“สิ่งทั้งมวลล้วนสัมพันธ์กัน” เป็นคำที่ทรงพลัง และมีความลี้ลับทำให้ส่วนลึกของหัวใจฉายฉานผ่านเมฆหมอก อันเป็นคอกกักขังใจออกไปได้อย่างอิสรเสรี มีความเบิกบาน ผ่อนคลายสบายๆ เป็นเครื่องชโลมใจ
สัมพันธ์ หมายถึง ผูกพันหรือเกี่ยวข้อง ผูกพันคือมีใจสมัครรักใคร่ต่อกัน มีจิตใจพัวพันถึง พัวพันคือเกี่ยวถึงกันหรือเข้าใกล้ชิดติดพัน นั่นเป็นเรื่องในกรอบพจนานุกรม เมื่ออยู่นอกกรอบใดๆ เมื่อมีสัมพันธ์ย่อมมีสัมผัส คือกระทบกันเป็นคู่หูรู้ใจกัน
สัมพันธ์กับสัมผัส จึงเป็นปีกสองข้างของดวงใจที่จะโบยบินท่ามกลางนภากาศ ยิ่งบินสูงเท่าไหร่ โลกที่เราเคยเห็นกว้างใหญ่ไพศาล ก็ยิ่งเล็กลงๆ เท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับนานาธุลีในห้วงอวกาศ (ที่ว่างนอกบรรยากาศโลก)
กาแฟหอมกรุ่นยามเช้าเพียงแก้วเดียว ก็วิเศษชื่นใจแล้วสำหรับคนสามัญธรรมดา จิบกาแฟพลางหูรับฟังจอจ้อจอพลาง ข่าวอะไรก็ไม่รู้ ปรองดองๆๆ อย่าทะเลาะกันๆๆ อ้าวคืนความสุขให้แล้วนะๆๆ ฯลฯ สติรับลูกแล้วตีกลับ สักแต่ว่าเสียงๆๆ
“สวัสดีครับคุณตา” เสียงเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งประมาณสิบกว่าคน แสดงอัธยาศัยไมตรี
“เจริญธรรมจ้าลูกหลาน มีธุระอันใดรึถึงแวะมาหาคนแก่” ตาโอภาปราศรัย
“ก็มีนิดหน่อยครับคุณตา คุณตากำลังกินอะไรนั่น” เด็กแววฉลาดตอบ และถามต่อ
“ตากำลังกิน ดินน้ำฟ้า ลองไหมล่ะ”
“กินอะไร ดินน้ำฟ้า ไม่เข้าใจ นั่นกาแฟมิใช่หรือ”
“กาแฟก็ใช่ ดินน้ำฟ้าก็ใช่ ถ้าอยากเข้าใจให้ตั้งใจฟัง ถ้าไม่ตั้งใจฟัง คนพูดจะเก่งขนาดไหนมันก็ยากจะเข้าใจ ถ้าตั้งใจฟัง คนพูดแม้จะไม่เก่งไม่เลิศ มันก็พอเข้าใจได้”
แล้วคนแก่ก็ว่าไปตามวัยของคนแก่ เด็กก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ตามวัยของเด็ก
...กินกาแฟ ดื่มกาแฟ ใครๆ ก็รู้ ไม่ต้องอธิบาย แต่กิน ดินน้ำฟ้า เนี่ย ขออธิบายหน่อยนะ ถ้วยกาแฟเป็นของแข็ง นี่คือดิน ผงกาแฟก็ดินอีก น้ำชงกาแฟนี่ชัดเจน ฟ้า ก็คืออากาศหรือช่องว่าง ถ้วยกาแฟมีช่องว่าง หรือช่องอากาศหรือช่องฟ้าไว้รองรับน้ำกาแฟ
ฟ้า คือผืนอากาศที่คลุมโลกอยู่เบื้องบน อากาศคือธาตุผสม ซึ่งไม่ปรากฏรูปร่างช่วยในการหายใจของสิ่งมีชีวิตหรือที่ว่างเปล่า เมื่อผสมผสานกันเข้าก็กลายเป็นน้ำกาแฟอยู่ในถ้วยกาแฟ ได้ดื่มได้กินนี่แหละ จะเรียกว่า กินกาแฟก็ใช่ กินดินน้ำฟ้าก็ถูก มันเป็นอย่างนี้แหละหลานเอ้ย...
เด็กๆ ก็คงเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แล้วก็ลาจากไป
วันหลังมาใหม่ มีทั้งเด็กเก่าและเด็กใหม่ประมาณ 20 กว่าคน ครั้งนี้ก็คล้ายๆ กับครั้งที่แล้วนั่นแหละ มีแตกต่างบ้างนิดหน่อย
คุณตานั่งจิบกาแฟผสมเสียงเพลงวัยฝาแรกแย้ม รุ่นคุณปู่ย่าตายายคงดีกว่าฟังข่าวออกจะสะเหล่อๆ อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะสร้างสรรค์ส่งเสริมผู้คนในชาติให้ฉลาดรู้ตรงไหนเลย ว่านอนสอนง่ายจัง คนพันธุ์หนี้สินอยู่กินด้วยเงินอนาคต
“คุณตากำลังกินอะไรค่ะ” เด็กใหม่ถามบ้าง
“ตากำลังกินตัวเอง เป็นอันดับแรก อันดับต่อไปก็ถึงคิวพวกเธอ” ตาตอบเสียงดัง ช้าๆ หนักแน่น
เด็กๆ ร้องว้าย บางคนทำท่าจะวิ่งหนี แต่จ่าฝูง บอกใจเย็นๆ ให้เพื่อนๆ อยู่ในความสงบ แล้วถามคุณตาต่อว่า
“งั้นคุณตาก็เป็นยักษ์หรือซีอุย ใช่ไหมครับ” คุณตาตอบหลานว่า...
“ตาก็เป็นตา ไม่ใช่ทั้งยักษ์และซีอุย ถ้าอยากรู้อยากเข้าใจก็ตั้งใจฟัง คิดอะไร ทำอะไร ถ้าตั้งใจก็จะเข้าใจและสำเร็จทุกอย่าง” แล้วตาก็สาธยายไปเรื่อยๆ
อันตัวเราเนี่ย หากดูดีๆ ก็เหมือนกับโลก “เราคือโลกที่ย่อส่วนลงมา” โลกมีดินน้ำฟ้า ตัวเราก็มีดินน้ำฟ้า กาแฟถ้วยนั้นก็มีดินน้ำฟ้าเช่นกัน
ตอนนี้แวะเข้าหาวิชาการสักหน่อย คือเรื่องธาตุ 4
ธาตุ 4 คือสิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยู่เอง คือมีอยู่โดยธรรมดา เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีอัตตา มิใช่สัตว์ มิใช่ชีวะ
ธาตุกัมมัฏฐาน 4 คือกรรมฐานที่พิจารณาธาตุเป็นอารมณ์ คือกำหนดพิจารณากายนี้ แยกเป็นส่วนๆ ให้เห็นว่าเป็นเพียงธาตุ 4 แต่ละอย่าง ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ธาตุ 4 ได้แก่ 1. ธาตุดิน 2. ธาตุน้ำ 3. ธาตุไฟ 4. ธาตุลม
หรือจะเป็นธาตุ 6 ก็เพิ่มอีก 2 ธาตุคือ 5. ธาตุอากาศ 6. ธาตุวิญญาณ
ผม (ผู้เขียน) ชอบสั้นจำง่าย เลยแปรธาตุ 4 และ 6 ให้เหลือ 3 สิ่งคือ ดิน น้ำ ฟ้า (ฟ้าคือธาตุไฟ ลม อากาศ วิญญาณ)
ตัวเราดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีการรวมตัวกันผสมผสานกันของธาตุ 4 ธาตุ 6 หรือดิน น้ำ ฟ้า โลกเราก็เช่นกัน ดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีการรวมตัวกันผสมผสานกันของธาตุ 4 ธาตุ 6 หรือดิน น้ำ ฟ้า
“เราคือโลก-โลกคือเรา” เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องที่สุด
กาแฟที่ตากำลังกินอยู่จะเรียกว่า กินกาแฟก็ใช่ กินตัวตาเองก็ใช่ กินพวกเธอก็ใช่
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเนื่องกันอยู่ มันสัมพันธ์กันอยู่ ทำสิ่งหนึ่งกระทบถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เพียงแค่เด็ดดอกหญ้าริมทางก็กระเทือนถึงหมู่ดาราบนท้องฟ้า...
เมื่อสมควรแก่เวลา เด็กๆ ก็จากไป เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีเหตุปัจจัยต่างกันไม่เท่ากัน
ทิ้งช่วงหลายวัน เด็กๆ ก็มาอีก คราวนี้ประมาณ 40 กว่าคน คงยกห้องมากระมัง?
ส่วนตาก็กำลังเพลินกับการอ่านหนังสือ “ชีวิตนี้มีค่าทุกลมหายใจ” ของ แมกซ์ สตรอม หายใจเข้า-หายใจออก โอ...พระเจ้า มีค่าจริงๆ ตามชื่อหนังสือ จิตใจเหมือนโบยบินออกจากกรงทอง สัมผัสรู้ มันคือฟรีมายด์ ตามชื่อสำนักพิมพ์
“สวัสดีค่ะคุณตา สวัสดีครับคุณตา” เด็กๆ ทักทายเมื่อแรกพบ ตามประเพณีอันดีงามของคนไทย
“เจริญธรรมจ้าลูกหลาน วันนี้มาทำอะไรกันเยอะจัง” ตากล่าวรับง่ายๆ แบบโล่งโปร่งเบา
“วันนี้จะมาถามเรื่องการปฏิบัติธรรมแบบสั้นๆ แต่สามารถเห็นธรรมได้ครับผม”
“ทำอย่างไรจึงจะเห็นธรรมเจ้าค่ะ”
“คำถามของหนูทั้งสองคนเหมือนๆ กัน คืออยากเห็นธรรมจะทำอย่างไร อยากเห็นธรรมก็ต้องดู” ตาตอบหลานๆ
“ดูอะไร” หลานถามต่อ
“ดู ดิน น้ำ ฟ้า” ตาไขปริศนาพร้อมชี้ไปที่พื้นดิน น้ำในขวด และท้องฟ้า เด็กๆ ดูตาม สักครู่ก็พูดขึ้นพร้อมๆ กันว่า “ไม่เห็นธรรมเลยคุณตา เห็นแต่ดิน เห็นแต่น้ำ เห็นแต่ฟ้า”
“ดูเป็นก็เห็น ดูไม่เป็นก็ไม่เห็น” ตาพาหลานๆ งงต่อ
“ช่วยเปิดฝาที่ปิดอยู่เถอะคุณตา” หลานอ้อนวอนอยากรู้อยากเห็น
ตาเห็นเจตนาดี ใฝ่รู้ใฝ่เรียนของเด็ก ก็ยินดีเล่าต่อ ไขข้อข้องใจหลานๆ...
“ดูดินน้ำฟ้า มหาสัมพันธ์” 3 สิ่งนี้มีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกันอันยิ่งใหญ่ จนกลายเป็นสิ่งเดียวคือโลก มองอีกมิติโลกก็คือดินน้ำฟ้า
โลกมีพื้นที่ผิว 510,072,000 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่น้ำประมาณ 71% (361,132,000 ตร.กม.) ที่เหลือประมาณ 29% (148,940,000 ตร.กม.) เป็นพื้นดิน
ส่วนฟ้า คือผืนอากาศที่คลุมโลกอยู่เบื้องบน ฟ้าไร้ขอบเขต
อากาศ คือธาตุผสม ไม่ปรากฏรูปร่าง ช่วยในการหายใจของสิ่งมีชีวิต หรือที่ว่างเปล่า อากาศที่หุ้มห่อโลกเรียกว่าบรรยากาศ ดังนั้น ฟ้า, อากาศ ก็คือสิ่งเดียวกัน มีช่องว่างอยู่ที่ไหน จะมีฟ้าหรืออากาศอยู่ที่นั่น (ฟ้าไม่ใช่มีเฉพาะเบื้องบนหรอก)
“หมุนเวียนเปลี่ยนผัน” ดิน น้ำ ฟ้า จะหมุนเวียนเปลี่ยนผันเป็นวัฏจักร
ลองดูวัฏจักรของน้ำก็คือ การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของน้ำ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเริ่มต้นจากน้ำในแหล่งต่างๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร (ทะเลใหญ่) แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ จากการคายน้ำของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิ่งมีชีวิต และจากกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ระเหยขึ้นไปในบรรยากาศ (ชั้นอากาศที่หุ้มห่อโลก) กระทบความเย็นควบแน่น (กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจากไอน้ำเป็นของเหลว) เป็นละอองน้ำเล็กๆ เป็นก้อนเมฆตกลงมาเป็นฝนหรือลูกเห็บสู่พื้นดิน ไหลลงสู่แหล่งน้ำต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนผันอยู่เช่นนี้เรื่อยไป
ตัวการที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำ
1. ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ กลายเป็นไอน้ำขึ้นสู่บรรยากาศ
2. กระแสลม ช่วยทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอได้เร็วขึ้น
3. มนุษย์และสัตว์ขับถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และลมหายใจออกกลายเป็นไอน้ำสู่บรรยากาศ
4. พืช รากต้นไม้ เปรียบเหมือนฟองน้ำ มีความสามารถในการดูดน้ำจากดินจำนวนมากขึ้นไปเก็บไว้ในส่วนต่างๆ ทั้งยอด กิ่ง ใบ ดอก ผล และลำต้น แล้วคายน้ำสู่บรรยากาศ ไอน้ำเหล่านี้จะควบแน่นและรวมกันเป็นเมฆ และตกลงมาเป็นฝนต่อไป
ปริมาณน้ำที่ระเหยจากมหาสมุทร 84% จากพื้นดิน 16%
ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในมหาสมุทร 77% บนพื้นดิน 23%
ดินน้ำฟ้า คือมหาสัมพันธ์ที่ไม่มีสิ่งใดยิ่งกว่า วัฏจักรของน้ำหรือการหมุนเวียนเปลี่ยนผันดังกล่าว แท้จริงก็คือ “ดิน น้ำ ฟ้า มหาสัมพันธ์” ที่เชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียว ยากที่จะมีสิ่งใดทำให้แยกจากกันได้
ความเป็นหนึ่งเดียวของดินน้ำฟ้า จึงทรงพลังมหาศาลกลายเป็น...
“อนันตคุณ” ที่ทรงคุณค่า คุณประโยชน์ต่อโลก ไม่มีที่สิ้น ดินน้ำฟ้ามีแต่ให้ ไม่หวังผลตอบแทนจากสิ่งใด ให้แบบไร้ขีดจำกัด ให้เสมอภาค ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดินน้ำฟ้ามีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง แม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็ทำเป็นแบบอย่าง-อย่างอิสระ-อย่างสันติภาพ ขาดดินน้ำฟ้าเมื่อไหร่ แล้วจะรู้สึกว่า นรกและความตายมีจริง
การสาธยายจบลง หลานๆ เดินทางกลับ คงจะได้ “ธรรม” คนละตัวสองตัว ไปฝากคุณครูบ้างกระมัง?
“เมื่อใดที่คุณสัมผัสใบหญ้าหนึ่งใบ คุณก็ได้สัมผัสดวงดาวทุกดวง เพราะสิ่งต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน สิ่งต่างๆ อยู่ในกันและกัน”
เป็นความจริงแท้ที่ชาวเซนรู้สึกได้ สัมผัสได้ ความจริงของสรรพสิ่งเช่นนี้ จึงทำให้เขามีชีวิตเรียบง่าย ผ่อนคลาย สบายๆ
ปรมาจารย์โยคะ นาม แมกซ์ สตรอม กล่าวว่า...การอยู่ในร่างกายมนุษย์นั้นสั้นจริงๆ แล้ว สุดท้ายยมทูตก็เรียกหาเราจากเบื้องบน
“สหายเอ๋ย พร้อมหรือยัง เข้าใจหรือไม่ว่า ร่างกายนี้ดำรงอยู่แค่ชั่วยาม สิ่งที่จับต้องได้ใดๆ ก็ไม่อาจนำไปได้ทั้งนั้น แล้วอะไรคือสิ่งที่เป็นของท่านอย่างแท้จริงเล่า สิ่งใดนำไปด้วยได้ สิ่งนั้นแท้จริงย่อมเป็นของท่าน ไม่มีอื่นใดอีก จงรู้ไว้ ทุกสิ่งที่เป็นของท่านไม่ได้อยู่ที่ใด แต่อยู่ในหัวใจของท่านนั่นเอง”
“ไม่ประมาทหรือมีสติ” เป็นคำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนปรินิพพาน ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร วัยใด เด็ก-หนุ่ม-แก่ คุณมัวหาอะไรอยู่ สิ่งที่เป็นของคุณโดยแท้จริง มันอยู่กับคุณแล้วตลอดเวลา คุณรีบตื่นรู้-ดูมันซะ-จะได้อิ่มใจ
สัมพันธ์ หมายถึง ผูกพันหรือเกี่ยวข้อง ผูกพันคือมีใจสมัครรักใคร่ต่อกัน มีจิตใจพัวพันถึง พัวพันคือเกี่ยวถึงกันหรือเข้าใกล้ชิดติดพัน นั่นเป็นเรื่องในกรอบพจนานุกรม เมื่ออยู่นอกกรอบใดๆ เมื่อมีสัมพันธ์ย่อมมีสัมผัส คือกระทบกันเป็นคู่หูรู้ใจกัน
สัมพันธ์กับสัมผัส จึงเป็นปีกสองข้างของดวงใจที่จะโบยบินท่ามกลางนภากาศ ยิ่งบินสูงเท่าไหร่ โลกที่เราเคยเห็นกว้างใหญ่ไพศาล ก็ยิ่งเล็กลงๆ เท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับนานาธุลีในห้วงอวกาศ (ที่ว่างนอกบรรยากาศโลก)
กาแฟหอมกรุ่นยามเช้าเพียงแก้วเดียว ก็วิเศษชื่นใจแล้วสำหรับคนสามัญธรรมดา จิบกาแฟพลางหูรับฟังจอจ้อจอพลาง ข่าวอะไรก็ไม่รู้ ปรองดองๆๆ อย่าทะเลาะกันๆๆ อ้าวคืนความสุขให้แล้วนะๆๆ ฯลฯ สติรับลูกแล้วตีกลับ สักแต่ว่าเสียงๆๆ
“สวัสดีครับคุณตา” เสียงเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งประมาณสิบกว่าคน แสดงอัธยาศัยไมตรี
“เจริญธรรมจ้าลูกหลาน มีธุระอันใดรึถึงแวะมาหาคนแก่” ตาโอภาปราศรัย
“ก็มีนิดหน่อยครับคุณตา คุณตากำลังกินอะไรนั่น” เด็กแววฉลาดตอบ และถามต่อ
“ตากำลังกิน ดินน้ำฟ้า ลองไหมล่ะ”
“กินอะไร ดินน้ำฟ้า ไม่เข้าใจ นั่นกาแฟมิใช่หรือ”
“กาแฟก็ใช่ ดินน้ำฟ้าก็ใช่ ถ้าอยากเข้าใจให้ตั้งใจฟัง ถ้าไม่ตั้งใจฟัง คนพูดจะเก่งขนาดไหนมันก็ยากจะเข้าใจ ถ้าตั้งใจฟัง คนพูดแม้จะไม่เก่งไม่เลิศ มันก็พอเข้าใจได้”
แล้วคนแก่ก็ว่าไปตามวัยของคนแก่ เด็กก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ตามวัยของเด็ก
...กินกาแฟ ดื่มกาแฟ ใครๆ ก็รู้ ไม่ต้องอธิบาย แต่กิน ดินน้ำฟ้า เนี่ย ขออธิบายหน่อยนะ ถ้วยกาแฟเป็นของแข็ง นี่คือดิน ผงกาแฟก็ดินอีก น้ำชงกาแฟนี่ชัดเจน ฟ้า ก็คืออากาศหรือช่องว่าง ถ้วยกาแฟมีช่องว่าง หรือช่องอากาศหรือช่องฟ้าไว้รองรับน้ำกาแฟ
ฟ้า คือผืนอากาศที่คลุมโลกอยู่เบื้องบน อากาศคือธาตุผสม ซึ่งไม่ปรากฏรูปร่างช่วยในการหายใจของสิ่งมีชีวิตหรือที่ว่างเปล่า เมื่อผสมผสานกันเข้าก็กลายเป็นน้ำกาแฟอยู่ในถ้วยกาแฟ ได้ดื่มได้กินนี่แหละ จะเรียกว่า กินกาแฟก็ใช่ กินดินน้ำฟ้าก็ถูก มันเป็นอย่างนี้แหละหลานเอ้ย...
เด็กๆ ก็คงเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แล้วก็ลาจากไป
วันหลังมาใหม่ มีทั้งเด็กเก่าและเด็กใหม่ประมาณ 20 กว่าคน ครั้งนี้ก็คล้ายๆ กับครั้งที่แล้วนั่นแหละ มีแตกต่างบ้างนิดหน่อย
คุณตานั่งจิบกาแฟผสมเสียงเพลงวัยฝาแรกแย้ม รุ่นคุณปู่ย่าตายายคงดีกว่าฟังข่าวออกจะสะเหล่อๆ อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะสร้างสรรค์ส่งเสริมผู้คนในชาติให้ฉลาดรู้ตรงไหนเลย ว่านอนสอนง่ายจัง คนพันธุ์หนี้สินอยู่กินด้วยเงินอนาคต
“คุณตากำลังกินอะไรค่ะ” เด็กใหม่ถามบ้าง
“ตากำลังกินตัวเอง เป็นอันดับแรก อันดับต่อไปก็ถึงคิวพวกเธอ” ตาตอบเสียงดัง ช้าๆ หนักแน่น
เด็กๆ ร้องว้าย บางคนทำท่าจะวิ่งหนี แต่จ่าฝูง บอกใจเย็นๆ ให้เพื่อนๆ อยู่ในความสงบ แล้วถามคุณตาต่อว่า
“งั้นคุณตาก็เป็นยักษ์หรือซีอุย ใช่ไหมครับ” คุณตาตอบหลานว่า...
“ตาก็เป็นตา ไม่ใช่ทั้งยักษ์และซีอุย ถ้าอยากรู้อยากเข้าใจก็ตั้งใจฟัง คิดอะไร ทำอะไร ถ้าตั้งใจก็จะเข้าใจและสำเร็จทุกอย่าง” แล้วตาก็สาธยายไปเรื่อยๆ
อันตัวเราเนี่ย หากดูดีๆ ก็เหมือนกับโลก “เราคือโลกที่ย่อส่วนลงมา” โลกมีดินน้ำฟ้า ตัวเราก็มีดินน้ำฟ้า กาแฟถ้วยนั้นก็มีดินน้ำฟ้าเช่นกัน
ตอนนี้แวะเข้าหาวิชาการสักหน่อย คือเรื่องธาตุ 4
ธาตุ 4 คือสิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยู่เอง คือมีอยู่โดยธรรมดา เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีอัตตา มิใช่สัตว์ มิใช่ชีวะ
ธาตุกัมมัฏฐาน 4 คือกรรมฐานที่พิจารณาธาตุเป็นอารมณ์ คือกำหนดพิจารณากายนี้ แยกเป็นส่วนๆ ให้เห็นว่าเป็นเพียงธาตุ 4 แต่ละอย่าง ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ธาตุ 4 ได้แก่ 1. ธาตุดิน 2. ธาตุน้ำ 3. ธาตุไฟ 4. ธาตุลม
หรือจะเป็นธาตุ 6 ก็เพิ่มอีก 2 ธาตุคือ 5. ธาตุอากาศ 6. ธาตุวิญญาณ
ผม (ผู้เขียน) ชอบสั้นจำง่าย เลยแปรธาตุ 4 และ 6 ให้เหลือ 3 สิ่งคือ ดิน น้ำ ฟ้า (ฟ้าคือธาตุไฟ ลม อากาศ วิญญาณ)
ตัวเราดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีการรวมตัวกันผสมผสานกันของธาตุ 4 ธาตุ 6 หรือดิน น้ำ ฟ้า โลกเราก็เช่นกัน ดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีการรวมตัวกันผสมผสานกันของธาตุ 4 ธาตุ 6 หรือดิน น้ำ ฟ้า
“เราคือโลก-โลกคือเรา” เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องที่สุด
กาแฟที่ตากำลังกินอยู่จะเรียกว่า กินกาแฟก็ใช่ กินตัวตาเองก็ใช่ กินพวกเธอก็ใช่
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเนื่องกันอยู่ มันสัมพันธ์กันอยู่ ทำสิ่งหนึ่งกระทบถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เพียงแค่เด็ดดอกหญ้าริมทางก็กระเทือนถึงหมู่ดาราบนท้องฟ้า...
เมื่อสมควรแก่เวลา เด็กๆ ก็จากไป เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีเหตุปัจจัยต่างกันไม่เท่ากัน
ทิ้งช่วงหลายวัน เด็กๆ ก็มาอีก คราวนี้ประมาณ 40 กว่าคน คงยกห้องมากระมัง?
ส่วนตาก็กำลังเพลินกับการอ่านหนังสือ “ชีวิตนี้มีค่าทุกลมหายใจ” ของ แมกซ์ สตรอม หายใจเข้า-หายใจออก โอ...พระเจ้า มีค่าจริงๆ ตามชื่อหนังสือ จิตใจเหมือนโบยบินออกจากกรงทอง สัมผัสรู้ มันคือฟรีมายด์ ตามชื่อสำนักพิมพ์
“สวัสดีค่ะคุณตา สวัสดีครับคุณตา” เด็กๆ ทักทายเมื่อแรกพบ ตามประเพณีอันดีงามของคนไทย
“เจริญธรรมจ้าลูกหลาน วันนี้มาทำอะไรกันเยอะจัง” ตากล่าวรับง่ายๆ แบบโล่งโปร่งเบา
“วันนี้จะมาถามเรื่องการปฏิบัติธรรมแบบสั้นๆ แต่สามารถเห็นธรรมได้ครับผม”
“ทำอย่างไรจึงจะเห็นธรรมเจ้าค่ะ”
“คำถามของหนูทั้งสองคนเหมือนๆ กัน คืออยากเห็นธรรมจะทำอย่างไร อยากเห็นธรรมก็ต้องดู” ตาตอบหลานๆ
“ดูอะไร” หลานถามต่อ
“ดู ดิน น้ำ ฟ้า” ตาไขปริศนาพร้อมชี้ไปที่พื้นดิน น้ำในขวด และท้องฟ้า เด็กๆ ดูตาม สักครู่ก็พูดขึ้นพร้อมๆ กันว่า “ไม่เห็นธรรมเลยคุณตา เห็นแต่ดิน เห็นแต่น้ำ เห็นแต่ฟ้า”
“ดูเป็นก็เห็น ดูไม่เป็นก็ไม่เห็น” ตาพาหลานๆ งงต่อ
“ช่วยเปิดฝาที่ปิดอยู่เถอะคุณตา” หลานอ้อนวอนอยากรู้อยากเห็น
ตาเห็นเจตนาดี ใฝ่รู้ใฝ่เรียนของเด็ก ก็ยินดีเล่าต่อ ไขข้อข้องใจหลานๆ...
“ดูดินน้ำฟ้า มหาสัมพันธ์” 3 สิ่งนี้มีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกันอันยิ่งใหญ่ จนกลายเป็นสิ่งเดียวคือโลก มองอีกมิติโลกก็คือดินน้ำฟ้า
โลกมีพื้นที่ผิว 510,072,000 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่น้ำประมาณ 71% (361,132,000 ตร.กม.) ที่เหลือประมาณ 29% (148,940,000 ตร.กม.) เป็นพื้นดิน
ส่วนฟ้า คือผืนอากาศที่คลุมโลกอยู่เบื้องบน ฟ้าไร้ขอบเขต
อากาศ คือธาตุผสม ไม่ปรากฏรูปร่าง ช่วยในการหายใจของสิ่งมีชีวิต หรือที่ว่างเปล่า อากาศที่หุ้มห่อโลกเรียกว่าบรรยากาศ ดังนั้น ฟ้า, อากาศ ก็คือสิ่งเดียวกัน มีช่องว่างอยู่ที่ไหน จะมีฟ้าหรืออากาศอยู่ที่นั่น (ฟ้าไม่ใช่มีเฉพาะเบื้องบนหรอก)
“หมุนเวียนเปลี่ยนผัน” ดิน น้ำ ฟ้า จะหมุนเวียนเปลี่ยนผันเป็นวัฏจักร
ลองดูวัฏจักรของน้ำก็คือ การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของน้ำ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเริ่มต้นจากน้ำในแหล่งต่างๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร (ทะเลใหญ่) แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ จากการคายน้ำของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิ่งมีชีวิต และจากกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ระเหยขึ้นไปในบรรยากาศ (ชั้นอากาศที่หุ้มห่อโลก) กระทบความเย็นควบแน่น (กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจากไอน้ำเป็นของเหลว) เป็นละอองน้ำเล็กๆ เป็นก้อนเมฆตกลงมาเป็นฝนหรือลูกเห็บสู่พื้นดิน ไหลลงสู่แหล่งน้ำต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนผันอยู่เช่นนี้เรื่อยไป
ตัวการที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำ
1. ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ กลายเป็นไอน้ำขึ้นสู่บรรยากาศ
2. กระแสลม ช่วยทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอได้เร็วขึ้น
3. มนุษย์และสัตว์ขับถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และลมหายใจออกกลายเป็นไอน้ำสู่บรรยากาศ
4. พืช รากต้นไม้ เปรียบเหมือนฟองน้ำ มีความสามารถในการดูดน้ำจากดินจำนวนมากขึ้นไปเก็บไว้ในส่วนต่างๆ ทั้งยอด กิ่ง ใบ ดอก ผล และลำต้น แล้วคายน้ำสู่บรรยากาศ ไอน้ำเหล่านี้จะควบแน่นและรวมกันเป็นเมฆ และตกลงมาเป็นฝนต่อไป
ปริมาณน้ำที่ระเหยจากมหาสมุทร 84% จากพื้นดิน 16%
ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในมหาสมุทร 77% บนพื้นดิน 23%
ดินน้ำฟ้า คือมหาสัมพันธ์ที่ไม่มีสิ่งใดยิ่งกว่า วัฏจักรของน้ำหรือการหมุนเวียนเปลี่ยนผันดังกล่าว แท้จริงก็คือ “ดิน น้ำ ฟ้า มหาสัมพันธ์” ที่เชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียว ยากที่จะมีสิ่งใดทำให้แยกจากกันได้
ความเป็นหนึ่งเดียวของดินน้ำฟ้า จึงทรงพลังมหาศาลกลายเป็น...
“อนันตคุณ” ที่ทรงคุณค่า คุณประโยชน์ต่อโลก ไม่มีที่สิ้น ดินน้ำฟ้ามีแต่ให้ ไม่หวังผลตอบแทนจากสิ่งใด ให้แบบไร้ขีดจำกัด ให้เสมอภาค ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดินน้ำฟ้ามีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง แม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็ทำเป็นแบบอย่าง-อย่างอิสระ-อย่างสันติภาพ ขาดดินน้ำฟ้าเมื่อไหร่ แล้วจะรู้สึกว่า นรกและความตายมีจริง
การสาธยายจบลง หลานๆ เดินทางกลับ คงจะได้ “ธรรม” คนละตัวสองตัว ไปฝากคุณครูบ้างกระมัง?
“เมื่อใดที่คุณสัมผัสใบหญ้าหนึ่งใบ คุณก็ได้สัมผัสดวงดาวทุกดวง เพราะสิ่งต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน สิ่งต่างๆ อยู่ในกันและกัน”
เป็นความจริงแท้ที่ชาวเซนรู้สึกได้ สัมผัสได้ ความจริงของสรรพสิ่งเช่นนี้ จึงทำให้เขามีชีวิตเรียบง่าย ผ่อนคลาย สบายๆ
ปรมาจารย์โยคะ นาม แมกซ์ สตรอม กล่าวว่า...การอยู่ในร่างกายมนุษย์นั้นสั้นจริงๆ แล้ว สุดท้ายยมทูตก็เรียกหาเราจากเบื้องบน
“สหายเอ๋ย พร้อมหรือยัง เข้าใจหรือไม่ว่า ร่างกายนี้ดำรงอยู่แค่ชั่วยาม สิ่งที่จับต้องได้ใดๆ ก็ไม่อาจนำไปได้ทั้งนั้น แล้วอะไรคือสิ่งที่เป็นของท่านอย่างแท้จริงเล่า สิ่งใดนำไปด้วยได้ สิ่งนั้นแท้จริงย่อมเป็นของท่าน ไม่มีอื่นใดอีก จงรู้ไว้ ทุกสิ่งที่เป็นของท่านไม่ได้อยู่ที่ใด แต่อยู่ในหัวใจของท่านนั่นเอง”
“ไม่ประมาทหรือมีสติ” เป็นคำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนปรินิพพาน ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร วัยใด เด็ก-หนุ่ม-แก่ คุณมัวหาอะไรอยู่ สิ่งที่เป็นของคุณโดยแท้จริง มันอยู่กับคุณแล้วตลอดเวลา คุณรีบตื่นรู้-ดูมันซะ-จะได้อิ่มใจ