ASTV ผู้จัดการรายวัน-ทนายเจ้าของน้ำเชื้อชาวญี่ปุ่นยัน "ชิเกตะ” ยินดีให้ปากคำกรณีอุ้มบุญด้วยตัวเอง พร้อมยื่นหนังสือถึง พม. ขอส่งพี่เลี้ยง 12 คนดูแลทารกอุ้มบุญด้วย ด้านตำรวจประสานทางการออสเตรเลีย กรณีพ่ออุ้มบุญชาวออสซี่ทำอนาจารกับลูกที่เกิดจากการอุ้มบุญในไทย เพื่อประเมินว่าเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กันกับ "ชิเกตะ" หรือไม่
พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีอุ้มบุญ วานนี้ (3 ก.ย.) ว่า นายก้อง สุริยะมณฑล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายชิเกตะ มิตซึโตกิ อายุ 24 ปี พ่อชาวญี่ปุ่น ได้เดินทางเข้าพบ พร้อมยืนยันว่านายชิเกตะจะเดินทางเข้าให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยตนเองแน่นอน เพื่อให้เกิดความกระจ่าง โดยมั่นใจได้ว่าเหตุผลที่นายชิเกตะจะเดินทางมาประเทศไทยและให้ข้อมูลต่อตำรวจนั้น เนื่องจากต้องการนำลูกกลับไปเลี้ยงดู ซึ่งตนเห็นว่าหากนายชิเกตะเข้าให้ข้อมูลจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะสุดท้ายแล้วเด็กจะได้รับการดูแล
อย่าไรก็ตาม ทราบว่าขณะนี้นายชิเกตะได้ยื่นหนังสือต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อขอนำพี่เลี้ยง 12 คนเข้าไปดูแลเด็กที่อยู่ในความดูแลของ พม. ส่วนในทางคดีตำรวจยังไม่พบการกระทำผิด จึงยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนการตรวจสอบความเป็นอยู่ของเด็กที่นำออกไปประเทศกัมพูชาหลังประสานตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพลไว้ ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการ แต่ทราบว่าเด็กมีความเป็นอยู่ที่ดี ส่วนนายชิเกตะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอาศัยอยู่ในประเทศใด
พล.ต.ท.ก่อเกียรติกล่าวว่า สำหรับ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ สูตินรีเวช ย่านเพลินจิต ที่ได้ประสานจะเข้าพบพนักงานสอบสวนวันที่ 6 ก.ย.นั้น เบื้องต้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่หากไม่มาพบตามนัดจะขออนุมัติศาลออกหมายจับทันที
ที่สน.ลาดพร้าว พ.ต.อ.ภาคภูม พูลสิริโภคา หัวหน้าพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว กล่าวว่า คาดว่าน่าจะมีการสอบปากคำและยื่นหนังสือชี้แจงถึงเหตุผลที่นายชิเกตะต้องการเลี้ยงเด็กอุ้มบุญทั้ง 15 คน จึงไม่จำเป็นต้องเดินทางมาสอบปากคำซ้ำที่ลาดพร้าวอีก หลังจากนี้ พนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าวต้องรอเอกสารสำคัญจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเหลือเพียงการสอบปากคำนายชิเกตะในฐานะพยาน หากพิสูจน์แล้วว่าการมีเด็กอุ้มบุญจำนวนมากไม่เข้าข่ายความผิดด้านการค้ามนุษย์ ก็จะสรุปสำนวนคดีรายงานผู้บังคับบัญชาต่อไป โดยไม่มีการดำเนินคดีต่อนายชิเกตะ ส่วนสำนวนสอบปากคำพยานก่อนหน้านี้ สน.ลาดพร้าวได้ส่งมอบข้อมูลบางส่วนให้ สน.ลุมพินี เพื่อใช้เป็นสำนวนประกอบการดำเนินคดีต่อ นพ.พิสิฐต่อไปแล้ว
ด้าน พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติออสเตรเลียเพื่อประเมินสถานภาพอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ได้มีหารือเกี่ยวกับคดีอุ้มบุญแต่อย่างใด เนื่องจากคดีดังกล่าวมีการหารือกันเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ส่วนกรณีกระแสข่าวว่า พ่ออุ้มบุญชาวออสเตรเลียทำอนาจารกับลูกที่เกิดจากการอุ้มบุญในไทยนั้น ก็จะมีการประสานกับทางการออสเตรเลีย เพื่อตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยจะมีการประเมินว่าพฤติกรรมของพ่อชาวออสเตรเลียเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กันกับ นายชิเกตะ พ่ออุ้มชาวญี่ปุ่นหรือไม่
พล.ต.ต.อภิชาติ กล่าวว่า ในส่วนการติดตามตัว นายชิเกตะ เบื้องต้น ได้มีการประสานกับตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล เพื่อขอข้อมูลแล้ว แต่ยังไม่มีการรายงานเข้ามาอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ การจะเข้าไปสอบปากคำ หรือสืบสวนหาข้อมูลในต่างประเทศต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศนั้นๆ ว่าจะอนุญาตหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ นายชิเกตะ ยังไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหรือถูกดำเนินคดี จึงยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีอุ้มบุญ วานนี้ (3 ก.ย.) ว่า นายก้อง สุริยะมณฑล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายชิเกตะ มิตซึโตกิ อายุ 24 ปี พ่อชาวญี่ปุ่น ได้เดินทางเข้าพบ พร้อมยืนยันว่านายชิเกตะจะเดินทางเข้าให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยตนเองแน่นอน เพื่อให้เกิดความกระจ่าง โดยมั่นใจได้ว่าเหตุผลที่นายชิเกตะจะเดินทางมาประเทศไทยและให้ข้อมูลต่อตำรวจนั้น เนื่องจากต้องการนำลูกกลับไปเลี้ยงดู ซึ่งตนเห็นว่าหากนายชิเกตะเข้าให้ข้อมูลจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะสุดท้ายแล้วเด็กจะได้รับการดูแล
อย่าไรก็ตาม ทราบว่าขณะนี้นายชิเกตะได้ยื่นหนังสือต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อขอนำพี่เลี้ยง 12 คนเข้าไปดูแลเด็กที่อยู่ในความดูแลของ พม. ส่วนในทางคดีตำรวจยังไม่พบการกระทำผิด จึงยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนการตรวจสอบความเป็นอยู่ของเด็กที่นำออกไปประเทศกัมพูชาหลังประสานตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพลไว้ ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการ แต่ทราบว่าเด็กมีความเป็นอยู่ที่ดี ส่วนนายชิเกตะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอาศัยอยู่ในประเทศใด
พล.ต.ท.ก่อเกียรติกล่าวว่า สำหรับ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ สูตินรีเวช ย่านเพลินจิต ที่ได้ประสานจะเข้าพบพนักงานสอบสวนวันที่ 6 ก.ย.นั้น เบื้องต้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่หากไม่มาพบตามนัดจะขออนุมัติศาลออกหมายจับทันที
ที่สน.ลาดพร้าว พ.ต.อ.ภาคภูม พูลสิริโภคา หัวหน้าพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว กล่าวว่า คาดว่าน่าจะมีการสอบปากคำและยื่นหนังสือชี้แจงถึงเหตุผลที่นายชิเกตะต้องการเลี้ยงเด็กอุ้มบุญทั้ง 15 คน จึงไม่จำเป็นต้องเดินทางมาสอบปากคำซ้ำที่ลาดพร้าวอีก หลังจากนี้ พนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าวต้องรอเอกสารสำคัญจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเหลือเพียงการสอบปากคำนายชิเกตะในฐานะพยาน หากพิสูจน์แล้วว่าการมีเด็กอุ้มบุญจำนวนมากไม่เข้าข่ายความผิดด้านการค้ามนุษย์ ก็จะสรุปสำนวนคดีรายงานผู้บังคับบัญชาต่อไป โดยไม่มีการดำเนินคดีต่อนายชิเกตะ ส่วนสำนวนสอบปากคำพยานก่อนหน้านี้ สน.ลาดพร้าวได้ส่งมอบข้อมูลบางส่วนให้ สน.ลุมพินี เพื่อใช้เป็นสำนวนประกอบการดำเนินคดีต่อ นพ.พิสิฐต่อไปแล้ว
ด้าน พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติออสเตรเลียเพื่อประเมินสถานภาพอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ได้มีหารือเกี่ยวกับคดีอุ้มบุญแต่อย่างใด เนื่องจากคดีดังกล่าวมีการหารือกันเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ส่วนกรณีกระแสข่าวว่า พ่ออุ้มบุญชาวออสเตรเลียทำอนาจารกับลูกที่เกิดจากการอุ้มบุญในไทยนั้น ก็จะมีการประสานกับทางการออสเตรเลีย เพื่อตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยจะมีการประเมินว่าพฤติกรรมของพ่อชาวออสเตรเลียเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กันกับ นายชิเกตะ พ่ออุ้มชาวญี่ปุ่นหรือไม่
พล.ต.ต.อภิชาติ กล่าวว่า ในส่วนการติดตามตัว นายชิเกตะ เบื้องต้น ได้มีการประสานกับตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล เพื่อขอข้อมูลแล้ว แต่ยังไม่มีการรายงานเข้ามาอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ การจะเข้าไปสอบปากคำ หรือสืบสวนหาข้อมูลในต่างประเทศต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศนั้นๆ ว่าจะอนุญาตหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ นายชิเกตะ ยังไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหรือถูกดำเนินคดี จึงยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่