ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.เตรียมยื่นผลศึกษาโครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ต่อรัฐบาลเวียดนามในเร็วๆนี้ หลังปรับลดขนาดโรงกลั่นเหลือ 4 แสนบาร์เรล/วันและโครงการปิโตรเคมีเหลือ 5 ล้านตัน/ปี ใช้เงินลงทุนรวม 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐจากเดิม 2.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยกลุ่มปตท.จะถือหุ้น 40% เวียดนาม 20% ที่เหลือเป็นพันธมิตร
นายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.เตรียมยื่นผลศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้โครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมีครบวงจร ประเทศเวียดนามต่อรัฐบาลเวียดนามในเร็วๆนี้ โดยปตท.ได้ปรับลดมูลค่าการลงทุนลงเหลือ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐจากเดิม 2.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากได้ปรับลดขนาดโรงกลั่นน้ำมันจากเดิม 6.6 แสนบาร์เรล/วันเหลือเพียง 4 แสนบาร์เรล/วัน รวมทั้งลดกำลังการผลิตโรงงานปิโตรเคมีเป็น 5 ล้านตันต่อปีจากก่อนหน้านี้มีกำลังผลิตรวม 6 ล้านตันต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุดิบที่ได้จากโรงกลั่นน้ำมันด้วย
ส่วนโครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์นี้จะเดินหน้าก่อสร้างได้เมื่อไรขึ้นอยู่กับรัฐบาลเวียดนาม คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาระยะหนึ่ง เนื่องจากเป็นโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนมากที่สุดของการลงทุนในเวียดนาม และใช้เวลาในการดำเนินโครงการนาน 7 ปี ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเวียดนามในอนาคต เบื้องต้นผลิตภัณฑ์น้ำมันและเม็ดพลาสติกจากโครงการนี้จำหน่ายในประเทศเวียดนามกึ่งหนึ่งทดแทนการนำเข้า ที่เหลือส่งออกไปต่างประเทศ
การปรับลดขนาดโรงกลั่นน้ำมันลงนั้น เป็นผลจากช่วงที่ศึกษาเบื้องต้นรัฐบาลเวียดนาม ยังไม่ได้อนุมัติการลงทุนโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 2 ขนาด 2 แสนบาร์เรลต่อวัน ดังนั้นเมื่อโครงการโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 2 นี้เดินหน้าก็ต้องปรับขนาดโครงการลงทุนของกลุ่มปตท.ลง เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการตลาดที่วางไว้
ส่วนการหาพันธมิตรต่างชาติเข้ามาร่วมทุนด้วยนั้นได้มีการพิจารณาระดับหนึ่งแล้ว โดยกลุ่มปตท.จะถือหุ้น 40% พันธมิตรต่างชาติ 40% และที่เหลือเป็นเวียดนาม 20% โครงการนี้ถือได้ว่าเป็นโครงการ Asean Refinery & Petrochemical Complex(ARPC) เดิมคาดว่าโครงการนี้จะแล้วเสร็จในปี 2564
โครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามตั้งอยู่ที่บินดินห์ในภาคกลางของเวียดนาม ขณะที่โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ในเวียดนามมูลค่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐของปูนซิเมนต์ไทยจะตั้งอยู่ตอนใต้ของเวียดนาม นับว่าเป็นโครงการใหญ่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ(GDP)ของเวียดนามได้และเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี และหากเศรษฐกิจเวียดนามดีจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยด้วย
นายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.เตรียมยื่นผลศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้โครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมีครบวงจร ประเทศเวียดนามต่อรัฐบาลเวียดนามในเร็วๆนี้ โดยปตท.ได้ปรับลดมูลค่าการลงทุนลงเหลือ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐจากเดิม 2.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากได้ปรับลดขนาดโรงกลั่นน้ำมันจากเดิม 6.6 แสนบาร์เรล/วันเหลือเพียง 4 แสนบาร์เรล/วัน รวมทั้งลดกำลังการผลิตโรงงานปิโตรเคมีเป็น 5 ล้านตันต่อปีจากก่อนหน้านี้มีกำลังผลิตรวม 6 ล้านตันต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุดิบที่ได้จากโรงกลั่นน้ำมันด้วย
ส่วนโครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์นี้จะเดินหน้าก่อสร้างได้เมื่อไรขึ้นอยู่กับรัฐบาลเวียดนาม คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาระยะหนึ่ง เนื่องจากเป็นโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนมากที่สุดของการลงทุนในเวียดนาม และใช้เวลาในการดำเนินโครงการนาน 7 ปี ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเวียดนามในอนาคต เบื้องต้นผลิตภัณฑ์น้ำมันและเม็ดพลาสติกจากโครงการนี้จำหน่ายในประเทศเวียดนามกึ่งหนึ่งทดแทนการนำเข้า ที่เหลือส่งออกไปต่างประเทศ
การปรับลดขนาดโรงกลั่นน้ำมันลงนั้น เป็นผลจากช่วงที่ศึกษาเบื้องต้นรัฐบาลเวียดนาม ยังไม่ได้อนุมัติการลงทุนโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 2 ขนาด 2 แสนบาร์เรลต่อวัน ดังนั้นเมื่อโครงการโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 2 นี้เดินหน้าก็ต้องปรับขนาดโครงการลงทุนของกลุ่มปตท.ลง เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการตลาดที่วางไว้
ส่วนการหาพันธมิตรต่างชาติเข้ามาร่วมทุนด้วยนั้นได้มีการพิจารณาระดับหนึ่งแล้ว โดยกลุ่มปตท.จะถือหุ้น 40% พันธมิตรต่างชาติ 40% และที่เหลือเป็นเวียดนาม 20% โครงการนี้ถือได้ว่าเป็นโครงการ Asean Refinery & Petrochemical Complex(ARPC) เดิมคาดว่าโครงการนี้จะแล้วเสร็จในปี 2564
โครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามตั้งอยู่ที่บินดินห์ในภาคกลางของเวียดนาม ขณะที่โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ในเวียดนามมูลค่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐของปูนซิเมนต์ไทยจะตั้งอยู่ตอนใต้ของเวียดนาม นับว่าเป็นโครงการใหญ่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ(GDP)ของเวียดนามได้และเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี และหากเศรษฐกิจเวียดนามดีจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยด้วย
