คนเมืองกล้วยไข่ ข้องใจทำไมสูบน้ำมันดิบลานกระบือ 30 ปียังไม่หมด ล่าสุดปตท.ผส.เตรียมเปิดหลุมน้ำมันดิบใหม่“แหล่งบึงช้าง แปลงเอส 1”อีก แต่ราคาน้ำมันยังไม่ลด ขณะที่หลายปีที่ผ่านมาชาวบ้านยังผวา"โรคลานกระบือ"ที่ต้องเสียเงิน 2 หมื่นถึงหาย ด้าน“ปิยสวัสดิ์”ชง 6 แนวทางพัฒนาพลังงานหมุนเวียนให้ คสช.ประกอบการจัดทำแผนปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน
วานนี้ (7 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท ปตท.สผ.จำกัด (มหาชน) ได้ตระเวนเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (ระดับจังหวัด) ครั้งที่ 1 ในโครงการผลิตปิโตรเลียม “แหล่งบึงช้าง แปลงเอส 1” หลายเวที ทั้งที่โรงแรมชากังราว ริเวอร์วิว อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 4 ส.ค., ห้องประชุมชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย 5 ส.ค. และจะเปิดเวทีที่ห้องประชุมศิลาอาสน์ ศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ ในวันที่ 15 ส.ค.ที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ยังได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนระดับตำบล เช่น 6 สิงหาคม 57 ที่ ต.ทุ่งยางเมือง อบต. หนองหลวง อบต.บึงทับแรต และต่อเนื่องอีกหลายตำบลจนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 57 ตามรัศมี 5 กิโลเมตร และระยะ 500 เมตรกึ่งกลางแนวท่อส่งน้ำมันดิบครอบคลุม 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก สุโขทัย และกำแพงเพชร
ในการเปิดเวทีฯ ที่โรงแรมชากังราวริเวอร์วิวนั้น นายสุทัศน์ กาญจนกันติ วิศวกรสิ่งแวดล้อบริษัท ปตท.สผ.ฯ กล่าวว่า ปตท.สผ.จะดำเนินการขุดเจาะแปลงปิโตรเลียมใหม่เพิ่มเติม คือ โครงการผลิตปิโตรเลียม แหล่งบึงช้าง แปลงเอส 1
หลังจากได้รับสัมปทานปิโตรเลียมจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในแหล่งสิริกิติ์ แหล่งปรือกระเทียม แหล่งประดู่เฒ่า แหล่งหนองตูม และแหล่งเสาเถียร ปัจจุบันมีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 28,197 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซธรรมชาติ 50 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (ข้อมูลเดือน เม.ย. 57)
โดยในการดำเนินโครงการนั้น ปตท.สผ.ต้องทำการศึกษา และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่ม ตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 รออนุมัติจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
นายสุทัศน์กล่าวอีกว่า โครงการผลิตปิโตรเลียมแหล่งบึงช้าง แปลงเอส 1 ตั้งอยู่ที่ อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร ประกอบด้วยฐานใหม่ 4 ฐาน และแนวท่อส่งปิโตรเลียม 6 แนวท่อ ระยะทาง 18.5 กิโลเมตร จากเดิมมีจำนวน 38 ฐาน หรือประมาณ 300 หลุมเจาะ 80 แนวท่อ
ซึ่งท่อส่งปิโตรเลียมของแหล่งน้ำมันสิริกิติ์มีมากสุดในบริเวณถนนสายลานกระบือ-พิษณุโลก เดิมทีอยู่ภายใต้สัมปทานของงบริษัท ไทยเชลล์เอ็กพลอเรชั่นแอนด์โปรดักชั่น ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 22 กระทั่งปี 2527 เริ่มดำเนินการผลิต เริ่มจากอัตราการผลิต 11,000 บาร์เรล กระทั่งปัจจุบันผลิตได้ประมาณ 26,000 บาร์เรลต่อวัน ก่อนส่งน้ำมันดิบไปกลั่นต่อไปทางภาคตะวันออก
นายสุทัศน์บอกว่า ผลผลิตน้ำมันดิบแหล่งพื้นดินของ ปตท.ผส.จำนวน 26,000 บาร์เรลต่อวัน ถือว่ามากที่สุดในแหล่งบนบก แต่ยังน้อยเมื่อเทียบกับการผลิตในทะเลอ่าวไทย เช่น แหล่งจัสมิน และบานเย็น, แหล่งบัวหลวง ฯลฯ ส่วนผลผลิตรวมทั้งทะเล และบนบกของไทยผลิตได้ทั้งสิ้น 1.5 แสนบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปริมาณใช้น้ำมันทั้งประเทศไทยคือ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันแหล่งผลิต ปตท.สผ. (3 จังหวัด กำแพงเพชร พิษณุโลก สุโขทัย) มีอยู่ 300 หลุม ประเมินว่าจะมีน้ำมันดิบให้สูบอีกประมาณ 10 ปี กรณีหลุมใหม่ของ “แหล่งบึงช้าง แปลงเอส 1” ทั้ง 4 ฐาน ยังไม่แน่ว่าจะมีน้ำมันกี่หลุม แต่เชื่อว่าจะต้องมีน้ำมันดิบให้สูบเกิน 10 ปีขึ้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่พนักงาน ปตท.สผ.ชี้แจงข้อมูลนั้น ปรากฏว่าชาวบ้านกำแพงเพชรหลายคนสงสัย โดยเฉพาะนายอนุชา เกตุเจริญ, นายสุวัฒน์ วัฒนศิริ ฯลฯ ได้ตั้งคำถามในหลายประเด็น เช่น ขุดน้ำมันเพิ่มขึ้นแล้ว จะทำให้ราคาน้ำมันที่ใช้อยู่ลดลงหรือไม่, ขุดน้ำมันหลายปียังไม่หมดจะส่งผลให้แผ่นดินทรุดหรือไม่, สารเคมีผสมกับโคลนที่อยู่ในกระบวนการผลิตหลุมเจาะน้ำมันดิบเป็นอันตรายต่อพื้นที่ไร่นาหรือไม่, เปลวเพลิงจากกระบวนการผลิตทำให้ผลผลิตข้าวโพดลดลงหรือไม่, สารเคมีสีเหลืองจากเปลวเพลิงตกใส่หลังคารถเมื่อปี 26 เป็นอันตรายต่อคนในพื้นที่ กระทั่งเรียกว่า “โรคลานกระบือ” ต้องเสียเงินกว่า 2 หมื่นจึงหายใช่หรือไม่
ขณะที่นายอรรพล อ่างคำ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ กรมเชื้อเพลงพลังงาน กระทรวงพลังงาน และวิศวฯ สิ่งแวดล้อม ปตท.สผ. ชี้แจงว่า ราคาขายน้ำมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับโครงสร้างราคา ส่วนที่ถามว่าขุดน้ำมันร่วม 30 ปี แผ่นดินไม่ทรุด ไม่ไหว-ถล่ม เนื่องจากน้ำมันไหลมาตามซอกหินเล็กๆ เท่านั้น ความลึกประมาณ 3 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับการขุดบ่อน้ำตื้น ที่ลึกเพียง 60-70 เมตร อาจทรุดได้
ส่วนสารเคมีที่ผสมกับโคลน คือสาร Barite มีหน้าที่หล่อเลื่อนหัวเจาะที่คว้านลงไปในหิน ไม่ใช่สารละลายหิน อีกทั้งสารแบร์ไรท์มีราคาแพง ลงทุนด้วยตัวเลข 7 หลักต่อหลุม ต้องนำมาหมุนเวียนใช้เพื่อเจาะหลุมน้ำมันดิบต่อไป ไม่ทิ้งลงสู่ผืนนา
“หลายปีที่ผ่านมา ปตท.มีการตรวจสอบคนในชุมชุน ไม่พบสารปรอทและสังกะสี”
*** ‘ปิยสวัสดิ์’ชง6ข้อปฏิรูปพลังงานหมุนเวียน
ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ในฐานะประธานมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม(มพส.) ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้มพส.ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทยที่ได้จากการแลกเปลี่ยนความเห็นจากผู้มีส่วนได้และเสียต่อพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เพื่อนำไปประกอบการจัดทำปฏิรูปราคาพลังงานต่อไป โดยแนวทางพัฒนาประกอบด้วย 6 ข้อเสนอได้แก่
1. ให้ยกเลิกคณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ เพื่อกำจัดช่องทางในการเรียกผลประโยชน์ของนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจ และสร้างความโปร่งใสการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบกฎเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อน เช่น ให้ยกเว้นโรงไฟฟ้าขยะที่มูลค่าเงินลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ไม่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ เป็นต้น
2.คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้การอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าในรูปแบบ One Stop Service ออกใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำของ พพ. จำนวน 23 โครงการ ประสานงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายอย่างใกล้ชิดในการกำกับดูแล ลดขั้นตอนในการติดต่อและใช้ระบบส่งข้อมูลแบบ Online
3.การกำหนดมาตรการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจน ให้ผู้มีส่วนได้เสียได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ไม่มีการอุดหนุนหรืออุดหนุนน้อยที่สุด ใช้ระบบการแข่งขันด้านราคาและหลีกเลี่ยงการให้โควต้าการผลิต ควรแยกกิจการระบบผลิตไฟฟ้าออกจากกิจการระบบส่งไฟฟ้า เป็นต้น
4.การส่งเสริมโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ บนหลังคาหรือ โซลาร์รูฟท็อป จำนวน 200 เมกะวัตต์ ให้เปิดเสรีไม่มีการจำกัดโควต้า ขยายกำลังการผลิตติดตั้งได้เกินกว่า 10 กิโลวัตต์ และไม่จำกัดเพียงหลังคาบ้านเท่านั้น สำหรับประเภทบ้านพักอาศัย และโครงการติดตั้งสำหรับใช้เองให้สามารถใช้วิธีหักลบหน่วยมิเตอร์ได้ ส่วน โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ระดับชุมชน 800 เมกะวัตต์ มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้ดำเนินการแทน การไฟฟ้าสว่นภูมิภาคหรือ กฟภ. และพิจารณารับซื้อไฟฟ้าโดยกระจายโครงการให้ชุมชนมีส่วนร่วมครอบคลุมทุกภาคของประเทศ โดยใช้รูปแบบ BOT และกำหนดอัตราการรับซื้อไฟฟ้าโดยใช้วิธีการประมูลแข่งขัน
5.การส่งเสริมโครงการพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น ส่งเสริมโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชน เพื่อกระจายแหล่งผลิตไฟฟ้าไปยังชุมชนที่มีศักยภาพ และเพื่อลดกระแสการต่อต้านจากชุมชน อีกทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า 6.มาตรการที่จะใช้ในการส่งเสริมโครงการพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ
**ร้องขอทนายสู้คดี 'ปิยสวัสดิ์-ปตท.' ฟ้องหมิ่น
ขณะเดียวกันวานนี้ (7 ส.ค.) เฟซบุ๊กเพจ "ทวงคืน พลังงานไทย" ซึ่งต่อต้านการผูกขาดพลังงานโดย เครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และสนับสนุนการปฏิรูปพลังงานได้โพสต์ข้อความระบุว่า ทางผู้ดำเนินการเพจต้องการ "ทนายอาสา" เพื่อสู้คดีที่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ ประธานคณะกรรมการ ปตท. และ บริษัท ปตท.ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท ศาลอาญกรุงเทพใต้ วันที่ 9 กันยายน เวลา 9.00น.
"ด่วน!!! ต้องการ "ทนายอาสา" สู้คดีปิยสวัสดิ์ ฟ้องแอดมินเพจ ทวงคืนพลังงานไทย ณ ศาลอาญากรุงเทพใต้ เวลา 9 โมงเช้าครับ ใครที่สนใจจะเป็นทนายอาสา ติดต่อมานะครับ" เพจทวงคืน พลังงานไทยระบุ และว่าตนไม่มีค่าทนายให้ โดยผู้ที่มีจิตอาสากรุณาติดต่อมาที่ 089-411-2901
"ช่วยกันแชร์ให้กว้างขวางครับ...ต้องไม่ยอมก้มหัวให้อำนาจฉ้อฉล ครับพี่น้อง!!! จะรอเทพที่ไหนให้ช่วยผล รอกุศลที่ไหนให้ช่วยสร้าง มีแต่มือมีแต่ใจไม่จืดจาง ที่ต้องล้าง ที่ต้องรื้อ ลงมือทำ"