ยิ่งใกล้ถึงวันที่ 10 สิงหาคมเข้ามามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนสนใจจับจ้องกันมากขึ้นว่า ในวันดังกล่าว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเดินทางกลับประเทศไทยตามสัญญาที่ให้ไว้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) หรือไม่ หลังจากเธอเดินทางออกนอกประเทศโดยอ้างว่าไปพักผ่อนท่องเที่ยวในยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยออกเดินทางไปตั้งแต่ วันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดกรณีโครงการรับจำนำข้าว ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มีความผิดตาม มาตรา 157 ปล่อยให้เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ทำให้รัฐเสียหายมากมายมหาศาล
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้นทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้เซ็นต์อนุญาตให้เธอเดินทางออกนอกประเทศตามคำร้องขอไปแล้ว โดยมีการอธิบายในเวลาต่อมาว่า ไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดขวางเธอ เนื่องจากยังไม่มีความผิด ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนตามกระบวนการยุติธรรมปกติ อีกทั้งด้วยหลักการด้านสิทธิมนุษยชน ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะไปจำกัดสิทธิเสรีภาพอีกด้วย เอาเป็นว่าเธอก็ได้เดินทางพร้อมครอบครัว คือลูกชาย และญาติใกล้ชิดไปทัวร์ยุโรปและอเมริกาตามกำหนด และในตารางทัวร์คราวนี้ ก็มีที่หมายที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ไปร่วมฉลองวันเกิด พี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่อายุครบ 65 ปี ตามที่ได้เห็นภาพสองคนกอดกันกลม ที่สนามบินนั่นแหละ
แต่ความหมายที่แท้จริงสำหรับเป้าหมายในการเดินทางไปต่างประเทศคราวนี้ มีการมองกันหลายมุม ทางหนึ่งบอกว่า เป็นการ "หยั่งเชิง" นั่นคือคงกลับมาก่อน เพราะถึงอย่างไร คดีความต่างๆ ยังไม่ถึงจุดชี้ขาด ยังมีเวลายื้อตามกระบวนการได้อีกนาน ตัวอย่างเช่น คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เป็นคดีอาญา แต่ก็เพิ่งส่งสำนวนไปถึงอัยการสูงสุด ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพิจารณาอีก 30 วัน และยังใช้วิธีการยื้อได้อีก นั่นคือเวลานี้ได้มอบหมายให้ทนายความไปยื่นเรื่องขอความเป็นธรรม อ้างว่า ป.ป.ช.รวบรัด ไม่ฟังคำชี้แจงครบถ้วน จึงขอให้พิจารณาการไต่สวนพยานเพิ่มอีก 50 ปาก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกสักพัก หรือหากไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถึงตอนนั้น ยังใช้เวลาเป็นปี
ดังนั้นในกรณีนี้หลายคนยังเชื่อว่า ยังไงก็ต้องกลับมาก่อน เพราะยังไม่ถึงเวลาต้องหนี ยังสามารถขออนุญาตเดินทางเข้าออกได้อีกหลายรอบ อย่างน้อยก็ทำให้ตายใจ เพราะทำตามเงื่อนไขทุกครั้ง แต่ในช่วงเวลาคับขันคราวหน้านี่สิ ไม่แน่ ว่าจะกลับมาหรือเปล่า
แต่ในมุมของอีกฝ่ายที่ยังเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ไปคราวนี้แล้วไปเลย ไม่กลับมาแล้ว เพราะมองดูอนาคตแล้วถือว่า "มืดมน" โดยเฉพาะเส้นทางการเมืองข้างหน้าไม่ค่อยสดใส อย่างน้อยแค่คดีทุจริตจำนำข้าวเป็นชนักปักหลัง แบบนี้มันทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ไหนจะยังมีคดีที่อาจถูกพิจารณาถอดถอนจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผลต่อเนื่องมาจากวุฒิสภาชุดก่อน ที่ป.ป.ช. เคยส่งเรื่องมาให้ดำเนินการแล้ว แต่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้ามาเสียก่อน ถ้าเกิดแจ็กพอตถูกถอดถอนก็ซวย ถูกห้ามเข้าสู่การเมืองตลอดชีวิต ขณะเดียวกันก็เห็นสัญญาณบางอย่างเหมือนกันว่าจะออกทางนี้ นั่นคือการมอบหมายให้ทนายความไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ขอความเป็นธรรมกล่าวหาว่า ป.ป.ช.รวบรัด พร้อมกับขอให้ไต่สวนพยานของตัวเองเพิ่มอีก ซึ่งแบบนี้เหมือนกับการ "นำร่อง" บางอย่าง
อย่างน้อยเธอก็พยายามชี้ให้เห็นแล้วว่า "ไม่ได้รับความเป็นธรรม" เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะกลับมาสู้คดี อีกทั้งยังอ้างสถานการณ์ไม่ปกติในประเทศ ไม่กลับมา แล้วขอลี้ภัย หรือปักหลักอยู่ต่างประเทศอีกสักพักหนึ่งก็เป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมาก็มีรายงานแล้วว่า ได้มองหาโรงเรียนให้ลูกชายที่ประเทศอังกฤษกัน ทำให้เหมือนมองเหมือนกับว่า หาทางหนีทีไล่แบบหมดห่วงกันไปแล้ว
อย่างไรก็ดี กรณีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากพิจารณากันตามวัน เวลา ก็ยังถือว่าไม่ครบกำหนด นั่นคือ วันที่ 10 สิงหาคม จึงยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะออกมารูปไหน แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีแต่เสมอตัวกับเสียหาย เพราะหากเธอกลับมาตามที่ได้รับปากสัญญาเอาไว้ ก็ดีไป แต่ถ้าไม่กลับมาล่ะ นี่สิเรื่องใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีเสียงนินทาแล้วว่า "เปิดทางให้หนี" และบังเอิญไปตีความคำพูดก่อนหน้า ที่ย้ำว่า "หากทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ทำผิดก็ต้องติดตามจับกุม แต่หากไม่อยากถูกดำเนินคดีถูกลงโทษ ก็ต้องหนีไป" ซึ่งตอนนั้นได้พูดถึง "คนแดนใกล" ให้กลับมาสู้คดีด้วย โดยรับประกันความยุติธรรมให้ด้วย
ดังนั้น แม้ว่าในหลักการแล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจใช้วิธียื่นเรื่องขอขยายเวลากลับประเทศได้อีก อีกทั้งยังไม่ถึงเวลาที่อยู่ในช่วงของการเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จะไปจำกัดสิทธิเสรีภาพไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี หากไม่กลับมาภายในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ มันก็เสียหายทั้งเครดิตของเธอเอง และยังสะเทือนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย ที่ต้องเป็นขี้ปากของชาวบ้าน ทำนอง "นึกไว้อยู่แล้วเชียว" อะไรทำนองนี้แหละ !!
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้นทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้เซ็นต์อนุญาตให้เธอเดินทางออกนอกประเทศตามคำร้องขอไปแล้ว โดยมีการอธิบายในเวลาต่อมาว่า ไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดขวางเธอ เนื่องจากยังไม่มีความผิด ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนตามกระบวนการยุติธรรมปกติ อีกทั้งด้วยหลักการด้านสิทธิมนุษยชน ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะไปจำกัดสิทธิเสรีภาพอีกด้วย เอาเป็นว่าเธอก็ได้เดินทางพร้อมครอบครัว คือลูกชาย และญาติใกล้ชิดไปทัวร์ยุโรปและอเมริกาตามกำหนด และในตารางทัวร์คราวนี้ ก็มีที่หมายที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ไปร่วมฉลองวันเกิด พี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่อายุครบ 65 ปี ตามที่ได้เห็นภาพสองคนกอดกันกลม ที่สนามบินนั่นแหละ
แต่ความหมายที่แท้จริงสำหรับเป้าหมายในการเดินทางไปต่างประเทศคราวนี้ มีการมองกันหลายมุม ทางหนึ่งบอกว่า เป็นการ "หยั่งเชิง" นั่นคือคงกลับมาก่อน เพราะถึงอย่างไร คดีความต่างๆ ยังไม่ถึงจุดชี้ขาด ยังมีเวลายื้อตามกระบวนการได้อีกนาน ตัวอย่างเช่น คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เป็นคดีอาญา แต่ก็เพิ่งส่งสำนวนไปถึงอัยการสูงสุด ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพิจารณาอีก 30 วัน และยังใช้วิธีการยื้อได้อีก นั่นคือเวลานี้ได้มอบหมายให้ทนายความไปยื่นเรื่องขอความเป็นธรรม อ้างว่า ป.ป.ช.รวบรัด ไม่ฟังคำชี้แจงครบถ้วน จึงขอให้พิจารณาการไต่สวนพยานเพิ่มอีก 50 ปาก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกสักพัก หรือหากไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถึงตอนนั้น ยังใช้เวลาเป็นปี
ดังนั้นในกรณีนี้หลายคนยังเชื่อว่า ยังไงก็ต้องกลับมาก่อน เพราะยังไม่ถึงเวลาต้องหนี ยังสามารถขออนุญาตเดินทางเข้าออกได้อีกหลายรอบ อย่างน้อยก็ทำให้ตายใจ เพราะทำตามเงื่อนไขทุกครั้ง แต่ในช่วงเวลาคับขันคราวหน้านี่สิ ไม่แน่ ว่าจะกลับมาหรือเปล่า
แต่ในมุมของอีกฝ่ายที่ยังเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ไปคราวนี้แล้วไปเลย ไม่กลับมาแล้ว เพราะมองดูอนาคตแล้วถือว่า "มืดมน" โดยเฉพาะเส้นทางการเมืองข้างหน้าไม่ค่อยสดใส อย่างน้อยแค่คดีทุจริตจำนำข้าวเป็นชนักปักหลัง แบบนี้มันทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ไหนจะยังมีคดีที่อาจถูกพิจารณาถอดถอนจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผลต่อเนื่องมาจากวุฒิสภาชุดก่อน ที่ป.ป.ช. เคยส่งเรื่องมาให้ดำเนินการแล้ว แต่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้ามาเสียก่อน ถ้าเกิดแจ็กพอตถูกถอดถอนก็ซวย ถูกห้ามเข้าสู่การเมืองตลอดชีวิต ขณะเดียวกันก็เห็นสัญญาณบางอย่างเหมือนกันว่าจะออกทางนี้ นั่นคือการมอบหมายให้ทนายความไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ขอความเป็นธรรมกล่าวหาว่า ป.ป.ช.รวบรัด พร้อมกับขอให้ไต่สวนพยานของตัวเองเพิ่มอีก ซึ่งแบบนี้เหมือนกับการ "นำร่อง" บางอย่าง
อย่างน้อยเธอก็พยายามชี้ให้เห็นแล้วว่า "ไม่ได้รับความเป็นธรรม" เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะกลับมาสู้คดี อีกทั้งยังอ้างสถานการณ์ไม่ปกติในประเทศ ไม่กลับมา แล้วขอลี้ภัย หรือปักหลักอยู่ต่างประเทศอีกสักพักหนึ่งก็เป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมาก็มีรายงานแล้วว่า ได้มองหาโรงเรียนให้ลูกชายที่ประเทศอังกฤษกัน ทำให้เหมือนมองเหมือนกับว่า หาทางหนีทีไล่แบบหมดห่วงกันไปแล้ว
อย่างไรก็ดี กรณีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากพิจารณากันตามวัน เวลา ก็ยังถือว่าไม่ครบกำหนด นั่นคือ วันที่ 10 สิงหาคม จึงยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะออกมารูปไหน แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีแต่เสมอตัวกับเสียหาย เพราะหากเธอกลับมาตามที่ได้รับปากสัญญาเอาไว้ ก็ดีไป แต่ถ้าไม่กลับมาล่ะ นี่สิเรื่องใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีเสียงนินทาแล้วว่า "เปิดทางให้หนี" และบังเอิญไปตีความคำพูดก่อนหน้า ที่ย้ำว่า "หากทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ทำผิดก็ต้องติดตามจับกุม แต่หากไม่อยากถูกดำเนินคดีถูกลงโทษ ก็ต้องหนีไป" ซึ่งตอนนั้นได้พูดถึง "คนแดนใกล" ให้กลับมาสู้คดีด้วย โดยรับประกันความยุติธรรมให้ด้วย
ดังนั้น แม้ว่าในหลักการแล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจใช้วิธียื่นเรื่องขอขยายเวลากลับประเทศได้อีก อีกทั้งยังไม่ถึงเวลาที่อยู่ในช่วงของการเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จะไปจำกัดสิทธิเสรีภาพไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี หากไม่กลับมาภายในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ มันก็เสียหายทั้งเครดิตของเธอเอง และยังสะเทือนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย ที่ต้องเป็นขี้ปากของชาวบ้าน ทำนอง "นึกไว้อยู่แล้วเชียว" อะไรทำนองนี้แหละ !!