สายการบินแอร์แอลจีเรีย ขาดการติดต่อกับเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งของตน หลังจากที่เครื่องบินลำดังกล่าวบินขึ้นจากสนามบินของเมืองหลวงประเทศบูร์กินาฟาโซ ได้เกือบหนึ่งชั่วโมง เพื่อเดินทางกลับสู่แอลจีเรีย เมื่อวานนี้ (24 ก.ค.) ขณะที่ สายการบิน “ทรานส์เอเชีย” ของไต้หวัน ระบุพายุฝนส่งท้ายไต้ฝุ่น“มัตโม”น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินโดยสารของตนตก เมื่อคืนวันพุธ (23 ก.ค.) ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 48 คน
แหล่งข่าวจากสายการบินแอร์แอลจีเรีย บอกกับเอเอฟพี ว่า การติดต่อกับเครื่องบินลำนี้ ขาดหายไปในช่วงที่กำลังอยู่ในน่านฟ้าของประเทศมาลี และกำลังจะเข้าสู่พรหมแดนแอลจีเรีย
แม้จะมีกองกำลังจากนานาชาติยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่ในตอนนี้ แต่สถานการณ์ในพื้นที่ทางเหนือของประเทศมาลี ก็ยังคงไม่สงบ หลังจากถูกยึดครองโดยกลุ่มนักรบญิฮัด เป็นเวลาหลายเดือน ในปี 2012
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลมาลี และบรรดากลุ่มติดอาวุธจากทางเหนือได้ทำการพูดคุยกันในกรุงแอลเจียร์ โดยมุ่งเป้าไปที่ประเด็นความมั่นคง และข้อตกลงสันติภาพ ในขณะที่หลายพื้นที่ในประเทศมาลี กำลังติดพันอยู่กับการสู้รบ
"เครื่องบินลำนี้อยู่ไม่ไกลจากชายแดนแอลจีเรีย ตอนที่ลูกเรือถูกขอให้เดินทางกลับ เนื่องจากทัศนวิสัยเลวร้าย และเพื่อป้องกันไม่ให้ไปชนกับเครื่องบินอีกลำ ที่กำลังบินอยู่บนเส้นทาง แอลเจียร์ เมืองหลวงของแอลจีเรีย - บามาโก เมืองหลวงของมาลี แล้วสัญญาณการติดต่อก็ขาดหายไปหลังจากที่เปลี่ยนเส้นทาง" แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ สายการบินแอร์แอลจีเรีย ได้ประกาศถึงการสูญหายไปของเที่ยวบิน AH5017 ลำนี้ ในคำแถลงที่ออกอากาศโดยสำนักข่าวเอพีเอส ซึ่งเป็นสำนักข่าวแห่งชาติของแอลจีเรีย
คำแถลงระบุว่า ระบบนำร่องทางอากาศ ได้ขาดการติดต่อกับเครื่องบินของแอร์แอลจีเรีย หลังจากบินขึ้นจากสนามบินได้ประมาณ 50 นาที โดยมีเส้นทางการบินจากกรุงวากาดูกู เมืองหลวงของฃบูร์กินาฟาโซ ไปยังจุดหมายปลายทางที่กรุงแอลเจียร์ เมืองหลวงของแอลจีเรียเมื่อวานนี้ (24 ก.ค.)
นอกจากนี้ คำแถลงยังระบุอีกว่า ทางสายการบินได้เริ่มใช้ "แผนฉุกเฉิน" ในการค้นหาเที่ยวบิน AH5017 ซึ่งปกติจะออกบินสัปดาห์ละ 4 เที่ยว แต่ละเที่ยวจะใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง
ล่าสุดมีการยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวบินดังกล่าว ว่าแท้จริงแล้วเป็นเครื่องบิน แมคโดเนล ดักลาส MD-83 ที่ทางแอร์แอลจีเรีย เช่ามาจากสายการบิน "สวิฟต์แอร์" ของสเปน ซึ่งนอกจากผู้โดยสารทั้ง 110 คนแล้ว ยังมีลูกเรือที่เป็นชาวสเปนอีก 6 ราย
ด้านสายการบินสวิฟต์แอร์ของสเปน ยืนยันว่า ขาดการติดต่อกับเที่ยวบินดังกล่าว ที่มีผู้โดยสาร 110 คน กับลูกเรือชาวสเปนอีก 6 คนเช่นกัน
สายการบินเอกชนของสเปนรายนี้ ประกาศไว้บนเว็บไซต์ว่า เที่ยวบินนี้ ได้บินขึ้นจากบูร์กินาฟาโซ เมื่อเวลา 8.17 น. ตามเวลาประเทศไทย และตามกำหนดน่าจะไปถึงกรุงแอลเจียร์ในเวลา 12.10 น. แต่ก็ไปไม่ถึงจุดหมาย
ขณะที่เจ้าหน้าที่การบินของบูรกินาฟาโซ ระบุว่า พวกเขาได้ส่งต่อการดูแลเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับหอควบคุมการบินในกรุงนีอาเม เมืองหลวงของของประเทศไนเจอร์ ตอนเวลา 8.38 น. โดยสัญญาณการติดต่อครั้งสุดท้ายที่ได้รับเกิดขึ้นตอนเวลา 11.30 น.
นักการทูตรายหนึ่งในกรุงบามาโก ระบุว่า บริเวณทางเหนือของประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่เครื่องบินลำนี้บินผ่าน มีพายุทรายพัดรุนแรงตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
อิซซา ซาลี ไมกา ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งชาติของประเทศมาลี ระบุว่า กำลังอยู่ระหว่างการค้นหาเครื่องบินลำนี้ที่สูญหายไป
เขาบอกกับรอยเตอร์ว่า ยังไม่รู้ว่าเครื่องบินลำนี้อยู่ในพื้นที่ของมาลีหรือไม่ เจ้าหน้าที่การบินกำลังระดมกำลังออกค้นหาในทุกประเทศ ที่คาดว่าน่าจะพบเครื่องบินลำนี้ ทั้งในบูร์กินาฟาโซ มาลี ไนเจอร์ แอลจีเรียหรือแม้กระทั่งในสเปน
ทางด้านเฟเดอริค คูลิวิเย รัฐมนตรีคมนาคมของฝรั่งเศส ระบุว่า น่าจะมีชาวฝรั่งเศสจำนวนมากโดยสารอยู่บนเที่ยวบินนี้ โดยทางฝรั่งเศสได้ตัดสินใจส่งเครื่องบินขับไล่ "มิราจ 2000" จำนวน 2 ลำ ออกค้นหาเครื่องบินโดยสารที่หายไป
มีรายงานว่า บรรดาผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่สูญหายไปของแอลจีเรียลำนี้ เป็นชาวฝรั่งเศส 51 ราย กับชาวบูร์กินาฟาโซ 26 ราย รวมถึงยังมีชาวเลบานอนอีกอย่างน้อย 20 ราย
ขณะที่แหล่งข่าวในมาลี ระบุว่าการติดต่อกับเครื่องบิน MD-83 ขาดหายไป ขณะที่เครื่องบินลำนี้กำลังบินอยู่เหนือแคว้นกาโอ ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศมาลี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเคยถูกยึดครองโดยบรรดากลุ่มนักรบญิฮัดเป็นเวลาหลายเดือนช่วงปี 2012
**พายุทำ"ทรานส์เอเชีย"ของไต้หวันตก
ส่วนกรณี เครื่องบินโดยสาร ATR-72 ขนาด 70 ที่นั่ง เที่ยวบิน GE222 ของทรานส์เอเชีย แอร์เวยส์ ของไต้หวันที่ตกเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น บรรทุกผู้โดยสาร และลูกเรือรวม 58 คนจากสนามบินเมืองเกาสง ทางด้านใต้ของตัวเกาะไต้หวัน มุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่เกาะผิงหู ที่อยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะไต้หวัน โดยรายงานข่าวระบุว่า ความพยายามที่จะลงจอดครั้งแรก ท่ามกลางฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักต้องประสบความล้มเหลว และแล้วในขณะพยายามร่อนลงจอดครั้งที่ 2 เครื่องก็กลับพุ่งเข้าใส่บ้านสองหลัง ใกล้สนามบินหม่ากงและเกิดการระเบิด
ในจำนวนผู้เสียชีวิต มี 46 คนเป็นชาวไต้หวัน อีก 2 คนเป็นนักศึกษาแพทย์ จากฝรั่งเศสที่เป็นแพทย์ฝึกหัดในไต้หวัน สำหรับผู้รอดชีวิต 10 คน ที่ได้รับบาดเจ็บ บางส่วนกลับบ้านได้แล้ว ที่เหลือยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล นอกจากนั้น ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บบนภาคพื้นดินจำนวน 5 คน
อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากพายุมัตโม พัดผ่านไต้หวัน และมุ่งหน้าสู่จีน ส่งผลให้เที่ยวบินราว 200 เที่ยวในสนามบินหลายแห่งของไต้หวันต้องระงับการให้บริการในช่วงเช้าวันนั้น (วันพุธที่ 23 ก.ค.) อันเนื่องมาจากฝนตกหนักและลมแรง
ฟีบี้ ลู ตัวแทนของทรานส์เอเชียเปิดเผย เมื่อวันพฤหัสบดีว่า จากข้อมูลที่มีอยู่ล่าสุด อาจพูดได้ว่า สาเหตุของเครื่องบินตกคือสภาพอากาศอันมีอิทธิพลมาจากไต้ฝุ่นมัตโม และว่า สายการบินกำลังรอให้ทางการไต้หวันสอบสวนเรื่องนี้โดยละเอียด
ทางด้าน ลี วันลี โฆษกสำนักงานการบินพลเรือนไต้หวันตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกันว่า สภาพอากาศเลวร้ายขณะเครื่องบินตก กระนั้น การตัดสินใจว่าจะลงจอดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับนักบิน และสาเหตุที่แท้จริงยังอยู่ระหว่างการสอบสวน
สำนักข่าวเซนทรัล นิวส์ เอเจนซีส์ (CNA) รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของซู เหวินกวง รองหัวหน้าแผนกดับเพลิงท้องถิ่นว่า ขณะเกิดเหตุ ดูเหมือนฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลง และบีบให้นักบินต้องเชิดหัวเครื่องบินขึ้นก่อนพยายามลงจอดครั้งที่ 2
ครอบครัวผู้ประสบเหตุต่างโศกเศร้าและเดือดดาล หลายคนวิจารณ์ว่า สายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรปล่อยให้เครื่องขึ้นบินในสภาพอากาศเลวร้าย
ทว่า ทางการไทเปพยายามปกป้องการตัดสินใจในการอนุญาตให้สายการบินให้บริการตามปกติ โดยรัฐมนตรีคมนาคมไต้หวัน เย่ว์ กวงจื่อห์ แถลงว่า ตามความเข้าใจของตนนั้น ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาระบุว่า สภาพอากาศยังคงอยู่ในระดับที่ปลอดภัยตามข้อกำหนดความปลอดภัยในการบิน
ด้าน จีน เฉิน ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนไต้หวันระบุว่า เครื่องบินที่ประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบินหลังจากแจ้งว่าจะพยายามลงจอดครั้งที่ 2 เครื่องบินลำนี้มีอายุการใช้งาน 14 ปี
สำนักงานการบินพลเรือนเสริมว่า ทัศนวิสัยของเครื่องบินขณะพยายามลงจอดอยู่ที่ 1,600 เมตร ซึ่งสอดคล้องตามมาตรฐานความปลอดภัย และเที่ยวบิน 2 เที่ยวที่เดินทางมาถึงก่อน GE222 ไม่นานก็ลงจอดอย่างปลอดภัยในสนามบินหม่ากง
เฉินยังบอกอีกว่า ระหว่างเวลา 14.00 น. - 19.00 น. วันพุธ มีเที่ยวบิน 9 เที่ยวให้บริการในเส้นทางบินเดียวกับ GE222 แต่มีเพียง GE222 เท่านั้นที่ประสบอุบัติเหตุ
อย่างไรก็ตาม เฉินเสริมว่า คณะกรรมการความปลอดภัยการบิน ได้เปิดการสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้แล้ว โดยคาดว่า ต้องใช้เวลาสรุปรายงานอย่างเป็นทางการ 1 ปี และว่า เจ้าหน้าที่ค้นพบกล่องดำ 2 กล่องของเที่ยวบินนี้แล้วและเริ่มทำการตรวจสอบตั้งแต่วันพฤหัสบดี
สำหรับประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ของไต้หวันแถลงว่า ชาวไต้หวันทุกคนโศกเศร้ากับเหตุการณ์ครั้งนี้ และถือเป็นวันที่วิปโยคที่สุดในประวัติศาสตร์การบินของไต้หวัน
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ที่อยู่ระหว่างการเยือนอเมริกาใต้ ส่งสาส์นแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งผ่านทางสำนักงานกิจการไต้หวันของคณะรัฐมนตรีจีน
ทางด้านสายการบินต้นสังกัดเปิดเผยว่า หลี อี้เหลียง วัย 60 ปี กัปตันของเครื่องบินที่ประสบเหตุ มีประสบการณ์การบิน 22 ปี และชั่วโมงบินเกือบ 23,000 ชั่วโมง ส่วนผู้ช่วยนักบิน เจียง กวนซิน วัย 39 ปี มีประสบการณ์ 2 ปีครึ่ง
ทรานส์เอเชียแถลงว่าจะจ่ายค่าทำขวัญให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตรายละ 1 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน และ 200,000 ดอลลาร์ไต้หวันสำหรับผู้บาดเจ็บ
แหล่งข่าวจากสายการบินแอร์แอลจีเรีย บอกกับเอเอฟพี ว่า การติดต่อกับเครื่องบินลำนี้ ขาดหายไปในช่วงที่กำลังอยู่ในน่านฟ้าของประเทศมาลี และกำลังจะเข้าสู่พรหมแดนแอลจีเรีย
แม้จะมีกองกำลังจากนานาชาติยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่ในตอนนี้ แต่สถานการณ์ในพื้นที่ทางเหนือของประเทศมาลี ก็ยังคงไม่สงบ หลังจากถูกยึดครองโดยกลุ่มนักรบญิฮัด เป็นเวลาหลายเดือน ในปี 2012
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลมาลี และบรรดากลุ่มติดอาวุธจากทางเหนือได้ทำการพูดคุยกันในกรุงแอลเจียร์ โดยมุ่งเป้าไปที่ประเด็นความมั่นคง และข้อตกลงสันติภาพ ในขณะที่หลายพื้นที่ในประเทศมาลี กำลังติดพันอยู่กับการสู้รบ
"เครื่องบินลำนี้อยู่ไม่ไกลจากชายแดนแอลจีเรีย ตอนที่ลูกเรือถูกขอให้เดินทางกลับ เนื่องจากทัศนวิสัยเลวร้าย และเพื่อป้องกันไม่ให้ไปชนกับเครื่องบินอีกลำ ที่กำลังบินอยู่บนเส้นทาง แอลเจียร์ เมืองหลวงของแอลจีเรีย - บามาโก เมืองหลวงของมาลี แล้วสัญญาณการติดต่อก็ขาดหายไปหลังจากที่เปลี่ยนเส้นทาง" แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ สายการบินแอร์แอลจีเรีย ได้ประกาศถึงการสูญหายไปของเที่ยวบิน AH5017 ลำนี้ ในคำแถลงที่ออกอากาศโดยสำนักข่าวเอพีเอส ซึ่งเป็นสำนักข่าวแห่งชาติของแอลจีเรีย
คำแถลงระบุว่า ระบบนำร่องทางอากาศ ได้ขาดการติดต่อกับเครื่องบินของแอร์แอลจีเรีย หลังจากบินขึ้นจากสนามบินได้ประมาณ 50 นาที โดยมีเส้นทางการบินจากกรุงวากาดูกู เมืองหลวงของฃบูร์กินาฟาโซ ไปยังจุดหมายปลายทางที่กรุงแอลเจียร์ เมืองหลวงของแอลจีเรียเมื่อวานนี้ (24 ก.ค.)
นอกจากนี้ คำแถลงยังระบุอีกว่า ทางสายการบินได้เริ่มใช้ "แผนฉุกเฉิน" ในการค้นหาเที่ยวบิน AH5017 ซึ่งปกติจะออกบินสัปดาห์ละ 4 เที่ยว แต่ละเที่ยวจะใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง
ล่าสุดมีการยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวบินดังกล่าว ว่าแท้จริงแล้วเป็นเครื่องบิน แมคโดเนล ดักลาส MD-83 ที่ทางแอร์แอลจีเรีย เช่ามาจากสายการบิน "สวิฟต์แอร์" ของสเปน ซึ่งนอกจากผู้โดยสารทั้ง 110 คนแล้ว ยังมีลูกเรือที่เป็นชาวสเปนอีก 6 ราย
ด้านสายการบินสวิฟต์แอร์ของสเปน ยืนยันว่า ขาดการติดต่อกับเที่ยวบินดังกล่าว ที่มีผู้โดยสาร 110 คน กับลูกเรือชาวสเปนอีก 6 คนเช่นกัน
สายการบินเอกชนของสเปนรายนี้ ประกาศไว้บนเว็บไซต์ว่า เที่ยวบินนี้ ได้บินขึ้นจากบูร์กินาฟาโซ เมื่อเวลา 8.17 น. ตามเวลาประเทศไทย และตามกำหนดน่าจะไปถึงกรุงแอลเจียร์ในเวลา 12.10 น. แต่ก็ไปไม่ถึงจุดหมาย
ขณะที่เจ้าหน้าที่การบินของบูรกินาฟาโซ ระบุว่า พวกเขาได้ส่งต่อการดูแลเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับหอควบคุมการบินในกรุงนีอาเม เมืองหลวงของของประเทศไนเจอร์ ตอนเวลา 8.38 น. โดยสัญญาณการติดต่อครั้งสุดท้ายที่ได้รับเกิดขึ้นตอนเวลา 11.30 น.
นักการทูตรายหนึ่งในกรุงบามาโก ระบุว่า บริเวณทางเหนือของประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่เครื่องบินลำนี้บินผ่าน มีพายุทรายพัดรุนแรงตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
อิซซา ซาลี ไมกา ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งชาติของประเทศมาลี ระบุว่า กำลังอยู่ระหว่างการค้นหาเครื่องบินลำนี้ที่สูญหายไป
เขาบอกกับรอยเตอร์ว่า ยังไม่รู้ว่าเครื่องบินลำนี้อยู่ในพื้นที่ของมาลีหรือไม่ เจ้าหน้าที่การบินกำลังระดมกำลังออกค้นหาในทุกประเทศ ที่คาดว่าน่าจะพบเครื่องบินลำนี้ ทั้งในบูร์กินาฟาโซ มาลี ไนเจอร์ แอลจีเรียหรือแม้กระทั่งในสเปน
ทางด้านเฟเดอริค คูลิวิเย รัฐมนตรีคมนาคมของฝรั่งเศส ระบุว่า น่าจะมีชาวฝรั่งเศสจำนวนมากโดยสารอยู่บนเที่ยวบินนี้ โดยทางฝรั่งเศสได้ตัดสินใจส่งเครื่องบินขับไล่ "มิราจ 2000" จำนวน 2 ลำ ออกค้นหาเครื่องบินโดยสารที่หายไป
มีรายงานว่า บรรดาผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่สูญหายไปของแอลจีเรียลำนี้ เป็นชาวฝรั่งเศส 51 ราย กับชาวบูร์กินาฟาโซ 26 ราย รวมถึงยังมีชาวเลบานอนอีกอย่างน้อย 20 ราย
ขณะที่แหล่งข่าวในมาลี ระบุว่าการติดต่อกับเครื่องบิน MD-83 ขาดหายไป ขณะที่เครื่องบินลำนี้กำลังบินอยู่เหนือแคว้นกาโอ ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศมาลี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเคยถูกยึดครองโดยบรรดากลุ่มนักรบญิฮัดเป็นเวลาหลายเดือนช่วงปี 2012
**พายุทำ"ทรานส์เอเชีย"ของไต้หวันตก
ส่วนกรณี เครื่องบินโดยสาร ATR-72 ขนาด 70 ที่นั่ง เที่ยวบิน GE222 ของทรานส์เอเชีย แอร์เวยส์ ของไต้หวันที่ตกเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น บรรทุกผู้โดยสาร และลูกเรือรวม 58 คนจากสนามบินเมืองเกาสง ทางด้านใต้ของตัวเกาะไต้หวัน มุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่เกาะผิงหู ที่อยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะไต้หวัน โดยรายงานข่าวระบุว่า ความพยายามที่จะลงจอดครั้งแรก ท่ามกลางฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักต้องประสบความล้มเหลว และแล้วในขณะพยายามร่อนลงจอดครั้งที่ 2 เครื่องก็กลับพุ่งเข้าใส่บ้านสองหลัง ใกล้สนามบินหม่ากงและเกิดการระเบิด
ในจำนวนผู้เสียชีวิต มี 46 คนเป็นชาวไต้หวัน อีก 2 คนเป็นนักศึกษาแพทย์ จากฝรั่งเศสที่เป็นแพทย์ฝึกหัดในไต้หวัน สำหรับผู้รอดชีวิต 10 คน ที่ได้รับบาดเจ็บ บางส่วนกลับบ้านได้แล้ว ที่เหลือยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล นอกจากนั้น ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บบนภาคพื้นดินจำนวน 5 คน
อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากพายุมัตโม พัดผ่านไต้หวัน และมุ่งหน้าสู่จีน ส่งผลให้เที่ยวบินราว 200 เที่ยวในสนามบินหลายแห่งของไต้หวันต้องระงับการให้บริการในช่วงเช้าวันนั้น (วันพุธที่ 23 ก.ค.) อันเนื่องมาจากฝนตกหนักและลมแรง
ฟีบี้ ลู ตัวแทนของทรานส์เอเชียเปิดเผย เมื่อวันพฤหัสบดีว่า จากข้อมูลที่มีอยู่ล่าสุด อาจพูดได้ว่า สาเหตุของเครื่องบินตกคือสภาพอากาศอันมีอิทธิพลมาจากไต้ฝุ่นมัตโม และว่า สายการบินกำลังรอให้ทางการไต้หวันสอบสวนเรื่องนี้โดยละเอียด
ทางด้าน ลี วันลี โฆษกสำนักงานการบินพลเรือนไต้หวันตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกันว่า สภาพอากาศเลวร้ายขณะเครื่องบินตก กระนั้น การตัดสินใจว่าจะลงจอดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับนักบิน และสาเหตุที่แท้จริงยังอยู่ระหว่างการสอบสวน
สำนักข่าวเซนทรัล นิวส์ เอเจนซีส์ (CNA) รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของซู เหวินกวง รองหัวหน้าแผนกดับเพลิงท้องถิ่นว่า ขณะเกิดเหตุ ดูเหมือนฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลง และบีบให้นักบินต้องเชิดหัวเครื่องบินขึ้นก่อนพยายามลงจอดครั้งที่ 2
ครอบครัวผู้ประสบเหตุต่างโศกเศร้าและเดือดดาล หลายคนวิจารณ์ว่า สายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรปล่อยให้เครื่องขึ้นบินในสภาพอากาศเลวร้าย
ทว่า ทางการไทเปพยายามปกป้องการตัดสินใจในการอนุญาตให้สายการบินให้บริการตามปกติ โดยรัฐมนตรีคมนาคมไต้หวัน เย่ว์ กวงจื่อห์ แถลงว่า ตามความเข้าใจของตนนั้น ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาระบุว่า สภาพอากาศยังคงอยู่ในระดับที่ปลอดภัยตามข้อกำหนดความปลอดภัยในการบิน
ด้าน จีน เฉิน ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนไต้หวันระบุว่า เครื่องบินที่ประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบินหลังจากแจ้งว่าจะพยายามลงจอดครั้งที่ 2 เครื่องบินลำนี้มีอายุการใช้งาน 14 ปี
สำนักงานการบินพลเรือนเสริมว่า ทัศนวิสัยของเครื่องบินขณะพยายามลงจอดอยู่ที่ 1,600 เมตร ซึ่งสอดคล้องตามมาตรฐานความปลอดภัย และเที่ยวบิน 2 เที่ยวที่เดินทางมาถึงก่อน GE222 ไม่นานก็ลงจอดอย่างปลอดภัยในสนามบินหม่ากง
เฉินยังบอกอีกว่า ระหว่างเวลา 14.00 น. - 19.00 น. วันพุธ มีเที่ยวบิน 9 เที่ยวให้บริการในเส้นทางบินเดียวกับ GE222 แต่มีเพียง GE222 เท่านั้นที่ประสบอุบัติเหตุ
อย่างไรก็ตาม เฉินเสริมว่า คณะกรรมการความปลอดภัยการบิน ได้เปิดการสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้แล้ว โดยคาดว่า ต้องใช้เวลาสรุปรายงานอย่างเป็นทางการ 1 ปี และว่า เจ้าหน้าที่ค้นพบกล่องดำ 2 กล่องของเที่ยวบินนี้แล้วและเริ่มทำการตรวจสอบตั้งแต่วันพฤหัสบดี
สำหรับประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ของไต้หวันแถลงว่า ชาวไต้หวันทุกคนโศกเศร้ากับเหตุการณ์ครั้งนี้ และถือเป็นวันที่วิปโยคที่สุดในประวัติศาสตร์การบินของไต้หวัน
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ที่อยู่ระหว่างการเยือนอเมริกาใต้ ส่งสาส์นแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งผ่านทางสำนักงานกิจการไต้หวันของคณะรัฐมนตรีจีน
ทางด้านสายการบินต้นสังกัดเปิดเผยว่า หลี อี้เหลียง วัย 60 ปี กัปตันของเครื่องบินที่ประสบเหตุ มีประสบการณ์การบิน 22 ปี และชั่วโมงบินเกือบ 23,000 ชั่วโมง ส่วนผู้ช่วยนักบิน เจียง กวนซิน วัย 39 ปี มีประสบการณ์ 2 ปีครึ่ง
ทรานส์เอเชียแถลงว่าจะจ่ายค่าทำขวัญให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตรายละ 1 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน และ 200,000 ดอลลาร์ไต้หวันสำหรับผู้บาดเจ็บ