วานนี้ (21 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีอุ้มบุญว่าหลังจากพนักงสอบสวนสน.ลุมพินีได้ออกหมายเรียกนพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกออลไอวีเอฟมาให้ปากคำ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ทราบว่าทางนพ.พิสิฐ ได้ขอเลื่อนให้ปากคำไปเป็นวันที่ 6 กันยายน การทำคดีนี้เราจะให้เกิดผลกระทบกับเด็กและแม่ที่รับอุ้มบุญน้อยที่สุด ถึงตอนนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีกับแม่ที่รับอุ้มบุญแต่อย่างใด ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าแม่อุ้มบุญจะเข้าข่ายแจ้งความเท็จให้การหรือไม่ในการมีส่วนนำเด็กออกนอกประเทศ ถึงตอนนี้ยังไม่พบเข้าข่ายแจ้งความเท็จแสดงเอกสารอันเป็นเท็จแต่อย่างใด
ที่สน.ลุมพินี พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.ลุมพินี กล่าวว่าทางเจ้าหน้าที่ยินดีที่จะรับการขอเลื่อนนัดดังกล่าว แต่ก็จะทำการออกหมายเรียกเป็นครั้งที่ 2 หากยังไม่มาพบ พงส. ก็จะดำเนินการออกหมายจับทันที เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าตัวนพ.พิสิฐ ยังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ พ.ต.อ.ไชยา ตอบเพียงสั้นๆว่า ยังอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่พร้อมที่จะเดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่
ที่สน.ลาดพร้าว พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พงส.ผทค.สน.ลุมพินี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ภาคภูม พูลศิริโภคา พงส.ผทค.สน.ลาดพร้าว เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับหญิงรับจ้างอุ้มบุญทั้ง 11 ราย ซึ่งตรวจพบที่คอนโดภายในซอยลาดพร้าว 30 เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม.
พ.ต.อ.เดชา กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาเพื่อรับข้อมูลที่สน.ลาดพร้าว ซึ่งยืนยันว่าจากการสอบปากคำหญิงรับอุ้มบุญทั้ง 11 ราย นั้นให้การว่า ได้ทำอุ้มบุญที่คลินิกออล ไอวีเอฟ จริง โดยจะนำข้อมูลจากการสอบปากคำดังกล่าวไปประกอบสำนวนเพื่อเอาผิดกับนพ.พิสิฐ เจ้าของคลินิกดังกล่าว เเละจะเชิญตัวเเม่รับอุ้มบุญทั้ง 11 รายเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมในฐานะพยานที่สน.ลุมพินี ทั้งนี้ยอมรับว่าวันนี้ได้รับการประสานกับทนายของนพ.พิสิฐว่าจะเลื่อนการเดินทางเข้ามาพบกับพนักงานสอบสวนเป็นวันที่ 6 ก.ย. เวลา20.00 น. ซึ่งหากตามวันเเละเวลาดังกล่าวที่ทนายความหรือนพ.พิสิฐไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามที่ได้ประสานไว้ ทางเจ้าหน้าที่จะขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไป
ด้านพล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ความคืบหน้าในการสอบสวน เมื่อวันที่ 20 ส.ค. คณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ ที่มี พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร เป็นประธาน ได้เรียกแพทย์ 3 ราย ที่ถูกกล่าวโทษมารายงานตัวและรับทราบกระบวนการสอบสวน ซึ่งทั้งหมดได้มาให้รายงานแล้ว แต่ต้องให้เป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ในการดำเนินการไปตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แพทยสภาได้เร่งรัดในการแก้ประกาศเรื่องการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ทันในเดือนหน้า โดยจะเข้มงวดในการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ และบังคับให้มีคณะกรรมการจริยธรรมเพื่อพิจารณาสำหรับกรณีที่ต้องอุ้มบุญ รวมทั้งเพิ่มให้มีจิตแพทย์ มาอยู่ในกระบวนการเพื่อวิเคราะห์สุขภาพจิตของคู่พ่อแม่ และผู้อุ้มบุญ ว่ามีความพร้อมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากกรณีพ่ออุ้มบุญชาวญี่ปุ่น ถือว่าเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและจะนำไปสู่การสอบสวนในหลายๆเรื่อง และถือว่าเป็นกรณีที่ไม่ปกติ
ที่สน.ลุมพินี พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.ลุมพินี กล่าวว่าทางเจ้าหน้าที่ยินดีที่จะรับการขอเลื่อนนัดดังกล่าว แต่ก็จะทำการออกหมายเรียกเป็นครั้งที่ 2 หากยังไม่มาพบ พงส. ก็จะดำเนินการออกหมายจับทันที เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าตัวนพ.พิสิฐ ยังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ พ.ต.อ.ไชยา ตอบเพียงสั้นๆว่า ยังอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่พร้อมที่จะเดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่
ที่สน.ลาดพร้าว พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พงส.ผทค.สน.ลุมพินี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ภาคภูม พูลศิริโภคา พงส.ผทค.สน.ลาดพร้าว เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับหญิงรับจ้างอุ้มบุญทั้ง 11 ราย ซึ่งตรวจพบที่คอนโดภายในซอยลาดพร้าว 30 เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม.
พ.ต.อ.เดชา กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาเพื่อรับข้อมูลที่สน.ลาดพร้าว ซึ่งยืนยันว่าจากการสอบปากคำหญิงรับอุ้มบุญทั้ง 11 ราย นั้นให้การว่า ได้ทำอุ้มบุญที่คลินิกออล ไอวีเอฟ จริง โดยจะนำข้อมูลจากการสอบปากคำดังกล่าวไปประกอบสำนวนเพื่อเอาผิดกับนพ.พิสิฐ เจ้าของคลินิกดังกล่าว เเละจะเชิญตัวเเม่รับอุ้มบุญทั้ง 11 รายเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมในฐานะพยานที่สน.ลุมพินี ทั้งนี้ยอมรับว่าวันนี้ได้รับการประสานกับทนายของนพ.พิสิฐว่าจะเลื่อนการเดินทางเข้ามาพบกับพนักงานสอบสวนเป็นวันที่ 6 ก.ย. เวลา20.00 น. ซึ่งหากตามวันเเละเวลาดังกล่าวที่ทนายความหรือนพ.พิสิฐไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามที่ได้ประสานไว้ ทางเจ้าหน้าที่จะขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไป
ด้านพล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ความคืบหน้าในการสอบสวน เมื่อวันที่ 20 ส.ค. คณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ ที่มี พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร เป็นประธาน ได้เรียกแพทย์ 3 ราย ที่ถูกกล่าวโทษมารายงานตัวและรับทราบกระบวนการสอบสวน ซึ่งทั้งหมดได้มาให้รายงานแล้ว แต่ต้องให้เป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ในการดำเนินการไปตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แพทยสภาได้เร่งรัดในการแก้ประกาศเรื่องการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ทันในเดือนหน้า โดยจะเข้มงวดในการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ และบังคับให้มีคณะกรรมการจริยธรรมเพื่อพิจารณาสำหรับกรณีที่ต้องอุ้มบุญ รวมทั้งเพิ่มให้มีจิตแพทย์ มาอยู่ในกระบวนการเพื่อวิเคราะห์สุขภาพจิตของคู่พ่อแม่ และผู้อุ้มบุญ ว่ามีความพร้อมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากกรณีพ่ออุ้มบุญชาวญี่ปุ่น ถือว่าเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและจะนำไปสู่การสอบสวนในหลายๆเรื่อง และถือว่าเป็นกรณีที่ไม่ปกติ