ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เรื่องงบประมาณเงินอุดหนุนให้กับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2558 เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ให้ความสนใจ โดยมีออกคำสั่งฉบับที่ 88/2557 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2558
คำสั่งดังกล่าว ระบุว่า เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเป็นไปตามนโยบาย มีการแต่งตั้ง กรรมการมีอำนาจหน้าที่ พิจารณาความเหมาะสมการจัดสรรงบประมาณ กำกับดูแลการดำเนินการ การจัดทำ และบริหารงบประมาณ ให้เป็นไปตามนโยบายคสช. รายงานผลการดำเนินการ และเสนอแนะความเห็นให้หัวหน้าคสช.ทราบโดยเร็ว ฯลฯ
จากเดิมที่ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการกระจายอำนาจ ซึ่งในห้วงเวลาปกตินายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รวมถึงมีตัวแทนจาก อปท.เป็นคณะกรรมการ
วันก่อน “พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล” เสนาธิการทหาร ในประธานคณะกรรมการชุดนี้ เดินทางไปตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี พื้นที่ต้นแบบ
มีการชี้แจงข้อมูล ปัญหาข้อขัดข้อง และอุปสรรค รวมทั้งแนวทางในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน เพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปี 2558
โดยคสช. มุ่งหวังที่จะจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน ให้เป็นรูปธรรม ให้บูรณาการทั้งบุคลากร งบประมาณ แผนงาน โครงการ ให้ครอบคลุมทั้งระบบ ส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่นให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ให้แยกกลุ่มงาน พื้นที่ จัดลำดับความสำคัญงานก่อสร้าง งานซ่อมแซม ต้องลงไปทุกพื้นที่ ทุกภาค ทุกจังหวัด ในส่วนเรื่องรายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บ ให้ไปพิจารณาในวาระที่ 2 (การปฏิรูป) ท้องถิ่นใดจัดเก็บได้มากให้มีการจัดสรรเงินใหม่
ย้อนกลับไปเมื่อ วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม 2557 ในการประชุมกระทรวงมหาดไทยครั้งที่ 4/2557 ที่ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย มี“พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล” เป็นประธานในการประชุม
นายวัลลภ พริ้งพงษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานต่อที่ประชุมว่า การจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือที่ มท 0808.2/ว1672 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2557 เรื่อง การซักซ้อมการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ขอให้ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ในฐานะเป็นผู้กํากับดูแล ดําเนินการ มีหัวข้อที่เน้นย้ำเช่น
การจัดทํางบประมาณรายจ่ายตามนโยบายแห่งรัฐ ให้เน้นใน เรื่องโครงการเฉลิมพระเกียรติ และการป้องกัน/แก้ไขปัญหายาเสพติด การปราบปรามและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด
ที่น่าสนใจ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำชับว่า การจัดซื้อจัดจ้าง เรื่องราคา ขอให้เป็นไปตามหลักคุณธรรม จริยธรรม และการจัดทําแผนงาน/โครงการ ขอให้เน้นโครงการที่แก้ไข ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น การต้านภัยอาชญากรรม การละเมิดสิทธิเด็ก/สตรี ปราบปรามการพนัน การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่องของการลดขยะมูลฝอย เป็นต้น รวมถึง แผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการปกป้องสถาบันหลักของชาติ และ การขยายผลโครงการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
จากนโยบายของ คสช. ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ให้ไว้เมื่อ 13 มิ.ย.ว่า“ให้มีการประสานและบูรณาการงบประมาณในระดับกระทรวง ทุกกระทรวงและในระดับพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมหารือกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อบูรณาการแผนพัฒนาท้องถิ่นกับยุทธศาสตร์ จังหวัด”
แต่ที่สำคัญ มีกระแสข่าวว่า เหตุผลที่ คสช. เข้ามากำหนดมาตรการควบคุมเงินอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผลมาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ได้ให้ข้อมูลกับ คสช.ว่า งบประมาณจำนวน 2 แสนล้านบาท ที่ได้จัดสรรให้ท้องถิ่นนั้น เป็นแหล่งผลประโยชน์ใหญ่ที่นักการเมืองได้แบ่งสันปันส่วนโควตากัน โดยได้จัดทำโครงการและจัดหาผู้รับเหมามารับงานเพื่อเรียกรับผลประโยชน์กันอย่างเอิกเกริก
คสช. มีข้อมูลว่า ในงบประมาณอุดหนุนฯ อปท.ทั่วประเทศปีละ 2 แสนล้านบาทนั้น กว่า 30% หรือคิดเป็นเงิน 6 หมื่นล้านบาท ถูกหักเป็นค่าหัวคิวให้กับนักการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
โดยเฉพาะโครงการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดให้ นั้นก็คือ โครงการเฉลิมพระเกียรติ โครงการน้ำท่วมน้ำแล้งและที่สำคัญโครงการ ที่เกี่ยวกับการป้องกัน/แก้ไขปัญหายาเสพติด
คสช.ยังมองว่า อปท. เป็นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมือง
แนวคิดการปฏิรูปกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 ต่อเนื่องถึงฉบับ 2550 บังคับให้รัฐบาลกระจายและถ่ายโอนอำนาจให้ท้องถิ่น บังคับให้จัดสรรงบประมาณให้อปท. 35% โดยเฉพาะ “กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น” ตั้งขึ้นสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 มีกลไกกระชับอำนาจให้ระบบบริหารราชการรวมศูนย์ผ่านงบประมาณอุดหนุนให้ท้องถิ่น บีบบังคับให้ท้องถิ่นสวามิภักดิ์ ยอมเป็นพวก และก็กินหัวคิวงบประมาณส่วนนี้โดยตรง
อปท.คือต้นน้ำของการซื้อเสียง ของนักการเมือง ทำงานซ้ำซ้อนกับของเดิม งบลงไปเยอะ เหลือบานเบอะพอใกล้จะหมดปีงบประมาณ ก็จัดนำเที่ยว เปลืองงบโดยใช่เหตุ
อีกเรื่องเกี่ยวกับ อปท.หากจำได้ ช่วงที่ นายวราเทพ รัตนากร เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านการเงินการคลัง คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มีการชุมนุมของสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทยและสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ได้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปีงบประมาณ2557 จากร้อยละ27.28 ของรายได้สุทธิของรัฐบาล เป็นร้อยละ 30 จากเงินรายได้สุทธิของรัฐบาล
คนอปท. อ้างว่า นโยบายท้องถิ่นของรัฐบาลแทนที่จะใช้งบประมาณจากส่วนกลาง กลับใช้งบท้องถิ่นในการดำเนินการ ทำให้ไม่สามารถนำงบประมาณท้องถิ่นไปการดำเนินนโยบายของท้องถิ่นเองได้
รัฐบาลตอนนั้น โยนให้ สภาไปปรับแก้ตัวเลขเอง และอ้างว่า รัฐบาลได้เพิ่มในสัดส่วนที่มากกว่าทุกครั้งอยู่แล้ว และคงเป็นไปได้ยาก เพราะจะต้องใช้เม็ดเงินสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่รัฐบาลมีวงเงินเพิ่มในวงเงินเพียง 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็มีภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องของเงินเดือน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล หากต้องไปเพิ่มถึง 6 หมื่นล้านบาท ครึ่งหนึ่งของงบประมาณเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำงานได้
เชื่อว่า คสช. จะเข้ามาดูจุดนี้ด้วย โดยเฉพาะตัวเลขที่คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) เคยเสนอไว้ที่ร้อยละ27.77 ในงบปี 2557 ที่เพิ่มให้เพียงร้อยละ0.01 ดูว่าจะเพิ่มให้เป็นร้อยละ 30 จากเงินรายได้สุทธิของรัฐบาลได้หรือไม่
เพราะข้อเสนอของ อปท. มีผลกระทบมาจากนโยบายของรัฐบาลเดิม จากการชดเชยค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 300บาทต่อวันและเงินเดือนผู้จบปริญญาตรี 15,000บาทต่อเดือน ที่รัฐบาลเดิมระบุว่า จะชดเชยให้กรณีที่ท้องถิ่นรับผลกระทบ คิดเป็นเงินประมาณ 6,200ล้านบาท ในงบประมาณปี2556 โดยให้ท้องถิ่นนำเงินค่าอุดหนุนทั่วไปของท้องถิ่นมาชดเชยก่อน แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีการแก้ไขเนื่องจากรัฐบาลยุบสภา ไปก่อน
เห็นได้ว่ากลไกกระชับอำนาจให้ระบบบริหารราชการรวมศูนย์ผ่านงบประมาณอุดหนุนให้ท้องถิ่น ช่วงไม่เกิน10ปีนี้ บ้างถูกแกล้งทำให้ล่าช้าไม่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะกลุ่มผลประโยชน์ที่กุมอำนาจส่วนกลางอยู่นั่นคือ นักการเมือง+ทุน+ข้าราชการสวามิภักดิ์ ร่วมกันดองและดึงเอาไว้
คสช.ยังมีข้อมูลว่า งบประมาณจาก อปท.ถูกมองว่าเป็นกระเป๋าสตางค์สำหรับการชุมนุมเคลื่อนไหว เป็น “ขุมทรัพย์” ของนักการเมืองท้องถิ่น ทั้งนายก อบจ. นายกเทศบาล หรือนายก อบต. ในการจัดซื้อ-จัดจ้าง โครงการแต่ละครั้ง เพื่อให้มี “เงินทอน” เข้ากระเป๋าตัวเองในที่สุด
หรือการตั้งงบประมาณจากงบ ส.ส. นี้ จะต้องนำเสนอโครงการผ่านท้องถิ่นทั้ง อบจ. หรือ อบต. ส่วนท้องถิ่นก็จะพาชาวบ้าน กิน เที่ยว พักโรงแรม แทน ส.ส. และบางรายระดับสูงหน่อยก็พาทัวร์ต่างประเทศ โดยผ่านงบการดูงาน โดยมีสถาบันการศึกษาชื่อดังร่วมไปด้วย
เป็นที่รับรู้กันว่าช่องทางทำมาหากินที่ง่ายสะดวกที่สุดช่องหนึ่งของนักการเมืองคือผ่านงบอุดหนุนเฉพาะกิจให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่น
ดูจากตัวอย่างงบประมาณรายจ่ายปี 2556 ที่รัฐบาลเดิมจัดสรรงบอุดหนุนให้ อปท. 2 แสนกว่าล้าน เมื่อรวมงบอปท.ทั้งหมด 5.29 แสนล้านบาท คิดเป็น 26.77% ของงบประมาณแผ่นดิน ในจำนวน 2 แสนล้าน แบ่งเป็น งบอุดหนุนทั่วไป กับงบอุดหนุนเฉพาะกิจ จำนวน 1.19 แสนล้านบาท
คสช. คงคำนวณว่า หาก หักค่าหัวคิว 30% จาก 1.19 แสนล้านบาท เท่ากับจะมีเงินตกหล่นไปไม่น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท แทนที่องค์กรท้องถิ่นกว่า 6 พันแห่งทั่วประเทศควรจะได้รับเงินกระจายออกไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย
หรือจากมุมของชาวบ้าน ท้องถิ่นบางแห่ง ถูกกล่าวหาว่า งบแต่ละปี มีการกันค่ารักษาพยาบาลพรรคพวก ค่าเล่าเรียนลูกๆ ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางเข้ อำเภอ จังหวัด กันเงินไว้พาลูกเมียไปเที่ยวปลายปี ระหว่างปีการจัดซื้อ-จ้าง เป็นค่าคอมจากพ่อค้า 25% ยังไม่
สิ่งที่ประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ ต้องทนเห็นและทนดู พฤติกรรมผู้นำท้องถิ่น ต้องโกงกิน เงินงบประมาณแผ่นดินมาตลอด (โดยทำอะไรไม่ได้ )อาจเป็นเพราะ เกิดจากการกระจายอำนาจ มากจนเกินไป เพราะฉะนั้นจึงต้อง มีการเริ่มต้นปฏิรูปโดยตรงกับกระจายอำนาจให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น บางคนถึงกับเสนอ ให้นายกฯอบต นายกฯอบจ.เรียนจบ ป.โทเป็นอย่างน้อย หรือห้ามเครือญาติสมัครเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานเดียวกัน ฯลฯ
ถึงเวลาแล้วที่คสช. “ออกแบบจุดรั่วไหล” เพื่อป้องกันการ “ฉกฉวย” งบประมาณแผ่นดินเข้า “กระเป๋า” ของคนกลุ่มนี้ ซึ่ง คสช.กำลังทำอยู่ จะถึงขั้น “ยุบ อปท.”รอดูกัน.