ต้องหา และพยานแวดล้อมอื่นๆ โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 20-30 วัน ก่อนจะสรุปสำนวน จากนั้นจึงจะนัด นพ.พิสิฐ ผู้ต้องหา พร้อมสำนวนหลักฐาน ส่งให้อัยการศาลแขวงพิจารณาคดีต่อไปตามขั้นตอนกฎหมาย โดยเชื่อว่าพยานหลักฐานที่มีในขณะนี้จะสามารถดำเนินคดีเอาผิดผู้ต้องหาได้
**ขอข้อมูลตำรวจเอาผิด"หมอพิสิฐ"
นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า วันนี้ (11 ก.ย.) คณะกรรมการแพทยสภา จะมีการพิจารณาด้านจริยธรรมของ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เข้าของคลินิกออลไอวีเอฟ ที่รับทำอุ้มบุญให้นายชิเกตะ ซึ่งหากพบว่ามีมูล ก็จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนเฉพาะพิจารณาต่อ คาดว่าภายใน 1-2 เดือนจะพิจารณาเสร็จ ซึ่งอาจต้องมีการขอข้อมูลจาก นพ.พิสิฐ เพิ่มเติม ทั้งการทำอุ้มบุญกี่ราย วิธีการ และเวชระเบียนผู้ป่วย แต่เพื่อความรวดเร็วอาจลดขั้นตอนขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแทน
สำหรับความผิดของ นพ.พิสิฐ เบื้องต้นที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ หนีไม่พ้นเรื่องของการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของแพทยสภา และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย มีการทำอุ้มบุญให้กับหญิงที่ไม่ใช่ญาติ ส่วนความผิดจะเป็นเช่นไรต้องมีการพิจารณาทางจริยธรรมว่าโทษถึงขึ้นไหน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดกรณีของนายชิเกตะ มิตซึโตกิ ลูกเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ที่เป็นเจ้าของน้ำเชื้อเด็กอุ้มบุญถึง 9 คน จนเป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้ว ล่าสุด พบว่า ยังมีแม่อุ้มบุญที่เชียงราย อีก 1 ราย โดยแม่อุ้มบุญรายนี้ เป็นหญิงสาวอายุ 29 ปี ชื่อ น.ส.ป๋อง (นามสมมติ) ที่ได้ให้กำเนิดลูกเป็นเพศหญิง ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นทารกน้ำหนักแรกเกิดเพียงแค่ 1.68 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ามีน้ำหนักน้อยมาก รวมทั้งยังคลอดก่อนกำหนด ทำให้หลังการคลอดได้ให้เด็กหญิงนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลมาร่วม 1 สัปดาห์แล้ว ส่วน น.ส.ป๋อง ออกจากโรงพยาบาลไป แต่ก็กลับมาให้นมลูกวันละ 2 ครั้ง
รายงานข่าวแจ้งว่า น.ส.ป๋อง เคยทำงานที่โรงงานกางเกงยีนส์แห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ และได้รับจ้างอุ้มท้องเด็ก หรืออุ้มบุญ เป็นเงิน จำนวน 300,000 บาท โดยได้มีการฝังตัวอ่อนในครรภ์เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา หรือยังไม่ถึง 8 เดือนเต็ม ก็ให้กำเนิด โดยเมื่อคลอดด้วยการผ่าตัดได้เพียง 2 วัน ได้มีชายลักษณะเป็นนักกฎหมายเข้าไปติดต่อ พร้อมประสานเรื่องการฝากครรภ์ ทำคลอด จากนั้นได้พา น.ส.ป๋อง ออกไปพักนอกโรงพยาบาลโดยไม่ทราบจุดพักอาศัย ก่อนจะพาไปให้นมลูกอุ้มบุญดังกล่าว
ขณะที่มีรายงานว่า ทางพนักงานสอบสวนได้พยายามติดต่อกับ น.ส.ป๋อง เพื่อให้ปากคำ แต่มีการขอเลื่อนออกไป เพราะเพิ่งคลอด จึงขอพักรักษาตัว พร้อมทำธุระต่างๆ ให้แล้วเสร็จก่อน
***ขอโรงพยาบาลดูแลเด็กไปก่อน
นายปรีดา กุณามา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ในฐานะเลขานุการคณะคุ้มครองเด็กจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ทางสำนักงานฯ ได้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนแล้ว เพื่อขอให้เด็กอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลไปจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น โดยตนจะให้เจ้าหน้าที่จิตวิทยา และเจ้าหน้าที่นิติกรไปสอบถามผู้ให้กำเนิดถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เบื้องต้นทราบว่าเด็กทารกยังอยู่ในการดูแลของโรงพยาบาล
***แจ้งเกิดใส่ชื่อ“ชิเกตะ”เป็นพ่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดมีชายซึ่งอ้างตัวเป็นนักกฎหมายของนายชิเกตะ ได้พา น.ส.ป๋อง เดินทางจากโรงพยาบาลดังกล่าวไปยังสำนักงานเทศบาลนครเชียงราย เพื่อขอลงใบสูจิบัตรหรือแจ้งเกิดให้กับทารกที่คลอดออกมา กับเจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนราษฎร์ของเทศบาลแล้ว ซึ่งในช่วงแรกที่ไปขอลงสูจิบัตร มีการขอจะไม่ระบุชื่อบิดาของเด็ก แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่า หากประสงค์เช่นนั้น ต้องแจ้งสาเหตุให้ทราบด้วย จนท้ายที่สุดทั้งคู่ได้ยอมแจ้งว่า นายมิตสุโตกิ ชิเกตะ เป็นบิดาของเด็กทารกคนดังกล่าว และตั้งชื่อของทารกคนดังกล่าวแล้ว รวมทั้งระบุด้วยว่า คลอดด้วยวิธีผ่าตัดหน้าท้องเมื่อเวลา 14.40 น. ของวันที่ 4 ก.ย. ด้วยน้ำหนักแรกเกิด 1,740 กรัม พร้อมระบุชื่อนายแพทย์ผู้ทำคลอดและรายละเอียดอื่นๆ ครบถ้วน
***พาแม่อุ้มบุญพบตำรวจหลังถูกขู่
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นำตัวน.ส.ออน (นามสมมติ) อายุ 35 ปี และน.ส.ฉัตร (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นแม่รับจ้างอุ้มบุญ และนายแก้ว (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สามีของ น.ส.ออน เข้าพบ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร. เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีน.ส.ออน ซึ่งได้ยกเลิกสัญญาอุ้มบุญ และถูกเอเย่นต์ให้ชายฉกรรจ์ 3 คน ซึ่งอ้างตัวเป็นตำรวจติดตาม เกรงไม่ได้รับความปลอดภัย โดยนางปวีณา ได้มอบรูปถ่ายของตำรวจทั้ง 3 นายให้กับ พล.ต.อ.เอก ด้วย
นางปวีณากล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา นายแก้ว ได้พาน.ส.ออน ภรรยา เข้าพบตนเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากมีข่าวเรื่องอุ้มบุญ ปรากฏว่า น.ส.ออน ซึ่งรับจ้างอุ้มบุญ ถูกนายหน้าชายชาวต่างชาติติดตามตัวให้ไปคลอดลูกที่ต่างประเทศ แต่น.ส.ออน ขอยกเลิกสัญญาการรับอุ้มบุญที่ทำไว้ จึงถูกติดตามตัว และข่มขู่ โดยมีชายฉกรรจ์ 3 ตน อ้างตัวว่าเป็นตำรวจคอยติดตามน.ส.ออน ไปทุกหนทุกแห่ง จนเจ้าตัวเกรงว่าไม่ได้รับความปลอดภัย จึงอยากขอให้ พล.ต.อ.เอก หามาตรการช่วยเหลือ ดำเนินคดีกับเอเย่นต์และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมของชายฉกรรจ์ 3 คน ที่อ้างว่าเป็นตำรวจ
นอกจากนี้ ขอให้ทางตำรวจช่วยเหลือ น.ส.ฉัตร ที่รับจ้างอุ้มบุญ ให้กับคู่รักซึ่งเป็นชายรักชาย และได้คลอดเด็กแฝดก่อนกำหนด ที่รพ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี โดยมีอายุครรภ์เพียง 5 เดือน และพยาบาลระบุว่าเด็กเสียชีวิตทั้งคู่ แต่นายหน้ากลับนำร่างของเด็กไปทันที จึงอยากขอความเป็นธรรม
***"เอก"เผยพบตำรวจเข้าไปเอี่ยวจริง
พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ได้สั่งการให้พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบสอบสวนกรณีอุ้มบุญ ส่งพนักงานสอบสวนมาทำการสอบปากคำแม่รับจ้างอุ้มบุญทั้ง 2 รายในฐานะผู้กล่าวหา และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยในเบื้องต้นทราบว่าชายฉกรรจ์ที่ติดตามน.ส.ออน เป็นตำรวจชั้นประทวนสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ส่วนจะมีความผิดอาญาหรือผิดวินัยฐานใดหรือไม่ ต้องรอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดก่อนว่าตำรวจทั้ง 3 นายเข้าไปเกี่ยวข้องโดยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือไม่ หากพบว่ามีความผิดก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ขณะที่กรณีของน.ส.ฉัตร อยู่ในขั้นตอนของการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง ในชั้นนี้ยังไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเด็ก ต้องรอให้ตำรวจทำการสืบสวนสอบสวนให้แน่ชัดก่อน แต่หากเด็กเสียชีวิตและมีการนำศพเด็กไปจริงก็ถือว่าผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยดูแลให้คำปรึกษาทางกฎหมาย และให้ความคุ้มครองกรณีแม่รับจ้างอุ้มบุญที่เปลี่ยนใจขอยกเลิกสัญญา แล้วเกรงว่าจะถูกประทุษร้ายด้วย
เมื่อถามว่าหญิงอุ้มบุญทั้ง 2 ราย ได้ทำการฝังตัวอ่อนที่เดียวกันกับคลีนิกที่ทำอุ้มบุญให้นายชิเกตะ มัสซึโตกิ หรือไม่ พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ตำรวจมีรายชื่อสถานพยาบาลทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับทำอุ้มบุญ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเฉียบขาดให้ถึงต้นตอ และจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งสถานพยาบาล แพทย์ เอเย่นต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตำรวจทั้ง 3 นาย ที่ถูกอ้างว่าติดตามน.ส.ออน แม่รับจ้างอุ้มบุญ ได้แก่ ด.ต.ชัยยุทธ จำนงการ ด.ต.จิระศักดิ์ โดยคำดี และ ด.ต.ศรุต กโนทร ทั้งหมดเป็นผบ.หมู่งานสืบสวน สน.ดินแดง
***ยื่นคำร้องผัดฟ้องคลีนิกออลไอวีเอฟ
ที่ศาลแขวงปทุมวัน ถ.พระราม 4 ร.ต.ท.ณัฐพล ล่อดงบัง พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ได้ยื่นคำร้องผัดฟ้อง นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล อายุ 40 ปี เจ้าของสถานพยาบาล “ออล ไอวีเอฟ” ย่านเพลินจิต ซึ่งทำอุ้มบุญให้นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ผู้ต้องหาคดีประกอบกิจการและดำเนินสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท และไม่ควบคุมและดูแลให้แพทย์ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในสถานพยาบาล ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม ที่มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 เป็นเวลา 6 วันตั้งแต่วันที่ 10-15 ก.ย.นี้ เนื่องจากการสอบสวนไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก
โดยคดีนี้ นพ.พิสิฐ ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน เมื่อกลางดึกวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขณะที่ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นสอบสวน จึงไม่ได้นำตัวมาแสดงต่อศาลในวันนี้
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาคำร้องแล้ว อนุญาตให้ผัดฟ้องได้ตามคำร้อง
ร.ต.ท.ณัฐพลกล่าวว่า นพ.พิสิฐ ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี โดยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนด ดังนั้น วันนี้ที่ยื่นคำร้องผัดฟ้อง จึงไม่จำเป็นต้องนำตัวมาศาลในวันนี้ และหลังจากนี้ จะนัดสอบปากคำ นพ.พิสิฐ ผู้ต้องหา และพยานแวดล้อมอื่นๆ โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 20-30 วัน ก่อนจะสรุปสำนวน จากนั้นจึงจะนัด นพ.พิสิฐ ผู้ต้องหา พร้อมสำนวนหลักฐาน ส่งให้อัยการศาลแขวงพิจารณาคดีต่อไปตามขั้นตอนกฎหมาย โดยเชื่อว่าพยานหลักฐานที่มีในขณะนี้จะสามารถดำเนินคดีเอาผิดผู้ต้องหาได้
**ขอข้อมูลตำรวจเอาผิด"หมอพิสิฐ"
นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า วันนี้ (11 ก.ย.) คณะกรรมการแพทยสภา จะมีการพิจารณาด้านจริยธรรมของ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เข้าของคลินิกออลไอวีเอฟ ที่รับทำอุ้มบุญให้นายชิเกตะ ซึ่งหากพบว่ามีมูล ก็จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนเฉพาะพิจารณาต่อ คาดว่าภายใน 1-2 เดือนจะพิจารณาเสร็จ ซึ่งอาจต้องมีการขอข้อมูลจาก นพ.พิสิฐ เพิ่มเติม ทั้งการทำอุ้มบุญกี่ราย วิธีการ และเวชระเบียนผู้ป่วย แต่เพื่อความรวดเร็วอาจลดขั้นตอนขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแทน
สำหรับความผิดของ นพ.พิสิฐ เบื้องต้นที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ หนีไม่พ้นเรื่องของการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของแพทยสภา และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย มีการทำอุ้มบุญให้กับหญิงที่ไม่ใช่ญาติ ส่วนความผิดจะเป็นเช่นไรต้องมีการพิจารณาทางจริยธรรมว่าโทษถึงขึ้นไหน