สาวไทยตกเป็นเหยื่อแก๊งค้ากามบาห์เรน ร้อง ปคม. หลังได้รับความช่วยเหลือจาก บุ๋ม ปนัดดา ผ่านทางอินสตาแกรม และได้ประสานตำรวจบาห์เรนเข้าช่วยเหลือจนปลอดภัย
วันนี้ (5 ส.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เมื่อเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.บช.น.) ได้นำตัว น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 25 ปี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ยุทธภูมิ ปั้นลายนาค ผกก.2 บก.ปคม. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับแก๊งหลอกลวงไปค้าประเวณีที่ประเทศบาห์เรน
น.ส.เอ ให้การว่า ก่อนหน้านี้ ได้รู้จักกับ น.ส.แอน ไม่ทราบชื่อและนามสกุล ทางไลน์ โดยเพื่อนแนะนำมาอีกที จากนั้น น.ส.แอน ได้ชักชวนให้ไปทำงานที่โรงแรมที่ประเทศบาห์เรน มีรายได้เดือนละเกือบ 2 แสนบาท นอกจากนี้ น.ส.แอน ยังอ้างอีกว่า งานที่นั่นเป็นงานสบาย แค่ทำหน้าที่รับจองห้องพัก และรับส่งแขกจากสนามบินมาโรงแรม เขายังบอกอีกว่า จะจัดการจองตั๋วเครื่องบินให้ และออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน ค่อยหักเมื่อเงินเดือนออก ตนเห็นว่ารายได้ดี จึงตอบตกลงไป จากนั้น น.ส.แอน ก็ได้ให้ตนส่งหนังสือเดินทางไปให้เพื่อดำเนินการจองตั๋วและนัดเดินทางกันในวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา เมื่อถึงวันนัดหมายตนได้เดินทางไปขึ้นเครื่องของสายการบินกัลฟ์แอร์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และก็ได้พบกับหญิงไทยอีกคนชื่อน้อยบนเครื่อง
น.ส.เอ กล่าวต่อว่า เมื่อไปถึงสนามบินที่ประเทศบาห์เรน ก็ได้มีหญิงชายชาวไทยคู่หนึ่งมารับ จากนั้นเขาก็แยกตนกับน้อยให้ไปพักกันคนละโรงแรม ซึ่งวันแรกที่ไปถึงเขาให้ตนพักคนเดียวก่อน แต่พอถึงวันที่ 2 กลับให้ตนไปพักรวมกับหญิงไทยอีก 6 คน ระหว่างที่อยู่ที่นั่นเขาจะให้ตนอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ออกไปไหน โดยให้หญิงไทยคนหนึ่งคอยจับตาดูตลอดเวลา ต่อมาเขาบังคับให้รับแขกซึ่งเป็นชายชาวตะวันออกกลาง ค่อนข้างจะมีอายุ ซึ่งตนอ้างกับแขกว่าถูกหลอกมาขายตัว และกำลังมีประจำเดือน พร้อมทั้งอ้อนวอนให้แขกช่วยเหลือ จากนั้นแขกคนดังกล่าวก็ได้จ้างให้พนักงานโรงแรมซื้อซิมโทรศัพท์ให้ตนโทร.แจ้งให้ญาติทราบ ตนจึงโทร.ไปหาแอนว่า ถูกบังคับให้ขายตัวและลูกไม่สบายอยากจะกลับบ้านไปดูลูก เพราะเป็นห่วงลูก แต่แอนบอกว่าเขาให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ และหากอยากกลับเมืองไทยจริงก็ต้องให้ญาติโอนเงินค่าใช้จ่ายที่แอนออกให้ไปก่อนจำนวน 70,000 บาทมาให้ แล้วจะส่งตัวกลับเมืองไทย
“หนูเห็นว่าหมดหนทางแล้ว เงินตั้ง 7 หมื่นจะไปหาที่ไหน จึงโทร.หาแฟน พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากคุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ทางอินสตาแกรม กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบาห์เรนเข้าช่วยเหลือออกมาได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับเมืองไทย และเข้าแจ้งความกับตำรวจ” น.ส.เอ กล่าว
ด้าน บุ๋ม ปนัดดา กล่าวว่า เมื่อช่วง 3 ทุ่มของคืนวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังเล่นอินสตาแกรมอยู่นั้น ก็มี น.ส.เอ ขอความช่วยเหลือว่าถูกหลอกขายตัว และกักขังอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศบาห์เรน ตนจึงโทร.สอบถามญาติ น.ส.เอ ว่าเจ้าตัวเดินทางไปต่างประเทศจริงหรือเปล่า เมื่อพบว่าเป็นเรื่องจริง ตนจึงขอข้อมูลจาก น.ส.เอ พร้อมทั้งโทรศัพท์หาเพื่อนที่ทำธุรกิจอยู่ที่ประเทศบาห์เรน ให้ช่วยประสานตำรวจบาห์เรนรีบเข้าช่วยเหลือ เนื่องจากอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า น.ส.เอ จะถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น นอกจากนี้ ตนยังให้ น.ส.เอ ส่งโลเกชัน หรือสถานที่โรงแรมดังกล่าวทางอินสตาแกรม ซึ่งในภาพเห็นน้องวิ่งอยู่ในห้องมืดๆ จากนั้นแก๊งดังกล่าวจับได้ว่า น.ส.เอ แอบใช้มือถือ ตนจึงออกอุบายให้ น.ส.เอ ส่งโทรศัพท์ให้แก๊งดังกล่าว โดยตนทำทีพูดภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นว่าอยากไปทำงานที่นั่นด้วย เพื่อถ่วงเวลา และให้ตำรวจบาห์เรนไปตรวจสอบ พนักงานโรงแรมกลับอ้างว่า น.ส.เอ ย้ายไปแล้ว แต่ตนไม่เชื่อเพราะยังคุยกับน้องเขาอยู่ จึงบอกเพื่อนให้แจ้งตรวจไปค้นหาอีกครั้ง กระทั่งช่วยเหลือ น.ส.เอ มาได้ขณะถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินของโรงแรมดังกล่าว ทั้งนี้ ทาง บก.ปคม. ได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้ก่อนรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวต่อไป
วันนี้ (5 ส.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เมื่อเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.บช.น.) ได้นำตัว น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 25 ปี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ยุทธภูมิ ปั้นลายนาค ผกก.2 บก.ปคม. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับแก๊งหลอกลวงไปค้าประเวณีที่ประเทศบาห์เรน
น.ส.เอ ให้การว่า ก่อนหน้านี้ ได้รู้จักกับ น.ส.แอน ไม่ทราบชื่อและนามสกุล ทางไลน์ โดยเพื่อนแนะนำมาอีกที จากนั้น น.ส.แอน ได้ชักชวนให้ไปทำงานที่โรงแรมที่ประเทศบาห์เรน มีรายได้เดือนละเกือบ 2 แสนบาท นอกจากนี้ น.ส.แอน ยังอ้างอีกว่า งานที่นั่นเป็นงานสบาย แค่ทำหน้าที่รับจองห้องพัก และรับส่งแขกจากสนามบินมาโรงแรม เขายังบอกอีกว่า จะจัดการจองตั๋วเครื่องบินให้ และออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน ค่อยหักเมื่อเงินเดือนออก ตนเห็นว่ารายได้ดี จึงตอบตกลงไป จากนั้น น.ส.แอน ก็ได้ให้ตนส่งหนังสือเดินทางไปให้เพื่อดำเนินการจองตั๋วและนัดเดินทางกันในวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา เมื่อถึงวันนัดหมายตนได้เดินทางไปขึ้นเครื่องของสายการบินกัลฟ์แอร์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และก็ได้พบกับหญิงไทยอีกคนชื่อน้อยบนเครื่อง
น.ส.เอ กล่าวต่อว่า เมื่อไปถึงสนามบินที่ประเทศบาห์เรน ก็ได้มีหญิงชายชาวไทยคู่หนึ่งมารับ จากนั้นเขาก็แยกตนกับน้อยให้ไปพักกันคนละโรงแรม ซึ่งวันแรกที่ไปถึงเขาให้ตนพักคนเดียวก่อน แต่พอถึงวันที่ 2 กลับให้ตนไปพักรวมกับหญิงไทยอีก 6 คน ระหว่างที่อยู่ที่นั่นเขาจะให้ตนอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ออกไปไหน โดยให้หญิงไทยคนหนึ่งคอยจับตาดูตลอดเวลา ต่อมาเขาบังคับให้รับแขกซึ่งเป็นชายชาวตะวันออกกลาง ค่อนข้างจะมีอายุ ซึ่งตนอ้างกับแขกว่าถูกหลอกมาขายตัว และกำลังมีประจำเดือน พร้อมทั้งอ้อนวอนให้แขกช่วยเหลือ จากนั้นแขกคนดังกล่าวก็ได้จ้างให้พนักงานโรงแรมซื้อซิมโทรศัพท์ให้ตนโทร.แจ้งให้ญาติทราบ ตนจึงโทร.ไปหาแอนว่า ถูกบังคับให้ขายตัวและลูกไม่สบายอยากจะกลับบ้านไปดูลูก เพราะเป็นห่วงลูก แต่แอนบอกว่าเขาให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ และหากอยากกลับเมืองไทยจริงก็ต้องให้ญาติโอนเงินค่าใช้จ่ายที่แอนออกให้ไปก่อนจำนวน 70,000 บาทมาให้ แล้วจะส่งตัวกลับเมืองไทย
“หนูเห็นว่าหมดหนทางแล้ว เงินตั้ง 7 หมื่นจะไปหาที่ไหน จึงโทร.หาแฟน พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากคุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ทางอินสตาแกรม กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบาห์เรนเข้าช่วยเหลือออกมาได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับเมืองไทย และเข้าแจ้งความกับตำรวจ” น.ส.เอ กล่าว
ด้าน บุ๋ม ปนัดดา กล่าวว่า เมื่อช่วง 3 ทุ่มของคืนวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังเล่นอินสตาแกรมอยู่นั้น ก็มี น.ส.เอ ขอความช่วยเหลือว่าถูกหลอกขายตัว และกักขังอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศบาห์เรน ตนจึงโทร.สอบถามญาติ น.ส.เอ ว่าเจ้าตัวเดินทางไปต่างประเทศจริงหรือเปล่า เมื่อพบว่าเป็นเรื่องจริง ตนจึงขอข้อมูลจาก น.ส.เอ พร้อมทั้งโทรศัพท์หาเพื่อนที่ทำธุรกิจอยู่ที่ประเทศบาห์เรน ให้ช่วยประสานตำรวจบาห์เรนรีบเข้าช่วยเหลือ เนื่องจากอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า น.ส.เอ จะถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น นอกจากนี้ ตนยังให้ น.ส.เอ ส่งโลเกชัน หรือสถานที่โรงแรมดังกล่าวทางอินสตาแกรม ซึ่งในภาพเห็นน้องวิ่งอยู่ในห้องมืดๆ จากนั้นแก๊งดังกล่าวจับได้ว่า น.ส.เอ แอบใช้มือถือ ตนจึงออกอุบายให้ น.ส.เอ ส่งโทรศัพท์ให้แก๊งดังกล่าว โดยตนทำทีพูดภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นว่าอยากไปทำงานที่นั่นด้วย เพื่อถ่วงเวลา และให้ตำรวจบาห์เรนไปตรวจสอบ พนักงานโรงแรมกลับอ้างว่า น.ส.เอ ย้ายไปแล้ว แต่ตนไม่เชื่อเพราะยังคุยกับน้องเขาอยู่ จึงบอกเพื่อนให้แจ้งตรวจไปค้นหาอีกครั้ง กระทั่งช่วยเหลือ น.ส.เอ มาได้ขณะถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินของโรงแรมดังกล่าว ทั้งนี้ ทาง บก.ปคม. ได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้ก่อนรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวต่อไป