xs
xsm
sm
md
lg

"รัฐบาลบิ๊กตู่"ระวัง! ติด"กับดักความโลภ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**การประชุมครม.อย่างไม่เป็นทางการนัดแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. หัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 9 กันยายน 2557 เป็นก้าวแรกของการปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินที่ต้องเรียกว่า “ของจริง”ซึ่งจะแตกต่างไปจากการบริหารในฐานะหัวหน้า คสช. ที่อยู่บนเงื่อนไขพิเศษในทุกเรื่อง สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยอำนาจพิเศษ ราวกับเนรมิต
แต่อำนาจเหล่านั้นจะถูกตีกรอบให้อยู่ในวงจำกัดทันที ที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจการบริหารจากหัวหน้าคสช. มาเป็นในนามของ “นายกรัฐมนตรี”
เพราะจะเข้าสู่โหมดที่การตรวจสอบจากทุกฝ่ายเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ภาวะการบริหารปกติ แม้จะยังอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ แต่คสช.ก็ไม่สามารถออกประกาศ หรือคำสั่ง โดยใช้กฎอัยการศึกเป็นเครื่องมือได้ง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาได้อีก
ดังนั้น ทุกก้าวย่างของ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จึงอยู่ในสายตาแห่งความคาดหวังของประชาชน และดูเหมือนว่าอุปสรรคปัญหาก็เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นจุดอ่อนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องของตัวบุคคลที่มาปฏิบัติหน้าที่ในรัฐบาล ที่ไม่ได้จัดสรรโดยยึดหลักวางคนให้เหมาะสมกับงาน
**แต่เป็นการจัดวางคนตามความสัมพันธ์ที่มีกับผู้มีอำนาจ และเลือกใช้ข้าราชการให้มาเป็นฝ่ายบริหารเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง แทนที่จะให้มืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยบริหารพัฒนาบ้านเมือง
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งของพล.อ.ประยุทธ์ ที่คนจำนวนหนึ่งเชื่อมั่นว่า มีความซื่อสัตย์ สุจริต ก็กำลังถูกสั่นคลอนจากความไม่โปร่งใส กรณีการใช้งบประมาณ 252 ล้านบาท ปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เกี่ยวกับการจัดซื้อไมค์ ตัวละ 1.4 แสนบาท
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นจากการบริหารในภาวะไม่ปกติ บนเงื่อนไขพิเศษที่ปราศจากการตรวจสอบ หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถเคลียร์เรื่องนี้ให้กระจ่างได้ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อม ที่จะลุกลามไปอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะคาดคิด
การที่หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะมีการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบนั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด เพราะไม่สามารถที่จะคลี่คลายความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนได้ เนื่องจากไม่มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการตรวจสอบที่จะมีขึ้น
**ใครจะเชื่อว่าการตรวจสอบจะเป็นไปโดยอิสระในเมื่อข้าราชการเป็นผู้ตรวจสอบกันเอง !
ความจริงเรื่องนี้ หม่อมหลวงปนัดดา เปรียบเสมือนหนังหน้าไฟที่ต้องเข้ามารับผิดชอบ และกลายเป็นจำเลยของสังคมที่ตั้งข้อสงสัยว่าจะมีส่วนพัวพันกับความไม่โปร่งใส และข้อพิรุธที่เกิดขึ้นจากการใช้งบประมาณครั้งนี้หรือไม่
ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ควรจะต้องตอบคำถามสังคมคนแรกคือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้าคสช. และรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เป็นผู้ชงเรื่องให้ที่ประชุมคสช. เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 57 อนุมัติการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล วงเงิน 252 ล้านบาท แต่ในวันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ กลับลอยตัวไม่ต้องชี้แจงอะไรเลย ทั้งที่เป็นผู้เสนอโครงการ
ประเด็นที่ต้องให้ความชัดเจนกับสังคมจึงไม่ใช่แค่เรื่องราคาไมค์สูงเกินกว่าความเป็นจริงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการใช้งบประมาณของคสช. เองด้วยว่า มีการกลั่นกรองเพื่อให้มีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด เพราะหากพิจารณาจากโครงการนี้ ก็จะเห็นชัดเจนว่าไม่เป็นไปตามกระบวนการตามปกติ เพราะไม่ได้มีการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ไม่มีการประกาศราคากลาง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต มาตรา 107/7
ที่แปลกประหลาดที่สุดคือ งบประมาณเป็นของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่ผู้รับผิดชอบโครงการกลับกลายเป็น นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ที่เข้ามาดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้าง และการจัดซื้อจัดจ้าง
**สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการบริหารแบบไร้หลักความชอบด้วยกฎกติกาได้เป็นอย่างดี และทำให้เกิดคำถามว่า ยังมีโครงการที่ใช้วิธีพิเศษ ไม่เป็นไปตามระบบปกติเช่นเดียวกับกรณีการปรับปรุงทำเนียบฯอีกกี่โครงการ แล้วประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่า การบริหารแบบปลอดโกงจะเกิดขึ้นได้จริงตามคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ในเมื่อการปฏิบัติมันมีพิรุธ ไม่เป็นไปตามคำพูดที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน
การจะสร้างความเชื่อมั่นได้ จึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบที่ประชาชนวางใจจากหน่วยงานที่เป็นอิสระ ไม่ใช่ตั้งกรรมการมาตรวจสอบกันเอง ดังนั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์ มีเจตจำนงที่จะสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้น ก็ตั้งกรรมการอิสระที่ไม่มีส่วนได้เสียขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ มีกรอบเวลาทำงานที่ชัดเจน เพื่อสรุปถึงปัญหา และคนที่ต้องรับผิดชอบ
แต่ถ้ายังปล่อยให้มีการชี้แจงที่ยิ่งเพิ่มข้อสงสัยมากขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ เอง
**เริ่มตั้งแต่การอ้างว่าไมค์ที่มีราคาแพงนั้น เป็นรุ่นพิเศษ ทันสมัย แต่ไม่ได้ตอบว่าแล้วจำเป็นที่จะต้องใช้ไมค์ที่มีคุณสมบัติเลอเลิศดังกล่าวหรือไม่ เพราะหากบอกว่าสามารถใช้ไมค์นำเสนองานได้ ก็ต้องถามว่า แล้วจะมีคอมพิวเตอร์วางตรงหน้ารัฐมนตรีทำไม ถ้าอ้างว่าสามารถป้องกันการแฮกข้อมูล ก็ต้องถามว่าแล้วระบบที่ทำเนียบรัฐบาลมีอยู่ ไม่สามารถป้องกันได้หรือ ถ้าทำได้ต้องสิ้นเปลืองที่จะต้องจ่ายเพิ่มทำไม
ความพยายามที่จะอ้างถึงความทันสมัยมาตอบโจทย์เรื่องราคาแพง จึงกลายเป็นประเด็นมัดตัวว่า ปฏิบัติสวนทางนโยบายที่บอกว่า จะยึดหลักประหยัด และพอเพียง
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เมื่อจนมุมไม่สามารถชี้แจงเรื่องราคาที่แพงหฤโหดได้ ก็กลับอ้างว่ายังไม่มีการเซ็นสัญญา จนเกิดคำถามกลับมาว่า ยังไม่มีการเซ็นสัญญา ทำไมจึงมีการส่งของ และติดตั้งได้ เท่ากับว่าการดำเนินการไม่เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติ จะมีเอกชนรายไหนที่ยอมส่งสินค้าให้โดยที่ยังไม่ทำสัญญา และไม่ได้เงิน
**พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสั่งการให้ พล.ต.อ.อดุลย์ เจ้าของเรื่อง ชี้แจงเรื่องนี้ทั้งระบบก่อนเป็นอันดับแรก และตั้งกรรมการอิสระขึ้นมาสอบสวน พร้อมกับการประกาศให้ชัดเจนว่า จะไม่มีการใช้วิธีพิเศษเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ติด "กับดักความโลภ" มักใช้วิธีพิเศษในการใช้จ่ายงบประมาณจนกลายเป็นจุดเสื่อม กระทั่งถูกประชาชนขับไล่ในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น