วานนี้ (23 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.2226/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายศราวุธ นาคะปัท ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา และพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
โจทก์ยื่นฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 50 จำเลยได้จัดรายการ“แกะรอยคอร์รัปชัน” ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยใส่ความโจทก์โดยการโฆษณา ด้วยการกระจายภาพและเสียง ทำนองว่า โจทก์ทำการซุกหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชังจากบุคคลที่ได้ยิน และประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงสนามเป้า เขตพญาไท และแขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.56 ให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่า การจัดรายการของจำเลยเป็นการแสดงความเห็นตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง เป็นการแสดงความคิดเห็น และติชมโดยสุจริต ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใส่ร้ายโจทก์ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากคณะปฏิรูปการปกครองฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 จำเลยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการ คตส. ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง และเป็นผู้จัดรายการแกะรอยคอร์รัปชัน ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.50 โดยช่วงเวลาเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.50 จำเลยได้จัดรายการดังกล่าว โดยแสดงความเห็นในทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ทำการซุกหุ้นชินคอร์ป จนวุ่นวาย และจะขายหุ้นให้กับสิงคโปร์ ก็หลีกเลี่ยงหนีภาษีอีก
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยแสดงความเห็นโดยสุจริต เป็นธรรมหรือไม่ โจทก์มีพยานเบิกความว่า โจทก์ได้ขายหุ้นให้กับ นายพานทองแท้ ชินวัตร ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี การที่จำเลยแสดงความเห็นในทำนองดังกล่าว จึงเป็นการกล่าวเท็จต่อบุคคลที่ 3 ทำให้โจทก์เสียหาย ถูกดูหมิ่น เข้าใจว่าโจทก์ไม่กระทำตามกฎหมาย เห็นว่า ข้อความที่จำเลยกล่าว อยู่ในช่วงที่โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นตำแหน่งที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน จึงเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณไว้ว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ประพฤติตนให้อยู่ในกรอบ โดยคดีนี้ คตส. มีคำสั่งที่ 19/2549 แต่งตั้งเจ้าหน้าที่พิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งแต่งตั้งให้จำเลย และนายบรรเจิด สิงคะเนติ เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน
ต่อมาจำเลยได้จัดรายการ แกะรอยคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นรายการที่ คตส. จัดให้มีขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ และแถลงผลงานให้ประชาชนเข้าใจ เนื่องจากมีข้อเคลือบแคลงสงสัยการทำงานของคตส. ข้อความที่จำเลยพูดดังกล่าวนั้น เป็นการพูดก่อนที่ทางคตส. จะมีมติเรียกให้โจทก์รับทราบข้อกล่าวหา อีกทั้งคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ยังคงถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ป จำนวน 1,419 ล้านหุ้นไว้ ตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย จึงมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์โจทก์ ที่จำเลยตั้งข้อสงสัยว่า โจทก์เลี่ยงภาษีนั้น มีมูลจริง ไม่ใช่การแต่งเรื่องใส่ร้ายโจทก์ แต่เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ซึ่งจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่า โจทก์เลี่ยงภาษี และต่อมาได้มีการยึดทรัพย์โจทก์จริง จำเลยไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง กล่าวหาโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
นายแก้วสรร กล่าวภายหลังว่า รู้สึกดีใจที่ศาลพิพากษายืนยันว่าตนไม่มีความผิด เพราะบุคคลที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้ ซึ่งเรื่องข้อเท็จจริงที่ตนได้พูดออกไปขณะจัดรายการ จนเป็นเหตุให้ถูกฟ้องในคดีนั้น ศาลก็ได้หยิบยกคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่า มีการซุกหุ้นจริง คดีนี้จึงเป็นคดีตัวอย่าง หากมีการทุจริตคอร์รัปชันต่อบ้านเมือง ป.ป.ช. ก็มีสิทธิชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ ยิ่งเป็นคดีสำคัญ ก็ต้องเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางออกนอกประเทศนั้น มีความคิดเห็นอย่างไร นายแก้วสรร กล่าวว่า คดีนี้ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ และ ป.ป.ช.ไม่ได้ใช้อำนาจตาม ป.วิอาญา จึงไม่มีสิทธิไปห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ แต่ในทางการเมืองก็เป็นอำนาจของ คสช. ในการพิจารณา หรือมีคำสั่ง
โจทก์ยื่นฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 50 จำเลยได้จัดรายการ“แกะรอยคอร์รัปชัน” ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยใส่ความโจทก์โดยการโฆษณา ด้วยการกระจายภาพและเสียง ทำนองว่า โจทก์ทำการซุกหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชังจากบุคคลที่ได้ยิน และประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงสนามเป้า เขตพญาไท และแขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.56 ให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่า การจัดรายการของจำเลยเป็นการแสดงความเห็นตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง เป็นการแสดงความคิดเห็น และติชมโดยสุจริต ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใส่ร้ายโจทก์ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากคณะปฏิรูปการปกครองฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 จำเลยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการ คตส. ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง และเป็นผู้จัดรายการแกะรอยคอร์รัปชัน ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.50 โดยช่วงเวลาเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.50 จำเลยได้จัดรายการดังกล่าว โดยแสดงความเห็นในทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ทำการซุกหุ้นชินคอร์ป จนวุ่นวาย และจะขายหุ้นให้กับสิงคโปร์ ก็หลีกเลี่ยงหนีภาษีอีก
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยแสดงความเห็นโดยสุจริต เป็นธรรมหรือไม่ โจทก์มีพยานเบิกความว่า โจทก์ได้ขายหุ้นให้กับ นายพานทองแท้ ชินวัตร ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี การที่จำเลยแสดงความเห็นในทำนองดังกล่าว จึงเป็นการกล่าวเท็จต่อบุคคลที่ 3 ทำให้โจทก์เสียหาย ถูกดูหมิ่น เข้าใจว่าโจทก์ไม่กระทำตามกฎหมาย เห็นว่า ข้อความที่จำเลยกล่าว อยู่ในช่วงที่โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นตำแหน่งที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน จึงเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณไว้ว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ประพฤติตนให้อยู่ในกรอบ โดยคดีนี้ คตส. มีคำสั่งที่ 19/2549 แต่งตั้งเจ้าหน้าที่พิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งแต่งตั้งให้จำเลย และนายบรรเจิด สิงคะเนติ เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน
ต่อมาจำเลยได้จัดรายการ แกะรอยคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นรายการที่ คตส. จัดให้มีขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ และแถลงผลงานให้ประชาชนเข้าใจ เนื่องจากมีข้อเคลือบแคลงสงสัยการทำงานของคตส. ข้อความที่จำเลยพูดดังกล่าวนั้น เป็นการพูดก่อนที่ทางคตส. จะมีมติเรียกให้โจทก์รับทราบข้อกล่าวหา อีกทั้งคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ยังคงถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ป จำนวน 1,419 ล้านหุ้นไว้ ตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย จึงมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์โจทก์ ที่จำเลยตั้งข้อสงสัยว่า โจทก์เลี่ยงภาษีนั้น มีมูลจริง ไม่ใช่การแต่งเรื่องใส่ร้ายโจทก์ แต่เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ซึ่งจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่า โจทก์เลี่ยงภาษี และต่อมาได้มีการยึดทรัพย์โจทก์จริง จำเลยไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง กล่าวหาโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
นายแก้วสรร กล่าวภายหลังว่า รู้สึกดีใจที่ศาลพิพากษายืนยันว่าตนไม่มีความผิด เพราะบุคคลที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้ ซึ่งเรื่องข้อเท็จจริงที่ตนได้พูดออกไปขณะจัดรายการ จนเป็นเหตุให้ถูกฟ้องในคดีนั้น ศาลก็ได้หยิบยกคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่า มีการซุกหุ้นจริง คดีนี้จึงเป็นคดีตัวอย่าง หากมีการทุจริตคอร์รัปชันต่อบ้านเมือง ป.ป.ช. ก็มีสิทธิชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ ยิ่งเป็นคดีสำคัญ ก็ต้องเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางออกนอกประเทศนั้น มีความคิดเห็นอย่างไร นายแก้วสรร กล่าวว่า คดีนี้ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ และ ป.ป.ช.ไม่ได้ใช้อำนาจตาม ป.วิอาญา จึงไม่มีสิทธิไปห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ แต่ในทางการเมืองก็เป็นอำนาจของ คสช. ในการพิจารณา หรือมีคำสั่ง