หุ้นรับเหมา- วัสดุก่อสร้างคืนชีพรับอานิสงฆ์ความชัดเจนการจัดตั้งรัฐบาล นักวิเคราะห์แนะเลือกซื้อรายตัว เน้นทยอยสะสม ขณะที่หหุ้นอิงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศเน้นท่องเที่ยว นิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจคลังสินค้า ด้านฝรั่งชอบหุ้นธนาคารตลอดกาล
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส กล่าวว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นขั้นตอนการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งคาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนในสัปดาห์หน้า ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากทำให้แผนงานการกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ น่าจะทำให้มีกระแสการเก็งกำไรเข้ามาต่อเนื่องในหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส แนะนำให้เก็งกำไรหุ้นที่ได้รับอานิสงฆ์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งน่าจะทำให้มีกระแสการเก็งกำไรเข้ามาต่อเนื่องในกลุ่มรับเหมาฯ ทั้งนี้ตัวเลือกการลงทุนส่วนใหญ่ เป็นหุ้นขนาดกลาง – เล็ก เช่น PYLON (FV@B 8.60) และ SEAFCO (FV@B 7.04) นอกจากนี้ยังมี STPI (FV@B 28.46) ที่ถูกคาดหมายว่ากำไรในงวด 2H57 จะโดดเด่นอย่างมาก
อีกส่วนหนึ่ง คือหุ้นที่เกี่ยวกับภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวด 2Q57 จากที่ฝ่ายวิจัยรวบรวม ปรากฏว่า กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.94 แสนล้านบาท หดตัว 13%qoq แต่เติบโต 18%yoy ส่งผลให้กำไรสุทธิของทั้งตลาดงวด 1H57 อยู่ที่ 4.17 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 49.2% ของประมาณการกำไรสุทธิตลาดปี 2557 เดิม และแม้จะมีการปรับ ปรุงประมาณการกำไรบางกลุ่ม เช่น ปรับเพิ่มกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (SCB, KBANK และ TMB) และกลุ่มอสังหาฯ (RML, PS และ SIRI) แต่ก็ถูกหักล้างจากปรับลดลงของกลุ่มบันเทิง (MCOT) ประกันภัย (BLA) วัสดุก่อสร้าง (SCC) รับเหมาก่อสร้าง (TTCL, UNIQ) ปิโตรเคมี (IRPC) และขนส่ง (AAV, PSL, THAI) ฝ่ายวิจัยจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2557
สำหรับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง นายประกิต คาดหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัวแบบขั้นบันได เฉลี่ยราว 3% ต่อไตรมาส ปัจจัยขับเคลื่อนยังมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ และการบริโภคภาคครัวเรือน บวกกับภาคส่งออกน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว ฝ่ายวิจัยประเมินว่าอยู่ระหว่างปรับประมาณการการขยายตัวของจีดีพีปีนี้ลงมาต่ำกว่า 2% แต่คาดว่าในปี 2558 จะกลับมาเติบโตในกรอบ 3.5-4% โดยได้รับแรงหนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งการบริโภคและการลงทุนของรัฐรวมถึงการค้าระหว่างประเทศ หลังจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวชัดเจนในปี 2558
ด้าน บล.ทิสโก้ มองว่า หุ้นในประเทศจะได้รับประโยชน์หลังได้รัฐบาลใหม่ เช่น ธุรกิจรับเหมา-วัสดุก่อสร้างเช่น STEC, CK, SCC นอกจากนี้ หุ้นอิงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ชอบ AOT ธุรกิจนิคมฯ-คลังสินค้า ชอบ AMATA, HEMRAJ, WHA ธุรกิจค้าปลีก ชอบ BEAUTY, MC สำหรับหุ้นเด่น (Top picks) ในเดือน ส.ค. ยังคงเป็น BCP, CENTEL, HEMRAJ, LH, SIM, TTA จากประเด็นที่กำไรจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง และราคาหุ้นยังไม่ขยับขึ้นมากนักในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา
สอดคล้องกับนายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต ระบุภาพ การเมืองที่ชัดเจน ส่งผลให้นโยบายเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง คาดเศรษฐกิจฟื้นตัว +4% ในปี 2558 และ ผลักดันให้ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,600 จุด ในลักษณะกระจายการลงทุนเข้าไปในหุ้นเกือบทุกกลุ่ม เนื่องจากนักลงทุนมีความมั่นใจในศักยภาพการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยคาดว่าจะสามารถเร่งตัวได้ถึง +14% ในปี 2558
“แม้ PE ปี 2015 ในปัจจุบันที่ระดับ 14x จะ “ไม่ถูก” แต่ด้วยแนวโน้มการปรับประมาณการกำไร และเป้าหมายพื้นฐานของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (Upward Revision) ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า จะทำให้ Valuation ดูน่าสนใจมากขึ้นในระยะถัดไป” นายอดิศักดิ์ กล่าว
พร้อมแนะนำลงทุนในหุ้นที่กองทุนต่างประเทศชื่นชอบอย่าง KBANK KTB STEC CK SPALI LPN LH QH MAJOR และ AOT ต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ อย่าง CK STEC ที่ได้รับปัจจัยบวกโดยตรงต่อนโยบายการลงทุนภาครัฐฯ โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเร่งด่น อย่างรถไฟฟ้ารางคู่ และรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัย “บวก” ต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ โดยตรง และแนะนำ “ซื้อ” STEC และ CK ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ มีฐานทุนมากพอที่จะรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายระยะสั้นที่ 26.50 บาท และ 28.75-29.0 บาท ท่องเที่ยว, ธุรกิจค้าปลีก,ธุรกิจนิคมฯ-คลังสินค้า และหุ้นที่มีผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาดี
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 25 ส.ค.57 ปิดที่ 1,563.13 จุด เพิ่มขึ้น 6.16 จุด เปลี่ยนแปลง +0.40% มูลค่าการซื้อขาย 41,158.44 ล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีขึ้นสูงสุด 1,567.24 จุด และต่ำสุด 1,558.19 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 387.77 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 570.40 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 276.17 ล้านบาทและนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 682.00 ล้านบาท
บล.คันทรี่ กรุ๊ป คาดดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะยังสามารถ Side-way up ได้หากดัชนีสามมาถยืนเหนือ 1,555 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีแนวรับ 1,555-1,550 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,575-1,580 จุด โดยระยะกลางแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไปอีกระยะของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะกดให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนลงในช่วงหลังจากนี้ ซึ่งจะหนุนให้มีเม็ดเงินเข้ามาพักในตลาดหุ้นนไทยได้ และประกอบกับการที่ประเทศไทยจะเริ่มมีรัฐบาลอย่างเป็นทางการ น่าจะหนุนบรรยกาศการลงทุนให้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะการอนุมัติการลงทุนต่างของทางภาครัฐน่าจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นต่อ มองกลุ่มสื่อสาร อสังหาริมทรัพย์และธนาคาร ยังน่าสนใจ
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส กล่าวว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นขั้นตอนการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งคาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนในสัปดาห์หน้า ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากทำให้แผนงานการกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ น่าจะทำให้มีกระแสการเก็งกำไรเข้ามาต่อเนื่องในหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส แนะนำให้เก็งกำไรหุ้นที่ได้รับอานิสงฆ์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งน่าจะทำให้มีกระแสการเก็งกำไรเข้ามาต่อเนื่องในกลุ่มรับเหมาฯ ทั้งนี้ตัวเลือกการลงทุนส่วนใหญ่ เป็นหุ้นขนาดกลาง – เล็ก เช่น PYLON (FV@B 8.60) และ SEAFCO (FV@B 7.04) นอกจากนี้ยังมี STPI (FV@B 28.46) ที่ถูกคาดหมายว่ากำไรในงวด 2H57 จะโดดเด่นอย่างมาก
อีกส่วนหนึ่ง คือหุ้นที่เกี่ยวกับภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวด 2Q57 จากที่ฝ่ายวิจัยรวบรวม ปรากฏว่า กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.94 แสนล้านบาท หดตัว 13%qoq แต่เติบโต 18%yoy ส่งผลให้กำไรสุทธิของทั้งตลาดงวด 1H57 อยู่ที่ 4.17 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 49.2% ของประมาณการกำไรสุทธิตลาดปี 2557 เดิม และแม้จะมีการปรับ ปรุงประมาณการกำไรบางกลุ่ม เช่น ปรับเพิ่มกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (SCB, KBANK และ TMB) และกลุ่มอสังหาฯ (RML, PS และ SIRI) แต่ก็ถูกหักล้างจากปรับลดลงของกลุ่มบันเทิง (MCOT) ประกันภัย (BLA) วัสดุก่อสร้าง (SCC) รับเหมาก่อสร้าง (TTCL, UNIQ) ปิโตรเคมี (IRPC) และขนส่ง (AAV, PSL, THAI) ฝ่ายวิจัยจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2557
สำหรับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง นายประกิต คาดหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัวแบบขั้นบันได เฉลี่ยราว 3% ต่อไตรมาส ปัจจัยขับเคลื่อนยังมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ และการบริโภคภาคครัวเรือน บวกกับภาคส่งออกน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว ฝ่ายวิจัยประเมินว่าอยู่ระหว่างปรับประมาณการการขยายตัวของจีดีพีปีนี้ลงมาต่ำกว่า 2% แต่คาดว่าในปี 2558 จะกลับมาเติบโตในกรอบ 3.5-4% โดยได้รับแรงหนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งการบริโภคและการลงทุนของรัฐรวมถึงการค้าระหว่างประเทศ หลังจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวชัดเจนในปี 2558
ด้าน บล.ทิสโก้ มองว่า หุ้นในประเทศจะได้รับประโยชน์หลังได้รัฐบาลใหม่ เช่น ธุรกิจรับเหมา-วัสดุก่อสร้างเช่น STEC, CK, SCC นอกจากนี้ หุ้นอิงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ชอบ AOT ธุรกิจนิคมฯ-คลังสินค้า ชอบ AMATA, HEMRAJ, WHA ธุรกิจค้าปลีก ชอบ BEAUTY, MC สำหรับหุ้นเด่น (Top picks) ในเดือน ส.ค. ยังคงเป็น BCP, CENTEL, HEMRAJ, LH, SIM, TTA จากประเด็นที่กำไรจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง และราคาหุ้นยังไม่ขยับขึ้นมากนักในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา
สอดคล้องกับนายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต ระบุภาพ การเมืองที่ชัดเจน ส่งผลให้นโยบายเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง คาดเศรษฐกิจฟื้นตัว +4% ในปี 2558 และ ผลักดันให้ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,600 จุด ในลักษณะกระจายการลงทุนเข้าไปในหุ้นเกือบทุกกลุ่ม เนื่องจากนักลงทุนมีความมั่นใจในศักยภาพการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยคาดว่าจะสามารถเร่งตัวได้ถึง +14% ในปี 2558
“แม้ PE ปี 2015 ในปัจจุบันที่ระดับ 14x จะ “ไม่ถูก” แต่ด้วยแนวโน้มการปรับประมาณการกำไร และเป้าหมายพื้นฐานของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (Upward Revision) ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า จะทำให้ Valuation ดูน่าสนใจมากขึ้นในระยะถัดไป” นายอดิศักดิ์ กล่าว
พร้อมแนะนำลงทุนในหุ้นที่กองทุนต่างประเทศชื่นชอบอย่าง KBANK KTB STEC CK SPALI LPN LH QH MAJOR และ AOT ต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ อย่าง CK STEC ที่ได้รับปัจจัยบวกโดยตรงต่อนโยบายการลงทุนภาครัฐฯ โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเร่งด่น อย่างรถไฟฟ้ารางคู่ และรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัย “บวก” ต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ โดยตรง และแนะนำ “ซื้อ” STEC และ CK ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ มีฐานทุนมากพอที่จะรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายระยะสั้นที่ 26.50 บาท และ 28.75-29.0 บาท ท่องเที่ยว, ธุรกิจค้าปลีก,ธุรกิจนิคมฯ-คลังสินค้า และหุ้นที่มีผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาดี
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 25 ส.ค.57 ปิดที่ 1,563.13 จุด เพิ่มขึ้น 6.16 จุด เปลี่ยนแปลง +0.40% มูลค่าการซื้อขาย 41,158.44 ล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีขึ้นสูงสุด 1,567.24 จุด และต่ำสุด 1,558.19 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 387.77 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 570.40 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 276.17 ล้านบาทและนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 682.00 ล้านบาท
บล.คันทรี่ กรุ๊ป คาดดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะยังสามารถ Side-way up ได้หากดัชนีสามมาถยืนเหนือ 1,555 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีแนวรับ 1,555-1,550 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,575-1,580 จุด โดยระยะกลางแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไปอีกระยะของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะกดให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนลงในช่วงหลังจากนี้ ซึ่งจะหนุนให้มีเม็ดเงินเข้ามาพักในตลาดหุ้นนไทยได้ และประกอบกับการที่ประเทศไทยจะเริ่มมีรัฐบาลอย่างเป็นทางการ น่าจะหนุนบรรยกาศการลงทุนให้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะการอนุมัติการลงทุนต่างของทางภาครัฐน่าจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นต่อ มองกลุ่มสื่อสาร อสังหาริมทรัพย์และธนาคาร ยังน่าสนใจ