ASTVผู้จัดการรายวัน - ตึก 6 ชั้นถล่มดับ 3 ราย หญิงท้องอาการสาหัส คสช.สั่งทหารและเจ้าหน้าที่ระดมกำลังช่วยเหลือ แม่หนุ่มคนงานโร่ร้องช่วยลูกจากซากตึก พบยังมีชีวิตอยู่ ล่าสุดช่วยคนงานพ้นตึกถล่มได้ 1 รายแล้ว วสท.แนะเจาะซากอาคาร ด้าน กสร.คาดพื้นคอนกรีตเป็นเหตุ นายกสภาทนายความจี้เจ้าของโครงการรับผิดชอบ ตำรวจขู่ออกหมายจับผู้รับเหมา วิศวกร ขณะที่เจ้าของบริษัทและเจ้าของโครงการยังล่องหน
วานนี้ (12 ส.ค.) ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เดินทางลงพื้นที่ติดตามการให้ความช่วยเหลือคนงานที่ติดอยู่ภายใต้ซากอาคารคอนโดมิเนียม "ยูเพลส" ขนาด 6 ชั้น ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่คลอง 6 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เกิดเหตุถล่มลงทั้งหมด เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา โดย ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชา การทหารบก (ผบ.ทบ.) หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้กำชับให้ประสานกับหน่วยราชการที่รับผิดชอบเหตุการณ์ในพื้นที่ ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ อย่างไรก็ตาม ได้รายงานให้หัวหน้า คสช.รับทราบแล้ว ซึ่งปลัด สธ.และผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีจะดำเนินการทุกอย่างให้กลับสู่ความเรียบร้อยโดยเร็ว และจะช่วยเหลือให้เร็วที่สุด
***คสช.สั่งทหารช่วยตึกถล่ม
พันเอกวินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการผ่านหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนให้เร็วที่สุดเพื่อแข่งกับเวลา รวมถึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสั่งการไปยังผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงและคาดหวังว่าไม่อยากให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จากนี้คงจะต้องเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคชั้นสูง และเจ้าหน้าที่วิศวกรรมสถานเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ คาดว่าวันนี้ (13 ส.ค.) จะมีการประชุม คสช.ชุดใหญ่ ซึ่งจะมีการรายงานความคืบหน้ากรณีดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ การกู้ภัยอาคารที่ถล่มประกอบด้วย กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 จำนวน 90 คน สนุขค้นหาจากมูลนิธิชาติชาย ชุณหะวัณ 6 ตัว พร้อมอุปกรณ์กู้ภัย รถไฟฟ้าส่องสว่าง เครื่องปั่นไฟ รถกู้ภัย กล้องค้นหาผู้ประสบภัย กล้องตรวจจับความร้อน เครื่องช่วยชีวิต รถกู้ชีพ รถพยาบาล ถังออกซิเจน เครื่องเชื่อมตัดเหล็ก ซึ่งการค้นหาผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารยังคงดำเนินต่อไป โดยมี นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ประชุมควบคุมการช่วยเหลือ
***เหยื่อตึกถล่มดับ 3 ราย เร่งช่วยคนงาน
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. กล่าวว่า ได้ตั้งจุดบัญชาการ มี นพ.ณรงค์ ตั้งตรงไพโรจน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี เป็นผู้อำนวยการ พร้อมเตรียมทีมแพทย์ 6 ทีมให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งนำรถพยาบาลฉุกเฉินขนาดใหญ่ จาก รพ.พระนั่งเกล้า สามารถตรวจรักษาผู้เจ็บป่วยบนรถ มี 6 เตียงมาช่วยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และประสานทีมแพทย์ฉุกเฉินจาก จ.พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี มาเสริมทีมจนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ
นพ.อนุรักษ์ อมรเพชรสถาพร ผอ.สำนักงานสาธารณสุขฉุกเฉิน กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย โดยวันเกิดเหตุพบศพแม่กอดลูกอ่อนนอนเสียชีวิตทราบชื่อคือ นางอ้วน (ไม่ทราบนามสกุล) ส่วนอีกรายพบติดอยู่ใต้ซากอาคาร เจ้าหน้าที่พยายามเร่งช่วยเหลือ ทีมแพทย์พยายามประคับประคองชีวิต โดยอาจตัดสินใจผ่าตัดขาที่ถูกคานทับเพื่อนำตัวออกมา แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตเมื่อเวลา 09.45 น. วานนี้ (12 ส.ค.) ทราบชื่อคือ นายเชษฐา กำพูชาติ อายุประมาณ 40 ปี ส่วนคนที่ยังมีสัญญาณชีพและเร่งช่วยเหลืออยู่มีเพียง 1 ราย คือ นายกล้าณรงค์ ปราบภัย
พ.อ.พัลลภ เฟื่องฟู ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2ผู้บัญชาการเหตุการณ์ตึกถล่ม กล่าวว่า กองทัพบกส่งกำลังทหาร รถเครน รถเครื่องมือหนัก เข้ามาสนับสนุนตลอด พบผู้ที่ติดคาอยู่ใต้ซากอาคารโซนบีเป็นชาย 1 รายอายุประมาณ 40 ปี เป็นเจ้าหน้าที่วางสลิงอาคาร ถูกคานปูนน้ำหนักหนา 10 เซนติเมตร ทับบริเวณช่วงลำตัวด่านล่าง เจ้าหน้าที่เร่งระดมใช้อุปกรณ์ยกรื้อถอนซากปรักหักพังเพื่อช่วยเหลือ โดยหนุ่มเคราะห์ร้ายยังคงมีสติและพูดคุยโต้ตอบได้ดี แต่การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะเศษปูนลงมาทับทั้ง6ชั้น ต้องใช้เวลาขุดเจาะ สุดท้ายจึงเสียชีวิตลงจากการเสียเลือดมาก
นอกจากนี้ ยังพบผู้รอดชีวิตอีก 2 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งระดมใช้รถเครนขนาดใหญ่ยกซากปรักหักพังออกแล้วใช้แม่แรงค้ำยันไม่ให้ซากปรักหักพังร่วงทับร่างผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนบริเวณทิศตะวันตกของอาคารพบร่างผู้บาดเจ็บอีก 1 รายชื่อนายพาน ไม่ทราบนามสกุล อายุ 50 ปี ยังมีอาการตอบสนองสามารถพูดโต้ตอบเจ้าหน้าที่ได้ โดยบอกว่าห้องถัดไปจากที่ตนเองอยู่ เป็นห้องว่าง มีคนงานก่อสร้างนอนพักอยู่เพราะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อีก 7 คน คาดว่าน่าจะเสียชีวิตทั้งหมด เพราะไม่มีสัญญาณตอบโต้ แต่เจ้าหน้าที่ยังคงให้ความช่วยเหลือ
***ช่วยหนุ่มคนงานใต้ซากตึก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบหญิงสาววัยกลางคนเดินทางมาที่จุดอำนวยการบริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อสอบถามหาลูกชายที่ทำงานในจุดก่อสร้าง จากการสอบถามทราบชื่อ นางประทีป อรุณศรี มาจากเมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยนางประทีปเล่าว่า กลุ่มคนงานที่มาทำงานที่นี่ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มญาติของตนเอง รวมถึงบุตรชายคือ นายกล้าณรงค์ ปราบภัย อายุ 24 ปี ซึ่งจากที่ญาติเล่าให้ฟังทราบว่า บุตรชายเป็นหนึ่งในผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารดังกล่าว
นายชยันต์ ศิริมาศ ผอ.ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 1 ปทุมธานี กล่าวว่า การช่วยเหลือนายกล้าณรงค์ ปราบภัย อายุ 24 ปี ที่ติดค้างอยู่ในโซนซี บริเวณชั้น 3 และชั้น 4 ของอาคารที่ถล่ม ได้เร่งนำเครื่องตัดหินมาช่วยเหลือโดยจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ที่รอดชีวิตอยู่ภายในซากอาคาร ทั้งนี้ การพิสูจน์บุคคลยังคงทำได้ยาก เนื่องจากผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ไม่มีบัตรประชาชน
นพ.ณรงค์ ตั้งตรงไพโรจน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ปทุมธานี กล่าวว่า ขณะนี้สามารถช่วยเหลือ นายกล้าณรงค์ ได้แล้ว เบื้องต้นได้รับรายงานว่า นายกล้าณรงค์ มีอาการบาดเจ็บไม่รุนแรงมากนัก มีเพียงขาหักและบาดแผลที่เท้า ได้ส่งรักษาตัวที่ รพ.ปทุมธานี แล้ว ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดเหตุคอนโดมีเนียม "ยูเพลส" ถล่ม นับว่าได้ติดอยู่ภายในซากตตึกถล่มเกินกว่า 26 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้กำลังคน รวมทั้งเครื่องตัดและเจาะ ค่อยรื้อซากอาคารที่ทับร่าง นายกล้าณรงค์ออก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการพังลงมาทับซ้ำ ก่อนจะนำตัวออกมาได้สำเร็จ โดยคาดว่ายังมีผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารอีก และยังคงเดินหน้าค้นหาต่อไป ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาในช่วงเย็น
***หญิงท้องอาการสาหัส
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ได้รับรายงานมีคนงานก่อสร้างทั้งหมด 33 คน เป็นคนไทย 24 ราย และต่างด้าว 9 ราย ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกมาได้แล้ว 24 ราย ส่วนใหญ่รักษาและกลับบ้านแล้ว เหลือนอนในโรงพยาบาล 5 ราย อาการสาหัส 2 รายอยู่ที่ รพ.ปทุมธานี โดยรายแรกเป็นหญิงไทยตั้งครรภ์ 4 เดือน กระดูกเชิงกรานแตก ได้ดามกระดูกและใส่เครื่องช่วยหายใจ ยังอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู. สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ดี อีกรายเป็นชายกัมพูชา มีเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด แพทย์ใส่ท่อระบายเลือดไว้ ผู้ป่วยหายใจได้เอง รู้สึกตัวดี ส่วนอีก 3 รายที่เหลือกระจายอยู่ รพ.วิภาราม รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และ รพ.คลองหลวง แห่งละราย
***คาดพื้นคอนกรีตทำตึกถล่ม
นายพานิช จิตร์แจ้ง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากการเซตตัวของพื้นคอนกรีตไม่ได้ตามเวลาที่ควรจะเป็น ซึ่งควรอยู่ที่ 2 สัปดาห์ และมีการเร่งก่อสร้างพื้นคอนกรีตชั้นบน โดยวันนี้ (13 ส.ค.) เจ้าหน้าที่ กสร.ปทุมธานี จะสอบถามข้อเท็จจริงกับผู้บริหารบริษัท ปลูกแปลง จำกัด ที่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ตั้งอยู่ที่ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ส่วนแรงงานที่เกี่ยวข้องมี 40 คน เป็นลูกจ้างของบริษัทปลูกแปลง ขึ้นทะเบียนสำนักงานประกันสังคม 13 คน ส่วนที่เหลือเป็นลูกจ้างบริษัทรับเหมาช่วง
นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผวจ.ปทุมธานี กล่าวว่า ได้สั่งให้พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ ห้ามเข้าออกโดยเด็ดขาด ส่วนสาเหตุเบื้องต้นน่าจะเกี่ยวกับโครงสร้าง ซึ่งต้องตรวจสอบว่า เรื่องวัสดุที่ใช้ได้มาตรฐานหรือไม่ เช่น เหล็ก ปูนที่ใช้ก่อสร้าง รวมทั้งการเทพื้นมีการรอให้ปูนเซตตัวตามหลักหรือไม่ ส่วนคดีความเจ้าหน้าที่ยังติดต่อวิศวกรที่ควบคุมการก่อสร้างไม่ได้ หากติดต่อได้จะทำให้การทำงานของกู้ภัยง่ายขึ้น เนื่องจากวิศวกรจะรู้ดีว่าโครงสร้างของอาคารจุดไหนที่มีคนงานอยู่ในขณะเกิดเหตุ ซึ่งตำรวจกำลังเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดี
***สปส.จ่าย 3 แสนเยียวยา
นางกรรณิการ์ พฤกษชาติ ประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่าแรงงานไทยและต่างด้าวได้ขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคมหรือไม่ หากขึ้นทะเบียนก็จะช่วยเหลือตามสิทธิที่ควรได้รับ โดย สปส.จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แรงงานที่บาดเจ็บตามที่จ่ายจริงไม่เกินคนละ 300,000 บาท ส่วนกรณีเสียชีวิต จ่ายค่าทำศพ 30,000 บาท ทายาทได้ค่าชดเชยร้อยละ 60 ของค่าจ้างงวดสุดท้ายเป็นเวลา 8 ปี และกรณีนี้บาดเจ็บขณะปฏิบัติทำงานจะเข้าสู่กองทุนเงินทดแทนดูแล สำหรับคนที่เป็นผู้ประกันตน แต่ไม่ทำงานและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วย สปส. จ่ายค่าทำศพรายละ 40,000 บาท
***วิศวกรรมสถานตรวจอาคารถล่ม
ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) พร้อมคณะได้ตรวจสอบอาคารที่พังถล่มลงมาจนมีผู้เสียชีวิตหลายราย โดยกล่าวว่า ต้องตรวจสอบว่าการก่อสร้างเป็นไปตามแบบและขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ โดยตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยวิทยาการของตำรวจ ซึ่งคงต้องใช้เวลาจึงจะสรุปว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ส่วนการช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ภายใต้ซากตึกจะต้องคำนึกถึงความปลอดภัย ซึ่งเราจะวิเคราะห์หาจุดผู้ที่ติดภายใน จากนั้นจะใช้วิธีเจาะเข้าไปช่วยเหลือ เพราะไม่สามารถรื้อและยกซากตึกออกได้เลย จะต้องมีการประชุมและวางแผนในการรื้อออก ซึ่งการรื้อจะรื้อที่ละชั้นหลังจากช่วยผู้ที่ติดอยู่ภายในก่อน
***จี้เจ้าของโครงการรับผิดชอบ เหตุคนเจ็บตาย
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุพนักงานสอบสวนในพื้นที่ ต้องเรียกเจ้าของโครงการ ผู้รับเหมาก่อสร้าง วิศวกรควบคุมโครงการ นายช่างคุมงานระหว่างเกิดเหตุ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างมาสอบสวน และตรวจดูสัญญาก่อสร้าง พิมพ์เขียว ใบรับงาน เพื่อสอบสวนหาสาเหตุ และผู้ที่มีส่วนผิด เพื่อดำเนินคดีอาญาไม่ว่าจะเกิดจากความประมาทหรือเจตนา ยิ่งก่อสร้างไปแล้ว 6 ชั้น ต้องมีการเซ็นรับงานและจ่ายค่างวด ดังนั้นการตรวจสอบน่าจะทำได้ไม่ยุ่งยาก ส่วนความรับผิดชอบต่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตต้องมีจากเจ้าของโครงการ ซึ่งโดยทั่วไปการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ในการทำสัญญาก่อสร้างมักจะมีการทำประกันภัยบุคคลที่สามไว้ด้วย เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดจากเหตุก่อสร้างได้ แม้กฎหมายไม่ได้กำหนด ก็ต้องดูว่าเหตุนี้มีหรือไม่ อย่างน้อยจะเป็นการเยียวยาในเบื้องต้น
เมื่อถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นองค์กรวิชาชีพ ต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ในการเข้มงวดของวิศวกรเพื่อป้องกันเหตุระยะยาว นายเดชอุดม กล่าวว่า สภาวิศวกร และสภาสถาปนิก ก็มีมาตรฐานทางวิชาชีพควบคุมอยู่แล้ว เหตุที่เกิดขึ้นต้องรอการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกิดจากเหตุใด เกี่ยวข้องความผิดพลาดของวิศวกรควบคุมงานหรือไม่
***ช่างขึงสลิงเผยนาทีตึกถล่ม
นายรณชัย ธิราช อายุ 25 ปี เลขที่ 62 หมู่2 ต.เขาคอก อ.ปักโคนชัย จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ตนเองเป็นหนึ่งในคนงานช่างขึงสลิงที่ขณะเกิดเหตุ ตนเองนอนพักใต้อาคารและได้ยินเสียงดังขึ้นเปรี้ยงๆ คล้ายเสียงฟ้าร้องและมีฝุ่นกระจาย ด้วย
ความตกใจจึงได้วิ่งออกมาจากอาคารด้วยความรวดเร็ว ตนยังคิดเลยว่ารอดมาได้อย่างไรทั้งที่อาคารถล่มลงมาทั้ง 6 ชั้น โดยตนศีรษะแตกและบาดเจ็บที่เท้าทั้งสองข้าง ทั้งนี้อาคารดังกว่างใช้โครงสร้างแบบสลิงขึงไม่ได้ใช้เป็นเหมือนอาคารทั่วไป ซึ่งการที่ตนรอดตายในครั้งนี้ ถือว่าโชคดีมาก และหวุดหวิดมาก
**ขู่ออกหมายจับวิศวกร
พล.ต.ต.สมิทธิ มุกดาสนิท ผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.ปทุมธานี กล่าวว่า ได้สั่งการให้ระดมพนักงานสอบสวนทุกสถานีในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีมาตั้งโต๊ะรับแจ้งความคนหายประสานญาติผู้บาดเจ็บ ส่วนการติดตามวิศวกรที่ควบคุมการก่อสร้างขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีให้ได้ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการประสานพูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้รับเหมาก่อสร้างแล้ว และวิศวกรที่ควบคุมการก่อสร้างก็ได้ติดต่อมายังพนักงานสอบสวนแล้วเช่นกัน โดยหากวันที่ 13 ส.ค.ยังไม่เดินทางมาให้ปากคำ เจ้าหน้าที่จะออกหมายจับทันที
วานนี้ (12 ส.ค.) ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เดินทางลงพื้นที่ติดตามการให้ความช่วยเหลือคนงานที่ติดอยู่ภายใต้ซากอาคารคอนโดมิเนียม "ยูเพลส" ขนาด 6 ชั้น ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่คลอง 6 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เกิดเหตุถล่มลงทั้งหมด เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา โดย ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชา การทหารบก (ผบ.ทบ.) หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้กำชับให้ประสานกับหน่วยราชการที่รับผิดชอบเหตุการณ์ในพื้นที่ ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ อย่างไรก็ตาม ได้รายงานให้หัวหน้า คสช.รับทราบแล้ว ซึ่งปลัด สธ.และผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีจะดำเนินการทุกอย่างให้กลับสู่ความเรียบร้อยโดยเร็ว และจะช่วยเหลือให้เร็วที่สุด
***คสช.สั่งทหารช่วยตึกถล่ม
พันเอกวินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการผ่านหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนให้เร็วที่สุดเพื่อแข่งกับเวลา รวมถึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสั่งการไปยังผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงและคาดหวังว่าไม่อยากให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จากนี้คงจะต้องเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคชั้นสูง และเจ้าหน้าที่วิศวกรรมสถานเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ คาดว่าวันนี้ (13 ส.ค.) จะมีการประชุม คสช.ชุดใหญ่ ซึ่งจะมีการรายงานความคืบหน้ากรณีดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ การกู้ภัยอาคารที่ถล่มประกอบด้วย กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 จำนวน 90 คน สนุขค้นหาจากมูลนิธิชาติชาย ชุณหะวัณ 6 ตัว พร้อมอุปกรณ์กู้ภัย รถไฟฟ้าส่องสว่าง เครื่องปั่นไฟ รถกู้ภัย กล้องค้นหาผู้ประสบภัย กล้องตรวจจับความร้อน เครื่องช่วยชีวิต รถกู้ชีพ รถพยาบาล ถังออกซิเจน เครื่องเชื่อมตัดเหล็ก ซึ่งการค้นหาผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารยังคงดำเนินต่อไป โดยมี นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ประชุมควบคุมการช่วยเหลือ
***เหยื่อตึกถล่มดับ 3 ราย เร่งช่วยคนงาน
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. กล่าวว่า ได้ตั้งจุดบัญชาการ มี นพ.ณรงค์ ตั้งตรงไพโรจน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี เป็นผู้อำนวยการ พร้อมเตรียมทีมแพทย์ 6 ทีมให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งนำรถพยาบาลฉุกเฉินขนาดใหญ่ จาก รพ.พระนั่งเกล้า สามารถตรวจรักษาผู้เจ็บป่วยบนรถ มี 6 เตียงมาช่วยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และประสานทีมแพทย์ฉุกเฉินจาก จ.พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี มาเสริมทีมจนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ
นพ.อนุรักษ์ อมรเพชรสถาพร ผอ.สำนักงานสาธารณสุขฉุกเฉิน กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย โดยวันเกิดเหตุพบศพแม่กอดลูกอ่อนนอนเสียชีวิตทราบชื่อคือ นางอ้วน (ไม่ทราบนามสกุล) ส่วนอีกรายพบติดอยู่ใต้ซากอาคาร เจ้าหน้าที่พยายามเร่งช่วยเหลือ ทีมแพทย์พยายามประคับประคองชีวิต โดยอาจตัดสินใจผ่าตัดขาที่ถูกคานทับเพื่อนำตัวออกมา แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตเมื่อเวลา 09.45 น. วานนี้ (12 ส.ค.) ทราบชื่อคือ นายเชษฐา กำพูชาติ อายุประมาณ 40 ปี ส่วนคนที่ยังมีสัญญาณชีพและเร่งช่วยเหลืออยู่มีเพียง 1 ราย คือ นายกล้าณรงค์ ปราบภัย
พ.อ.พัลลภ เฟื่องฟู ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2ผู้บัญชาการเหตุการณ์ตึกถล่ม กล่าวว่า กองทัพบกส่งกำลังทหาร รถเครน รถเครื่องมือหนัก เข้ามาสนับสนุนตลอด พบผู้ที่ติดคาอยู่ใต้ซากอาคารโซนบีเป็นชาย 1 รายอายุประมาณ 40 ปี เป็นเจ้าหน้าที่วางสลิงอาคาร ถูกคานปูนน้ำหนักหนา 10 เซนติเมตร ทับบริเวณช่วงลำตัวด่านล่าง เจ้าหน้าที่เร่งระดมใช้อุปกรณ์ยกรื้อถอนซากปรักหักพังเพื่อช่วยเหลือ โดยหนุ่มเคราะห์ร้ายยังคงมีสติและพูดคุยโต้ตอบได้ดี แต่การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะเศษปูนลงมาทับทั้ง6ชั้น ต้องใช้เวลาขุดเจาะ สุดท้ายจึงเสียชีวิตลงจากการเสียเลือดมาก
นอกจากนี้ ยังพบผู้รอดชีวิตอีก 2 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งระดมใช้รถเครนขนาดใหญ่ยกซากปรักหักพังออกแล้วใช้แม่แรงค้ำยันไม่ให้ซากปรักหักพังร่วงทับร่างผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนบริเวณทิศตะวันตกของอาคารพบร่างผู้บาดเจ็บอีก 1 รายชื่อนายพาน ไม่ทราบนามสกุล อายุ 50 ปี ยังมีอาการตอบสนองสามารถพูดโต้ตอบเจ้าหน้าที่ได้ โดยบอกว่าห้องถัดไปจากที่ตนเองอยู่ เป็นห้องว่าง มีคนงานก่อสร้างนอนพักอยู่เพราะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อีก 7 คน คาดว่าน่าจะเสียชีวิตทั้งหมด เพราะไม่มีสัญญาณตอบโต้ แต่เจ้าหน้าที่ยังคงให้ความช่วยเหลือ
***ช่วยหนุ่มคนงานใต้ซากตึก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบหญิงสาววัยกลางคนเดินทางมาที่จุดอำนวยการบริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อสอบถามหาลูกชายที่ทำงานในจุดก่อสร้าง จากการสอบถามทราบชื่อ นางประทีป อรุณศรี มาจากเมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยนางประทีปเล่าว่า กลุ่มคนงานที่มาทำงานที่นี่ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มญาติของตนเอง รวมถึงบุตรชายคือ นายกล้าณรงค์ ปราบภัย อายุ 24 ปี ซึ่งจากที่ญาติเล่าให้ฟังทราบว่า บุตรชายเป็นหนึ่งในผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารดังกล่าว
นายชยันต์ ศิริมาศ ผอ.ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 1 ปทุมธานี กล่าวว่า การช่วยเหลือนายกล้าณรงค์ ปราบภัย อายุ 24 ปี ที่ติดค้างอยู่ในโซนซี บริเวณชั้น 3 และชั้น 4 ของอาคารที่ถล่ม ได้เร่งนำเครื่องตัดหินมาช่วยเหลือโดยจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ที่รอดชีวิตอยู่ภายในซากอาคาร ทั้งนี้ การพิสูจน์บุคคลยังคงทำได้ยาก เนื่องจากผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ไม่มีบัตรประชาชน
นพ.ณรงค์ ตั้งตรงไพโรจน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ปทุมธานี กล่าวว่า ขณะนี้สามารถช่วยเหลือ นายกล้าณรงค์ ได้แล้ว เบื้องต้นได้รับรายงานว่า นายกล้าณรงค์ มีอาการบาดเจ็บไม่รุนแรงมากนัก มีเพียงขาหักและบาดแผลที่เท้า ได้ส่งรักษาตัวที่ รพ.ปทุมธานี แล้ว ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดเหตุคอนโดมีเนียม "ยูเพลส" ถล่ม นับว่าได้ติดอยู่ภายในซากตตึกถล่มเกินกว่า 26 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้กำลังคน รวมทั้งเครื่องตัดและเจาะ ค่อยรื้อซากอาคารที่ทับร่าง นายกล้าณรงค์ออก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการพังลงมาทับซ้ำ ก่อนจะนำตัวออกมาได้สำเร็จ โดยคาดว่ายังมีผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารอีก และยังคงเดินหน้าค้นหาต่อไป ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาในช่วงเย็น
***หญิงท้องอาการสาหัส
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ได้รับรายงานมีคนงานก่อสร้างทั้งหมด 33 คน เป็นคนไทย 24 ราย และต่างด้าว 9 ราย ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกมาได้แล้ว 24 ราย ส่วนใหญ่รักษาและกลับบ้านแล้ว เหลือนอนในโรงพยาบาล 5 ราย อาการสาหัส 2 รายอยู่ที่ รพ.ปทุมธานี โดยรายแรกเป็นหญิงไทยตั้งครรภ์ 4 เดือน กระดูกเชิงกรานแตก ได้ดามกระดูกและใส่เครื่องช่วยหายใจ ยังอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู. สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ดี อีกรายเป็นชายกัมพูชา มีเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด แพทย์ใส่ท่อระบายเลือดไว้ ผู้ป่วยหายใจได้เอง รู้สึกตัวดี ส่วนอีก 3 รายที่เหลือกระจายอยู่ รพ.วิภาราม รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และ รพ.คลองหลวง แห่งละราย
***คาดพื้นคอนกรีตทำตึกถล่ม
นายพานิช จิตร์แจ้ง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากการเซตตัวของพื้นคอนกรีตไม่ได้ตามเวลาที่ควรจะเป็น ซึ่งควรอยู่ที่ 2 สัปดาห์ และมีการเร่งก่อสร้างพื้นคอนกรีตชั้นบน โดยวันนี้ (13 ส.ค.) เจ้าหน้าที่ กสร.ปทุมธานี จะสอบถามข้อเท็จจริงกับผู้บริหารบริษัท ปลูกแปลง จำกัด ที่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ตั้งอยู่ที่ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ส่วนแรงงานที่เกี่ยวข้องมี 40 คน เป็นลูกจ้างของบริษัทปลูกแปลง ขึ้นทะเบียนสำนักงานประกันสังคม 13 คน ส่วนที่เหลือเป็นลูกจ้างบริษัทรับเหมาช่วง
นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผวจ.ปทุมธานี กล่าวว่า ได้สั่งให้พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ ห้ามเข้าออกโดยเด็ดขาด ส่วนสาเหตุเบื้องต้นน่าจะเกี่ยวกับโครงสร้าง ซึ่งต้องตรวจสอบว่า เรื่องวัสดุที่ใช้ได้มาตรฐานหรือไม่ เช่น เหล็ก ปูนที่ใช้ก่อสร้าง รวมทั้งการเทพื้นมีการรอให้ปูนเซตตัวตามหลักหรือไม่ ส่วนคดีความเจ้าหน้าที่ยังติดต่อวิศวกรที่ควบคุมการก่อสร้างไม่ได้ หากติดต่อได้จะทำให้การทำงานของกู้ภัยง่ายขึ้น เนื่องจากวิศวกรจะรู้ดีว่าโครงสร้างของอาคารจุดไหนที่มีคนงานอยู่ในขณะเกิดเหตุ ซึ่งตำรวจกำลังเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดี
***สปส.จ่าย 3 แสนเยียวยา
นางกรรณิการ์ พฤกษชาติ ประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่าแรงงานไทยและต่างด้าวได้ขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคมหรือไม่ หากขึ้นทะเบียนก็จะช่วยเหลือตามสิทธิที่ควรได้รับ โดย สปส.จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แรงงานที่บาดเจ็บตามที่จ่ายจริงไม่เกินคนละ 300,000 บาท ส่วนกรณีเสียชีวิต จ่ายค่าทำศพ 30,000 บาท ทายาทได้ค่าชดเชยร้อยละ 60 ของค่าจ้างงวดสุดท้ายเป็นเวลา 8 ปี และกรณีนี้บาดเจ็บขณะปฏิบัติทำงานจะเข้าสู่กองทุนเงินทดแทนดูแล สำหรับคนที่เป็นผู้ประกันตน แต่ไม่ทำงานและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วย สปส. จ่ายค่าทำศพรายละ 40,000 บาท
***วิศวกรรมสถานตรวจอาคารถล่ม
ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) พร้อมคณะได้ตรวจสอบอาคารที่พังถล่มลงมาจนมีผู้เสียชีวิตหลายราย โดยกล่าวว่า ต้องตรวจสอบว่าการก่อสร้างเป็นไปตามแบบและขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ โดยตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยวิทยาการของตำรวจ ซึ่งคงต้องใช้เวลาจึงจะสรุปว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ส่วนการช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ภายใต้ซากตึกจะต้องคำนึกถึงความปลอดภัย ซึ่งเราจะวิเคราะห์หาจุดผู้ที่ติดภายใน จากนั้นจะใช้วิธีเจาะเข้าไปช่วยเหลือ เพราะไม่สามารถรื้อและยกซากตึกออกได้เลย จะต้องมีการประชุมและวางแผนในการรื้อออก ซึ่งการรื้อจะรื้อที่ละชั้นหลังจากช่วยผู้ที่ติดอยู่ภายในก่อน
***จี้เจ้าของโครงการรับผิดชอบ เหตุคนเจ็บตาย
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุพนักงานสอบสวนในพื้นที่ ต้องเรียกเจ้าของโครงการ ผู้รับเหมาก่อสร้าง วิศวกรควบคุมโครงการ นายช่างคุมงานระหว่างเกิดเหตุ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างมาสอบสวน และตรวจดูสัญญาก่อสร้าง พิมพ์เขียว ใบรับงาน เพื่อสอบสวนหาสาเหตุ และผู้ที่มีส่วนผิด เพื่อดำเนินคดีอาญาไม่ว่าจะเกิดจากความประมาทหรือเจตนา ยิ่งก่อสร้างไปแล้ว 6 ชั้น ต้องมีการเซ็นรับงานและจ่ายค่างวด ดังนั้นการตรวจสอบน่าจะทำได้ไม่ยุ่งยาก ส่วนความรับผิดชอบต่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตต้องมีจากเจ้าของโครงการ ซึ่งโดยทั่วไปการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ในการทำสัญญาก่อสร้างมักจะมีการทำประกันภัยบุคคลที่สามไว้ด้วย เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดจากเหตุก่อสร้างได้ แม้กฎหมายไม่ได้กำหนด ก็ต้องดูว่าเหตุนี้มีหรือไม่ อย่างน้อยจะเป็นการเยียวยาในเบื้องต้น
เมื่อถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นองค์กรวิชาชีพ ต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ในการเข้มงวดของวิศวกรเพื่อป้องกันเหตุระยะยาว นายเดชอุดม กล่าวว่า สภาวิศวกร และสภาสถาปนิก ก็มีมาตรฐานทางวิชาชีพควบคุมอยู่แล้ว เหตุที่เกิดขึ้นต้องรอการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกิดจากเหตุใด เกี่ยวข้องความผิดพลาดของวิศวกรควบคุมงานหรือไม่
***ช่างขึงสลิงเผยนาทีตึกถล่ม
นายรณชัย ธิราช อายุ 25 ปี เลขที่ 62 หมู่2 ต.เขาคอก อ.ปักโคนชัย จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ตนเองเป็นหนึ่งในคนงานช่างขึงสลิงที่ขณะเกิดเหตุ ตนเองนอนพักใต้อาคารและได้ยินเสียงดังขึ้นเปรี้ยงๆ คล้ายเสียงฟ้าร้องและมีฝุ่นกระจาย ด้วย
ความตกใจจึงได้วิ่งออกมาจากอาคารด้วยความรวดเร็ว ตนยังคิดเลยว่ารอดมาได้อย่างไรทั้งที่อาคารถล่มลงมาทั้ง 6 ชั้น โดยตนศีรษะแตกและบาดเจ็บที่เท้าทั้งสองข้าง ทั้งนี้อาคารดังกว่างใช้โครงสร้างแบบสลิงขึงไม่ได้ใช้เป็นเหมือนอาคารทั่วไป ซึ่งการที่ตนรอดตายในครั้งนี้ ถือว่าโชคดีมาก และหวุดหวิดมาก
**ขู่ออกหมายจับวิศวกร
พล.ต.ต.สมิทธิ มุกดาสนิท ผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.ปทุมธานี กล่าวว่า ได้สั่งการให้ระดมพนักงานสอบสวนทุกสถานีในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีมาตั้งโต๊ะรับแจ้งความคนหายประสานญาติผู้บาดเจ็บ ส่วนการติดตามวิศวกรที่ควบคุมการก่อสร้างขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีให้ได้ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการประสานพูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้รับเหมาก่อสร้างแล้ว และวิศวกรที่ควบคุมการก่อสร้างก็ได้ติดต่อมายังพนักงานสอบสวนแล้วเช่นกัน โดยหากวันที่ 13 ส.ค.ยังไม่เดินทางมาให้ปากคำ เจ้าหน้าที่จะออกหมายจับทันที