ASTVผู้จัดการรายวัน-ตำรวจจ่อแจ้ง 2 ข้อหาแพทย์เจ้าของคลีนิกออลไอวีเอฟที่รับทำอุ้มบุญใน 2 ข้อหา ไม่ควบคุมดูแลแพทย์และลักลอบเปิดคลีนิกโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังมีพยานบุคคลและสถานที่ทำผิดชัดเจน ทนาย "ชิเกตะ" เสนอให้ตำรวจเดินทางไปสอบปากคำที่ญี่ปุ่น แพทยสภาเรียกศูนย์ไอวีเอฟและสูตินรีแพทย์ร่วมหารือวางกฎเกณฑ์อุ้มบุญ นักวิชาการชี้พ.ร.บ.อุ้มบุญมีปัญหา เหตุกฎหมายไม่ชัดเจน
พ.ต.อ.ภาคภูม พูลศิริโภคา พงส.ผทค.สน.ลาดพร้าว เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีอุ้มบุญว่า นายก้อง สุริยมณฑล จะนำเอกสารคำชี้แจงของนายชิเกตะ มัตซูโตกิ ซึ่งเป็นเอกสารแสดงการแต่งตั้งทนายความและมอบอำนาจให้นายก้อง ดำเนินการด้านคดีแทนนายชิเกตะ ฉบับจริง เข้ามอบให้กับพนักงานสอบสวน ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ และจะเชิญตัวนายชาตรี พินใย นิติกร ชำนาญการพิเศษ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เข้าปากคำเพิ่มเติมภายในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ คดีในส่วนของ สน.ลาดพร้าว ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงแต่การสอบปากคำนายชิเกตะเท่านั้น ซึ่งตนต้องทำเรื่องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาก่อนว่าจะสามารถเดินทางไปสอบปากคำนายชิเกตะตามที่นายก้องเสนอได้หรือไม่
พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ลุมพินี กล่าวว่า ขณะนี้ได้สอบปากคำแม่อุ้มบุญไปแล้วทั้งสิ้น 7 ปาก และได้รับการประสานจากแม่อุ้มบุญที่เหลือทั้ง 4คน ว่า ขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำ เนื่องจากยังไม่พร้อมที่จะเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน โดยคาดว่าภายในสัปดาห์นี้ จะสามารถสอบปากคำแม่อุ้มบุญที่เหลือได้ทั้งหมด ซึ่งกระบวนการหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐาน เสนอต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาดำเนินการในขั้นตอนต่อไป พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอแนวทางว่าจะมีการสอบปากคำบุคคลที่พยานกล่าวอ้างถึงว่าเป็นนายหน้าด้วย
สำหรับกรณีนายแพทย์พิสิฐ สันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ เวชกรรม เฉพาะทางสูตินารีเวช ย่านเพลินจิต ที่ได้ประสานจะเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ขณะยังยืนยันว่าจะเดินทางมาพบในวันที่ 6ก.ย.2557 เช่นเดิม ส่วนการส่งเจ้าหน้าที่เดินไปสอบปากคำนายชิเกตะ มัทซึโตกิ ที่ประเทศญี่ปุ่น หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากทางผู้บังคับบัญชาได้มีแบ่งความรับผิดชอบของงานแล้ว แต่ยืนยันว่าการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมขณะนี้ สามารถเอาผิดกับสถานพยาบาล รวมทั้งแพทย์ที่เกี่ยวข้องได้
***เอาผิดแพทย์เจ้าของคลีนิก2ข้อหา
พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วย ผบ.ตร กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานไปแล้วรวม7คน ส่วนที่เหลืออีก4คน คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะแล้วเสร็จ พร้อมยืนยันว่า ตำรวจสามารถดำเนินการเอาผิดกับนายแพทย์พิสิฐ สันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ เวชกรรม เฉพาะทางสูตินารีเวชย่านเพลินจิตได้ ใน2ข้อหา คือ ไม่ควบคุมดูแลแพทย์ในสถานพยาบาลให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายว่าดัวยวิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำคุก1ปี ปรับ20,000บาท และข้อหาลักลอบเปิดสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์ มีโทษจำคุก 3ปี ปรับ 60,000บาท เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีหลักฐานและพยานบุคคลรวมทั้งสถานที่ในการกระทำผิดที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม นายชิเกตะ มัตซูโตกิ พ่อชาวญี่ปุ่นนั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้กองการต่างประเทศ รวมทั้งประสานกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบและชี้แจงรายงานความเป็นอยู่ของเด็กและพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ซึ่งระหว่างนี้อยู่ระหว่างรอเอกสาร
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ประสานไปยังประเทศญี่ปุ่นที่เชื่อว่านายชิเกตะอาศัยอยู่ เพื่อนำตัวกลับมาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เชื่อว่านายชิเกตะจะเดินทางมาให้ปากคำ เนื่องจากจะต้องมีการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นผู้ครองของเด็ก
สำหรับการดำเนินคดีกับพ่อชาวญี่ปุ่น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากการผลการตรวจดีเอ็นเอได้ยืนยันว่านายชิเกตะเป็นพ่อของเด็กทั้ง12คนจริง รวมทั้งยังไม่พบว่ามีความผิดเข้าข่ายการค้ามนุษย์ จึงไม่สามารถดำเนินคดีได้
***หารือวางหลักเกณฑ์"อุ้มบุญ"
น.ส.จีระพันธุ์ มวลจุมพล หัวหน้าสำนักงานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันที่ 29 ส.ค. ราชวิทยาลัยสูติฯ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แพทยสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการเรียกประชุมสถานพยาบาลที่มีการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ หรือศูนย์ไอวีเอฟ รวมทั้งสูตินรีแพทย์ ทั้งที่ลงทะเบียนและยังไม่ได้ลงทะเบียนกับราชวิทยาลัยฯทั้งหมด มาร่วมประชุมวางแนวทางและหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อหารือถึงกฎระเบียบและแนวทางที่จะดำเนินการ รวมถึงสร้างข้อตกลงรวมกันเกี่ยวกับการทำอุ้มบุญ ที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ห้องประชุมชั้น 8 ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ
***นักวิชาการชี้พ.ร.บ.อุ้มบุญมีปัญหา
นายนันทน อินทนนท์ นักวิชาการด้านกฎหมาย ในฐานะหนึ่งในผู้ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ กล่าวว่า กฎหมายเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นกฎหมายที่มีเนื้อหากว้าง ไม่ได้ครอบคลุมเพียงแค่การอุ้มบุญ และในกฎหมายก็ไม่ได้ระบุห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติที่ต้องการทำหรือบุคคลรักร่วมเพศ อาทิ เกย์ ไม่ให้ทำการอุ้มบุญ เพียงแค่บุคคลดังกล่าวไม่สามารถเป็นบิดา มารดา ตามกฎหมายไทยได้ และร่างกฎหมายนี้ ยังได้ระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามมิให้บุคคลกลางแสวงหาประโยชน์เชิงพาณิชย์ แต่ที่ผ่านมา ก็ยังมีผู้ที่ฝ่าฝืน
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกิดจากความไม่ชัดเจนของกฎหมาย รวมไปถึงการดำเนินการในขั้นตอนการนำเด็กออกไปเพื่อเลี้ยงดูยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นคำถามส่วนใหญ่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่คู่สมรสกว่า 500 คู่ ต้องการคำตอบและในประเทศไทย ก็ยังไม่ได้มีการตั้งหน่วยงานในการประสานดำเนินการนำเด็กออกนอกประเทศ มีเพียงตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศเท่านั้น ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบหรืออนุญาต
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หากกฎหมายดังกล่าวผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็จะสามารถช่วยบุคลคลที่ต้องการมีบุตรยาก และกำหนดสถานะทางกฎหมายได้ในระดับหนึ่ง
พ.ต.อ.ภาคภูม พูลศิริโภคา พงส.ผทค.สน.ลาดพร้าว เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีอุ้มบุญว่า นายก้อง สุริยมณฑล จะนำเอกสารคำชี้แจงของนายชิเกตะ มัตซูโตกิ ซึ่งเป็นเอกสารแสดงการแต่งตั้งทนายความและมอบอำนาจให้นายก้อง ดำเนินการด้านคดีแทนนายชิเกตะ ฉบับจริง เข้ามอบให้กับพนักงานสอบสวน ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ และจะเชิญตัวนายชาตรี พินใย นิติกร ชำนาญการพิเศษ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เข้าปากคำเพิ่มเติมภายในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ คดีในส่วนของ สน.ลาดพร้าว ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงแต่การสอบปากคำนายชิเกตะเท่านั้น ซึ่งตนต้องทำเรื่องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาก่อนว่าจะสามารถเดินทางไปสอบปากคำนายชิเกตะตามที่นายก้องเสนอได้หรือไม่
พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ลุมพินี กล่าวว่า ขณะนี้ได้สอบปากคำแม่อุ้มบุญไปแล้วทั้งสิ้น 7 ปาก และได้รับการประสานจากแม่อุ้มบุญที่เหลือทั้ง 4คน ว่า ขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำ เนื่องจากยังไม่พร้อมที่จะเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน โดยคาดว่าภายในสัปดาห์นี้ จะสามารถสอบปากคำแม่อุ้มบุญที่เหลือได้ทั้งหมด ซึ่งกระบวนการหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐาน เสนอต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาดำเนินการในขั้นตอนต่อไป พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอแนวทางว่าจะมีการสอบปากคำบุคคลที่พยานกล่าวอ้างถึงว่าเป็นนายหน้าด้วย
สำหรับกรณีนายแพทย์พิสิฐ สันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ เวชกรรม เฉพาะทางสูตินารีเวช ย่านเพลินจิต ที่ได้ประสานจะเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ขณะยังยืนยันว่าจะเดินทางมาพบในวันที่ 6ก.ย.2557 เช่นเดิม ส่วนการส่งเจ้าหน้าที่เดินไปสอบปากคำนายชิเกตะ มัทซึโตกิ ที่ประเทศญี่ปุ่น หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากทางผู้บังคับบัญชาได้มีแบ่งความรับผิดชอบของงานแล้ว แต่ยืนยันว่าการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมขณะนี้ สามารถเอาผิดกับสถานพยาบาล รวมทั้งแพทย์ที่เกี่ยวข้องได้
***เอาผิดแพทย์เจ้าของคลีนิก2ข้อหา
พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วย ผบ.ตร กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานไปแล้วรวม7คน ส่วนที่เหลืออีก4คน คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะแล้วเสร็จ พร้อมยืนยันว่า ตำรวจสามารถดำเนินการเอาผิดกับนายแพทย์พิสิฐ สันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ เวชกรรม เฉพาะทางสูตินารีเวชย่านเพลินจิตได้ ใน2ข้อหา คือ ไม่ควบคุมดูแลแพทย์ในสถานพยาบาลให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายว่าดัวยวิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำคุก1ปี ปรับ20,000บาท และข้อหาลักลอบเปิดสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์ มีโทษจำคุก 3ปี ปรับ 60,000บาท เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีหลักฐานและพยานบุคคลรวมทั้งสถานที่ในการกระทำผิดที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม นายชิเกตะ มัตซูโตกิ พ่อชาวญี่ปุ่นนั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้กองการต่างประเทศ รวมทั้งประสานกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบและชี้แจงรายงานความเป็นอยู่ของเด็กและพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ซึ่งระหว่างนี้อยู่ระหว่างรอเอกสาร
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ประสานไปยังประเทศญี่ปุ่นที่เชื่อว่านายชิเกตะอาศัยอยู่ เพื่อนำตัวกลับมาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เชื่อว่านายชิเกตะจะเดินทางมาให้ปากคำ เนื่องจากจะต้องมีการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นผู้ครองของเด็ก
สำหรับการดำเนินคดีกับพ่อชาวญี่ปุ่น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากการผลการตรวจดีเอ็นเอได้ยืนยันว่านายชิเกตะเป็นพ่อของเด็กทั้ง12คนจริง รวมทั้งยังไม่พบว่ามีความผิดเข้าข่ายการค้ามนุษย์ จึงไม่สามารถดำเนินคดีได้
***หารือวางหลักเกณฑ์"อุ้มบุญ"
น.ส.จีระพันธุ์ มวลจุมพล หัวหน้าสำนักงานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันที่ 29 ส.ค. ราชวิทยาลัยสูติฯ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แพทยสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการเรียกประชุมสถานพยาบาลที่มีการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ หรือศูนย์ไอวีเอฟ รวมทั้งสูตินรีแพทย์ ทั้งที่ลงทะเบียนและยังไม่ได้ลงทะเบียนกับราชวิทยาลัยฯทั้งหมด มาร่วมประชุมวางแนวทางและหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อหารือถึงกฎระเบียบและแนวทางที่จะดำเนินการ รวมถึงสร้างข้อตกลงรวมกันเกี่ยวกับการทำอุ้มบุญ ที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ห้องประชุมชั้น 8 ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ
***นักวิชาการชี้พ.ร.บ.อุ้มบุญมีปัญหา
นายนันทน อินทนนท์ นักวิชาการด้านกฎหมาย ในฐานะหนึ่งในผู้ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ กล่าวว่า กฎหมายเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นกฎหมายที่มีเนื้อหากว้าง ไม่ได้ครอบคลุมเพียงแค่การอุ้มบุญ และในกฎหมายก็ไม่ได้ระบุห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติที่ต้องการทำหรือบุคคลรักร่วมเพศ อาทิ เกย์ ไม่ให้ทำการอุ้มบุญ เพียงแค่บุคคลดังกล่าวไม่สามารถเป็นบิดา มารดา ตามกฎหมายไทยได้ และร่างกฎหมายนี้ ยังได้ระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามมิให้บุคคลกลางแสวงหาประโยชน์เชิงพาณิชย์ แต่ที่ผ่านมา ก็ยังมีผู้ที่ฝ่าฝืน
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกิดจากความไม่ชัดเจนของกฎหมาย รวมไปถึงการดำเนินการในขั้นตอนการนำเด็กออกไปเพื่อเลี้ยงดูยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นคำถามส่วนใหญ่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่คู่สมรสกว่า 500 คู่ ต้องการคำตอบและในประเทศไทย ก็ยังไม่ได้มีการตั้งหน่วยงานในการประสานดำเนินการนำเด็กออกนอกประเทศ มีเพียงตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศเท่านั้น ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบหรืออนุญาต
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หากกฎหมายดังกล่าวผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็จะสามารถช่วยบุคลคลที่ต้องการมีบุตรยาก และกำหนดสถานะทางกฎหมายได้ในระดับหนึ่ง