xs
xsm
sm
md
lg

หลุยส์วิตตองรุกฟู้ดส์เอเชีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน – แอลวีเอ็มเอช (หลุยส์วิตตอง) รุกหนักตลาดร้านอาหารโฟกัสพื้นที่เอเซีย ไล่เทคโอเวอร์แบรนด์ดังไว้ในพอร์ตเพียบ ล่าสุดทุ่มทุนซื้อแบรนด์ร้านอาหารกึ่งคลับและเลานจ์ “คูเดทา”

นายเคิร์ก มาร์ติน ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คูเดทา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือข่ายของกลุ่มแอลวีเอ็มเอช (บริษัท โมเอต์ เฮนเนสซี่ หลุยส์ วิตตอง ) เปิดเผยว่า ทางกลุ่มแอลวีเอ็มเอชโดยกลุ่มทุนแอลแคปปิตอล เอเซีย ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนในหุ้นของบริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทางแอลวีเอ็มเฮชเป็นผู้สนับสนุนอยู่วางแผนที่จะรุกธุรกิจอาหารในภาคพื้นเอเซียและไทยอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ แอล แคปปิตอล เอเซีย เน้นการลงทุนในสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เป็นกระแสนิยมของตลาดโลก สำหรับตลาดเกิดใหม่ในเอเซียและมุ่งเน้นไปที่สินค้า เช่น แฟชั่น เครื่องหนัง ไลฟ์สไตล์ ไวน์เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อาหารและเครื่องดื่ม น้ำหอม เครื่องสำอาง นาฬิกา สินค้าขายปลีก ขณะที่ทางแอลวีเอ็มเอช จะเน้นลงทุนในธุรกิจสินค้หรูหราราคาสูง แตกต่างจาก แอล แคปปิตอล เอเซียที่ใช้กลยุทธ์ ทริปเปิ้ลเอ ( Tripple A) ในการเลือกลงทุนสินค้าแบรนด์ต่างๆ ดังนี้ 1. Aspirational คือ แบรนด์พรีเมียมที่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค 2.Affordable ราคาที่จับต้องได้ 3. Alternate Segments คือ การวางตำแหน่งการตลาดด้วยสินค้าลักส์ชัวรี่ในตำแหน่งสูงสุด และมีสินค้าสำหรับกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป อยู่ในตำแหน่งล่างสุด ซึ่ง แอล แคปปิตอล เอเซีย ปิดยอดกองลงทุนที่สองที่ 950
ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2556

ก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อกิจการเครื่องสำอาง MARUBI ของจีน และแบรนด์ DR.WU ของไต้หวัน และซื้อแฟชั่นแบรนด์ OCHRILY ของจีน และแบรนด์ JORYA ของจีน รวมทั้งซื้อแบรนด์ชาร์ลสแอนด์คีธที่สิงคโปร์ และแบรรด์ MM WILLIAMS ที่ออสเตรเลีย

ล่าสุดเมื่อต้นปีนี้ แอล แคปปิตอล เอเซีย ได้เข้าซื้อกิจการร้านอาหารหลายแบรนด์ในเอเซียแล้ว คือ การเข้าซื้อหุ้นใหญ่ในร้านอาหารคูเดทา ซึ่งมี 2 สาขา คือที่ สิงคโปร์และไทย โดยถือหุ้นมากกว่า 51% เป็นร้านอาหารที่มีส่วนผสมผสานของภัตตาคาร คลับ และเลาจน์ ซึ่งในไทยได้เปิดกิจการมาเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่บริษัทเพิ่งซื้อกิจการเมื่อต้นปีนี้ตามแผนงานได้เตรียมลงทุนเปิดที่ฮ่องกงในปีนี้ที่ตึกแคลิฟอร์เนียทาวเวอร์ลานไควฟง จากนั้นเตรียมขยายอีกหลายเมืองเช่น ดูไบ ไมอามี่ ซิดนีย์ โตเกียว เกาหลีใต้ ลอสแองเจลิส เป็นต้น ภายใน 3-5 ปีนี้ , การเข้าซื้อกิจการร้านอาหารคริสตัลเจด เป็นร้านอาหารจีน มี 100 สาขาทั่วโลกและไทยด้วย

การเข้าซื้อร้านอาหารโจนส์ เดอะ โกรเซอร์ ซึ่งเป็นไฟน์ไดน์นิ่ง ต้นตำรับอยู่ที่ออสเตรเลีย ยังไม่ได้เปิดบริการในไทย ซึ่งจะมีพ่วงมาอีก 2 แบรนด์ด้วยกันคือ ร้านชาร์ลีแอนด์โค เป็นอาหารตะวันตกแนวเบอร์เกอร์ มีสาขาที่ ออสเตรเลียและสิงคโปร์ , ร้านบีแคสเบเกอรี่ เปิดบริการที่ออสเตรเลียและสิงคโปร์แล้ว นอกจากนั้นยังอีก 2 แบรนด์เดิมคือร้านอิชิคายะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบแคชวล และร้านซิกเนเจอร์ เป็นแบบไฟน์ไดนนิ่ง

“บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเข้าซื้อกิจการร้านอาหารและเครื่องดื่มอีก แต่คงยังไม่สามารถสรุปการเจรจาในเร็วๆนี้ เนื่องจากมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาอีกมาก แต่อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปัญหาการเมืองที่ติดต่อกันมานานหลายปีต่อเนื่องถึงกลางปีนี้ ส่งผบกระทบต่อแผนการดำเนินงานของกลุ่มบ้างพอสมควร
ซึ่งนอกจากการเจรจาที่อาจล่าช้าบ้างแล้ว ยังต้องปรับกลยุทธใหม่อีกด้วย” นายเคิร์กกล่าว

ส่วนตลาดประเทศไทย นายเคิร์ก กล่าวต่อว่า ตลาดประเทศไทยก็เป็นอีกตลาดที่น่าสนในเช่นกัน โดยทางกลุ่มจะรุกธุรกิจร้านอาหาร หลังจากที่ได้เป็นเจ้าของกิจการร้านคูเดทาในไทยแล้ว โดยมองว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นตลาดอาหาร เนื่องจากว่า คนไทยหรือคนกรุงเทพมีพฤติกรรมชอบทานอาหารนอกบ้าน มีประชากรวัยรุ่นค่อนข้างมากที่ต้องการความแปลกใหม่รวมทั้งมีนักท่องเที่ยว ประชาชนมีการเติบโตของรายได้ที่สูงขึ้น และ ชาวต่างชาติที่พำนักในไทยมีมาก

สำหรับแผนธุรกิจในไทย นายเคิร์ก กล่าวว่า บริษัท แอล แคปปิตอล ได้ลงทุน 15 ล้านบาท ในการรีโนเวตสาขาเดิมที่คูดาต้าตึกสาธรสแควร์ ใหม่ และพร้อมเปิดตัวใหม่แล้ว ทั้ง 3 โซนคือ คลับรูปแบบใหม่ เลานจ์ที่พร้อมเปิดตัวให้บริการตั้งแต่เวลาเย็น รวมถึงระเบียงที่เปิดกว้างให้ขกได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติยามค่ำคืน

ส่วนกลยุทธ์ตลาดนั้น จะเน้น 3 ปัจจัยหลักคือ การบริการที่พร้อมจากการปรับพื้นที่ด้วย 3 ส่วนหลัก 2.สร้างกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้นการทำโปรโมชั่นร่วมกับองค์กรอื่นเช่น โรงแรม เป็นต้น และเพิ่มการแสดงจากเหล่าดีเจชั้นนำระดับโลกที่นำเข้ามาบริการและกิจกรรมต่างๆมากมาย ซึ่งคาดว่าหลังจากการปรับใหม่จะมีรายได้เติบโต 30% แบ่งสัดส่วนเป็นลูกค้าคนไทย 60% นักท่องเที่ยวต่างชาติ 20% และคนต่างชาติที่ทำงานในไทย 20%
กำลังโหลดความคิดเห็น