**หนึ่งคดีสำคัญทางการเมืองที่มาถึงฉากสำคัญในวันศุกร์ที่ 5 ก.ย.นี้ นั่นก็คือการนัดอ่านคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ในช่วงเช้าวันนี้ 5 ก.ย.ตั้งแต่ 9 .30 น.
ในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้มีการจัดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครใหม่ จากเหตุเลือกตั้งไม่สุจริต
**หากศาลมีคำสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ตามที่กกต.ส่งสำนวนมา ก็จะมีผลทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงการหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ จะต้องหลุดจากตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ไปทันที พร้อมกับคณะผู้บริหารศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ในฝ่ายการเมืองทั้งหมด
แต่หากศาลให้ยกคำร้อง“ชายหมู-สุขุมพันธ์”ก็จะได้กลับมาทำหน้าที่ผู้ว่าฯกทม.อีกครั้ง หลังจากหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ไปนานหลายเดือน
ผลแห่งคดีจะมีแค่สองทางนี้เท่านั้น คือ 1. ศาลยกคำร้อง เรื่องก็เป็นอันจบ สุขุมพันธุ์ ก็เดินกลับเข้าห้องทำงานที่ศาลาว่าการกทม. ได้เลยตั้งแต่วันนี้ 2. ศาลตัดสินตามสำนวนที่กกต.ส่งคำร้องมา คือสั่งให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่
หากออกมาตามข้อสอง ตรงนี้ก็จะเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไป ว่าจะเกิดสุญญากาศในตำแหน่ง ผู้ว่าฯกทม. ตามมาหรือไม่
เพราะ หากว่าคสช.ยังคงใช้กฎอัยการศึกต่อไปในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็จะทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ได้ เพราะก็จะหาเสียงอะไรต่างๆ ไม่ได้ อีกทั้งหากจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยที่ยังคงไว้ซึ่งประกาศ คสช. ฉบับที่ 85/2557 และ 86/ 2557 ที่เป็นประกาศว่าด้วยเรื่องการให้ระงับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นไว้ทั้งหมด ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองท้องถิ่นไม่ว่าในกรุงเทพมหานคร หรือต่างจังหวัดหมดวาระลง ไม่ว่าจะเป็น นายกฯอบจ.-สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล-นายกเทศมนตรี -สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร-สมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานคร แล้วให้ใช้ระบบสรรหาแทน อย่างที่ทำไปแล้วหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เช่นเดียวกับกทม.ที่สัปดาห์หน้า ก็จะมีการแต่งตั้ง ส.ก. 30 คน มาทำหน้าที่ ส.ก.ชั่วคราว
**หากคสช.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม.โดยยกเลิกกฎอัยการศึก ปล่อยให้มีการจัดทำกิจกรรมทางการเมืองได้ มีการประชุมพรรคการเมืองได้ มีการปราศรัยหาเสียงได้ในกทม. ก็จะทำให้ท้องถิ่นทั้งหมดทั่วประเทศ รวมถึงพวก ส.ก.-ส.ข. ที่ว่างงานอยู่ตอนนี้ คงไม่พอใจ และอาจจะมีการเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องให้คสช.จัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นตามปกติ จะเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมาอีก
ดังนั้น ถ้าสุขุมพันธุ์ ไม่รอด แล้วต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ก็จะเกิดผลกระทบทางการเมืองตามมาอีกหลายระลอกแน่นอน ต้องรอฟังคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ในช่วงเช้าวันศุกร์นี้
สำหรับคดีนี้ ทีมทนายความของ สุขุมพันธุ์ คุมทัพโดย สัก กอแสงเรือง อดีตนายกสภาทนายความ-อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร และอดีตกรรมการ คตส. ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวว่าทีมงานผู้บริหารกทม.ฝ่ายการเมือง ทีมทนายความ ตลอดจนคนใกล้ชิดกับ สุขุมพันธุ์ มีการแวะเวียนไปพบปะพูดคุยให้กำลังใจ สุขุมพันธุ์ อยู่บ่อยครั้งที่วังสวนผักกาด เขตพญาไท แต่ก็ด้วยข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย จึงทำให้ฝ่ายสุขุมพันธุ์ และคนของพรรคประชาธิปัตย์ พยายามหลีกเลี่ยงจะพูดถึงรูปคดีนี้ โดยบอกในโทนเดียวกันว่า ให้รอฟังคำตัดสิน ผลออกมาเป็นอย่างไร ก็พร้อมยอมรับ
คดีนี้ พรรคเพื่อไทยได้ยื่นคัดค้านผลการเลือกตั้งที่ สุขุมพันธุ์ เอาชนะ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ในสนาม
เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. อันดุเดือดไปได้อย่างขาดลอย โดยกกต.ได้พิจารณาคำร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งแล้ว กกต. มีมติ 3 ต่อ 2 ว่า ผู้สนับสนุนการหา
เสียงของสุขุมพันธุ์ มีการปราศรัยบางเวที บางสถานที่ เข้าข่ายให้ร้ายผู้สมัครพรรคการเมืองคู่แข่ง ที่ก็คือพล.ต.อ.พงศพัศ เป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่สุจริต ขัด พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 57(5) แต่การกระทำไม่สามารถเชื่อมโยงไปถึงตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่จะสามารถทำให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือ แจกใบแดงสุขุมพันธุ์ ได้
แต่ทั้งนี้ กกต. เสียงข้างมากก็มีมติว่า ไม่จำเป็นต้องดำเนินคดีอาญากับผู้สนับสนุนที่ปราศรัยอยู่
อย่างไรก็ตาม มติเสียงข้างมากของกกต.ดังกล่าว เป็นมติที่เห็นแตกต่างจากที่ กกต.กรุงเทพมหานคร กับฝ่ายกฎหมายของกกต.เสนอมา กกต.กทม.และฝ่ายกฎหมายของกกต. เห็นควรให้ยกคำร้องสำนวนนี้ แต่เสียงข้างมาก กกต.เห็นควรว่า ต้องยื่นเรื่องต่อศาลอุทธรณ์
โดยให้เหตุผลว่า กกต. อยากเห็นการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งในทุกระดับนับจากนี้ไป ต้องไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี ที่ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบแก่ผู้สมัครฝ่ายตรงข้าม จึงมีมติดังกล่าวออกมา ที่จะถือเป็นบรรทัดฐานการวินิจฉัยคำร้องคดีแบบนี้ต่อไปในอนาคตด้วย
ก็คือ กกต.เสียงข้างมากเห็นว่า แม้การหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ และทีมงานสุขุมพันธุ์ ในช่วงการหาเสียงผู้ว่าฯกทม. แม้ สุขุมพันธุ์ จะไม่ได้เป็นผู้ปราศรัยหาเสียงพาดพิงถึง พล.ต.อ.พงศพัศ แต่ก็เป็นการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นคนส่ง สุขุมพันธุ์ ลงเลือกตั้ง เมื่อมีการพาดพิงในทางทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยเสียหาย ทางกกต.ก็เห็นว่า สุขุมพันธุ์ ก็จะต้องรับผิดชอบด้วย คือต้องมีการจัดเลือกตั้งใหม่ ซึ่งบรรทัดฐานดังกล่าวของกกต.ที่มีรายงานในเวลานั้นว่า มีการอภิปรายประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวาง เพราะ กกต.5 คนเห็นแตกต่างกันค่อนข้างมาก
จนสุดท้ายผลการออกเสียง ก็ออกมาว่า กกต.เสียงข้างมาก 3 คน ที่เห็นว่าควรจัดการเลือกตั้งใหม่ ประกอบด้วย นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต., นายสมชัย ศรีสุทธิยากร และ นายบุญส่ง น้อยโสภณ ส่วน กกต.เสียงข้างน้อยที่เห็นว่าไม่ควรมีการจัดเลือกตั้งใหม่ 2 คน ประกอบด้วย นายประวิช รัตนเพียร และ นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์
**บรรทัดฐาน กกต.ครั้งนี้ จะทำให้ต่อจากนี้ไปการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ คงต้องระมัดระวังมากขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม บรรดาแฟนคลับประชาธิปัตย์ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าคดีนี้จะมีผลต่อการยุบพรรคประชาธิปัตย์ อะไร หรือไม่ หากผลคดีออกมาเป็นลบกับสุขุมพันธุ์ เพราะแม้ตอนนี้ สุขุมพันธุ์ จะเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่เนื่องจากช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม.ดังกล่าว ตอน นั้น สุขุมพันธุ์ ยังไม่ได้เป็นรองหัวหน้าพรรคแต่อย่างใด ถ้าสุขุมพันธุ์โชคร้ายขึ้นมา ก็ไม่มีผลใดๆ ต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องคดียุบพรรคแน่นอน
** ส่วนผลจะออกมาแบบไหน โปรดรอลุ้นกัน
ในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้มีการจัดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครใหม่ จากเหตุเลือกตั้งไม่สุจริต
**หากศาลมีคำสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ตามที่กกต.ส่งสำนวนมา ก็จะมีผลทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงการหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ จะต้องหลุดจากตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ไปทันที พร้อมกับคณะผู้บริหารศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ในฝ่ายการเมืองทั้งหมด
แต่หากศาลให้ยกคำร้อง“ชายหมู-สุขุมพันธ์”ก็จะได้กลับมาทำหน้าที่ผู้ว่าฯกทม.อีกครั้ง หลังจากหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ไปนานหลายเดือน
ผลแห่งคดีจะมีแค่สองทางนี้เท่านั้น คือ 1. ศาลยกคำร้อง เรื่องก็เป็นอันจบ สุขุมพันธุ์ ก็เดินกลับเข้าห้องทำงานที่ศาลาว่าการกทม. ได้เลยตั้งแต่วันนี้ 2. ศาลตัดสินตามสำนวนที่กกต.ส่งคำร้องมา คือสั่งให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่
หากออกมาตามข้อสอง ตรงนี้ก็จะเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไป ว่าจะเกิดสุญญากาศในตำแหน่ง ผู้ว่าฯกทม. ตามมาหรือไม่
เพราะ หากว่าคสช.ยังคงใช้กฎอัยการศึกต่อไปในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็จะทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ได้ เพราะก็จะหาเสียงอะไรต่างๆ ไม่ได้ อีกทั้งหากจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยที่ยังคงไว้ซึ่งประกาศ คสช. ฉบับที่ 85/2557 และ 86/ 2557 ที่เป็นประกาศว่าด้วยเรื่องการให้ระงับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นไว้ทั้งหมด ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองท้องถิ่นไม่ว่าในกรุงเทพมหานคร หรือต่างจังหวัดหมดวาระลง ไม่ว่าจะเป็น นายกฯอบจ.-สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล-นายกเทศมนตรี -สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร-สมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานคร แล้วให้ใช้ระบบสรรหาแทน อย่างที่ทำไปแล้วหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เช่นเดียวกับกทม.ที่สัปดาห์หน้า ก็จะมีการแต่งตั้ง ส.ก. 30 คน มาทำหน้าที่ ส.ก.ชั่วคราว
**หากคสช.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม.โดยยกเลิกกฎอัยการศึก ปล่อยให้มีการจัดทำกิจกรรมทางการเมืองได้ มีการประชุมพรรคการเมืองได้ มีการปราศรัยหาเสียงได้ในกทม. ก็จะทำให้ท้องถิ่นทั้งหมดทั่วประเทศ รวมถึงพวก ส.ก.-ส.ข. ที่ว่างงานอยู่ตอนนี้ คงไม่พอใจ และอาจจะมีการเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องให้คสช.จัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นตามปกติ จะเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมาอีก
ดังนั้น ถ้าสุขุมพันธุ์ ไม่รอด แล้วต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ก็จะเกิดผลกระทบทางการเมืองตามมาอีกหลายระลอกแน่นอน ต้องรอฟังคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ในช่วงเช้าวันศุกร์นี้
สำหรับคดีนี้ ทีมทนายความของ สุขุมพันธุ์ คุมทัพโดย สัก กอแสงเรือง อดีตนายกสภาทนายความ-อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร และอดีตกรรมการ คตส. ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวว่าทีมงานผู้บริหารกทม.ฝ่ายการเมือง ทีมทนายความ ตลอดจนคนใกล้ชิดกับ สุขุมพันธุ์ มีการแวะเวียนไปพบปะพูดคุยให้กำลังใจ สุขุมพันธุ์ อยู่บ่อยครั้งที่วังสวนผักกาด เขตพญาไท แต่ก็ด้วยข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย จึงทำให้ฝ่ายสุขุมพันธุ์ และคนของพรรคประชาธิปัตย์ พยายามหลีกเลี่ยงจะพูดถึงรูปคดีนี้ โดยบอกในโทนเดียวกันว่า ให้รอฟังคำตัดสิน ผลออกมาเป็นอย่างไร ก็พร้อมยอมรับ
คดีนี้ พรรคเพื่อไทยได้ยื่นคัดค้านผลการเลือกตั้งที่ สุขุมพันธุ์ เอาชนะ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ในสนาม
เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. อันดุเดือดไปได้อย่างขาดลอย โดยกกต.ได้พิจารณาคำร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งแล้ว กกต. มีมติ 3 ต่อ 2 ว่า ผู้สนับสนุนการหา
เสียงของสุขุมพันธุ์ มีการปราศรัยบางเวที บางสถานที่ เข้าข่ายให้ร้ายผู้สมัครพรรคการเมืองคู่แข่ง ที่ก็คือพล.ต.อ.พงศพัศ เป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่สุจริต ขัด พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 57(5) แต่การกระทำไม่สามารถเชื่อมโยงไปถึงตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่จะสามารถทำให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือ แจกใบแดงสุขุมพันธุ์ ได้
แต่ทั้งนี้ กกต. เสียงข้างมากก็มีมติว่า ไม่จำเป็นต้องดำเนินคดีอาญากับผู้สนับสนุนที่ปราศรัยอยู่
อย่างไรก็ตาม มติเสียงข้างมากของกกต.ดังกล่าว เป็นมติที่เห็นแตกต่างจากที่ กกต.กรุงเทพมหานคร กับฝ่ายกฎหมายของกกต.เสนอมา กกต.กทม.และฝ่ายกฎหมายของกกต. เห็นควรให้ยกคำร้องสำนวนนี้ แต่เสียงข้างมาก กกต.เห็นควรว่า ต้องยื่นเรื่องต่อศาลอุทธรณ์
โดยให้เหตุผลว่า กกต. อยากเห็นการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งในทุกระดับนับจากนี้ไป ต้องไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี ที่ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบแก่ผู้สมัครฝ่ายตรงข้าม จึงมีมติดังกล่าวออกมา ที่จะถือเป็นบรรทัดฐานการวินิจฉัยคำร้องคดีแบบนี้ต่อไปในอนาคตด้วย
ก็คือ กกต.เสียงข้างมากเห็นว่า แม้การหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ และทีมงานสุขุมพันธุ์ ในช่วงการหาเสียงผู้ว่าฯกทม. แม้ สุขุมพันธุ์ จะไม่ได้เป็นผู้ปราศรัยหาเสียงพาดพิงถึง พล.ต.อ.พงศพัศ แต่ก็เป็นการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นคนส่ง สุขุมพันธุ์ ลงเลือกตั้ง เมื่อมีการพาดพิงในทางทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยเสียหาย ทางกกต.ก็เห็นว่า สุขุมพันธุ์ ก็จะต้องรับผิดชอบด้วย คือต้องมีการจัดเลือกตั้งใหม่ ซึ่งบรรทัดฐานดังกล่าวของกกต.ที่มีรายงานในเวลานั้นว่า มีการอภิปรายประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวาง เพราะ กกต.5 คนเห็นแตกต่างกันค่อนข้างมาก
จนสุดท้ายผลการออกเสียง ก็ออกมาว่า กกต.เสียงข้างมาก 3 คน ที่เห็นว่าควรจัดการเลือกตั้งใหม่ ประกอบด้วย นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต., นายสมชัย ศรีสุทธิยากร และ นายบุญส่ง น้อยโสภณ ส่วน กกต.เสียงข้างน้อยที่เห็นว่าไม่ควรมีการจัดเลือกตั้งใหม่ 2 คน ประกอบด้วย นายประวิช รัตนเพียร และ นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์
**บรรทัดฐาน กกต.ครั้งนี้ จะทำให้ต่อจากนี้ไปการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ คงต้องระมัดระวังมากขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม บรรดาแฟนคลับประชาธิปัตย์ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าคดีนี้จะมีผลต่อการยุบพรรคประชาธิปัตย์ อะไร หรือไม่ หากผลคดีออกมาเป็นลบกับสุขุมพันธุ์ เพราะแม้ตอนนี้ สุขุมพันธุ์ จะเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่เนื่องจากช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม.ดังกล่าว ตอน นั้น สุขุมพันธุ์ ยังไม่ได้เป็นรองหัวหน้าพรรคแต่อย่างใด ถ้าสุขุมพันธุ์โชคร้ายขึ้นมา ก็ไม่มีผลใดๆ ต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องคดียุบพรรคแน่นอน
** ส่วนผลจะออกมาแบบไหน โปรดรอลุ้นกัน